1. ชินจูกุ (Shinjuku)

ต้องขอยกให้ย่าน “ชินจูกุ (Shinjuku)” แหล่งช้อปปิ้งโตเกียวชื่อดังเป็นอันดับหนึ่ง เนื่องจากมีร้านอาหารและห้างสรรพสินค้า เพื่อเอาใจขาช้อปสุดๆ ได้แก่ ศูนย์รวมแฟชั่นเสื้อผ้า กระเป๋า และเครื่องสำอางค์ รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้ายอดนิยม  มีสินค้าออกมาจำหน่ายครบครันและไม่แพงอีกด้วย ส่วนที่ใครพอมีเวลาเหลือหน่อยสามารถเดินเล่นตอนกลางคืนได้ พร้อมเปิดให้บริการสถานที่เที่ยวบันเทิงอย่างร้านคาเฟ่ ร้านคาราโอเกะ บาร์ และตลาดนัดกลางคืนตามโซนต่างๆ แบบครบครัน
อ่านเพิ่มเติม : 10 กิจกรรมน่าทำที่ญี่ปุ่นเดือนเมษานี้

วิธีการเดินทาง : 

ให้เดินทางมาลงสถานีรถไฟชินจูกุ ซึ่งเป็นสถานีหลักของย่านชินจูกุ โดยจะมีทางออกหลายทางเลย แต่ถ้าเป็นย่านที่เต็มไปด้วยศูนย์การค้า แหล่งช้อปปิ้ง และสถานที่เที่ยวบันเทิง แนะนำให้ออกทางฝั่งทิศตะวันออกของสถานีชินจูกุ (East Exit) แล้วเดินต่อประมาณ 3-5 นาที

ที่พักสบายๆ หลังเที่ยวชินจูกุ :

Booking.com


 

2. ชิบูย่า (Shibuya)

อีกหนึ่งย่าน “ชิบูย่า (Shibuya)” แหล่งช้อปปิ้งญี่ปุ่นยอดฮิตที่เต็มไปด้วยร้านค้าตลอดทาง หากคุณได้มาเยือนในย่านนี้แล้ว ก็ต้องลองมาเดินเล่นกันที่ “ถนนเซ็นเดอร์ไก” ศูนย์กลางถนนคนเดินที่มีแฟชั่นสวยๆ แบบสไตล์ญี่ปุ่น  และมีห้างสรรพสินค้าเล็กๆ ให้เลือกช้อปตามใจชอบ นอกจากนี้คุณยังสามารถเดินตามซอกเล็กซอกน้อยของถนนแห่งนี้ เพื่อช้อปสินค้าจำพวกเบ็ดเตล็ดอีกด้วย หรือลองแวะถ่ายรูปเช็กอินตรงถนนห้าแยกชิบูย่าที่มีถนนหลายสายตัดกัน ซึ่งเป็นจุดสังเกตหลักว่าคุณได้มาเยือนชิบูย่าแล้ว

วิธีการเดินทาง : 

เดินทางง่าย และสะดวกมากๆ เพียงแค่คุณลงสถานีรถไฟชิบูย่า แล้วออกหมายเลข 3 หลังจากนั้นเดินเที่ยวตามถนนเซ็นเดอร์ไกต่อเลย ส่วนเวลาทำการขึ้นอยู่กับแต่ละร้านค้า

ที่พักสบายๆ หลังเที่ยวชิบูย่า :

Booking.com


 

3. ฮาราจูกุ (Harajuku)

ใครที่ชื่นชอบการช้อปปิ้ง ไม่ควรพลาดย่าน “ฮาราจูกุ (Harajuku)” ในกรุงโตเกียวอย่างยิ่ง ซึ่งอยู่ห่างไม่ไกลจากชิบูย่าและชินจูกุเลยครับ ถ้าคุณมีโอกาสสักครั้งให้ลองมาเที่ยวเล่นตาม “ถนนทาเคชิตะ” กันก่อน จะมีสินค้าจำพวกแบรนด์เนม และสินค้าแฮนด์เมดของคนญี่ปุ่น  แถมยังมีขนมเครป สายไหม และไอศกรีมหลากหลายรสให้แวะชิมตลอดทาง แต่อาจจะคึกคักหน่อยนะ เพราะนักท่องเที่ยวต่างเข้ามากันจำนวนมาก พร้อมเปิดให้บริการตลอดทั้งวัน
อ่านเพิ่มเติม : เที่ยวญี่ปุ่นเมืองไหนดี? กับ 9 เมืองน่าเที่ยวที่ต้องห้ามพลาด

วิธีการเดินทาง : 

มาลงสถานีฮาราจูกุ (Harajuku) รถไฟ JR สายยามาโนะเตะ (Yamanote Line) ทางออกทาเคชิตะ (Takeshita Exit) ถึงทันที หรือสถานีเมจิจิงกูมาเอะ (Meiji-jingumae "Harajuku") รถไฟโตเกียวเมโทร (Tokyo Metro) สายชิโยดะ (Chiyoda Line) หรือสายฟุกุโทะชิน (Fukutoshin Line) แล้วเดินต่ออีก 2 นาที

ที่พักสบายๆ หลังเที่ยวฮาราจูกุ : 

Booking.com


 

4. อะเมโยโกะ (Ameyoko)

ถ้าเพื่อนๆ คนไหนอยากช้อปสินค้าราคาไม่แพง แนะนำให้มาที่ “ตลาดอะเมโยโกะ” กันเลย อีกหนึ่งย่านขายอาหารขึ้นชื่อ ไม่ว่าจะเป็นอาหารสด อาหารแห้ง ผลไม้ และร้านขายขนมอีกสารพัด  รวมกันกว่า 400 ร้าน เหมาะแก่การช้อปปิ้งโตเกียวอย่างมาก ราคาประหยัดกว่าในห้างด้วย แล้วไม่เพียงแค่นั้นนะ! ที่นี่ยังมีของเล่น ของสะสม หรือโมเดลเก่าๆ ให้เลือกสรรได้ตามใจชอบ รับรองว่าคุณต้องตื่นตาตื่นใจแน่นอน

วิธีการเดินทาง : 

การเดินทางไม่ยากเลย สามารถใช้บริการรถไฟทั้งสาย JR และ Tokyo Metro มาลงที่สถานีอุเอะโนะ สำหรับใครที่มา JR ก็ออกที่ Central Exit  ซึ่งจะอยู่ฝั่งตรงข้ามของถนน แต่ถ้าเป็น Metro ออกทางออก 5B แล้วขึ้นมาก็ถึงทันที

ที่พักสบายๆ หลังเที่ยวอะเมโยโกะ :

Booking.com


 

5. อากิฮาบาระ (Akihabara)

ปิดท้ายด้วยย่าน “อากิฮาบาระ” บ้านเกิดของสาวๆ AKB48 ไอดอลชื่อดังของวง BNK48 ขอบอกเลยว่าใครที่เป็นเเฟนคลับวงนี้อยู่แล้ว พลาดไม่ได้เลย เพราะคุณจะได้สัมผัสกับบรรยากาศแสง สี เสียง ทั้งแหล่งช้อปปิ้งน่ารักๆ ให้แวะก่อนกลับบ้าน รวมถึงสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์มากกว่า 100 ร้าน ยิ่งใครที่ชื่นชอบการ์ตูนอะนิเมะ วิดีโอเกมส์ และของสะสมที่หายาก ก็สามารถมาจับจ่ายใช้สอยกันได้  ราคาไม่แพง
อ่านเพิ่มเติม : 5 สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่นตามรอย Godzilla

วิธีการเดินทาง : 

เราสามารถเดิน 3 นาที จาก Akihabara Station [JR Yamanote Line, JR Keihin-Tohoku Line, JR Sobu Line] หรือเดิน 5 นาที จาก Suehirocho Station [Ginza Subway Line] เปิดให้บริการเวลา 10.00-22.00 น.

ที่พักสบายๆ หลังเที่ยวอากิฮาบาระ : 

Booking.com


 
หากใครที่วางแผนจะมาเที่ยวญี่ปุ่นแล้ว ก็เข้ามาเยือนในกรุงโตเกียวกันได้เลย เพราะที่นี่เต็มไปด้วยแหล่งช้อปปิ้ง และของกินอร่อยๆ ให้เลือกมากมาย สามารถซื้อกลับไปฝากคนที่บ้านได้ครับ นอกจากนั้นที่พักยังมีมากมาย ไม่ต้องกลัวไม่มีที่นอนเลย โดยถ้าใครเป็นลูกค้าของ Frank คุณสามารถใช้สิทธิ Penguin Privilege จองที่พักผ่าน Booking.com ที่ญี่ปุ่นในราคาสุดพิเศษได้อีกด้วย แล้วที่สำคัญก่อนออกเดินทาง เราอย่าลืมซื้อประกันเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นให้อุ่นใจด้วยนะ ไม่ว่าคุณเกิดเจ็บป่วยขณะเดินทาง หรือประสบอุบัติเหตุ ทางประกันจะช่วยดูแลค่ารักษาให้กับคุณ รวมถึงกรณีเครื่องบินดีเลย์ และกระเป๋าเดินทางสูญหายก็อยู่ในความคุ้มครองเช่นกัน เวลาไปเที่ยวไหนก็หายห่วงมากขึ้น
 

The post 5 แหล่งช้อปปิ้งยอดฮิตในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

ทำความรู้จัก “ถ้ำไวโตโม โกลว์วอร์ม” กันก่อน

เดินทางมาเที่ยวเกาะเหนือนิวซีแลนด์ทั้งที จะพลาด “ถ้ำไวโตโม โกลว์วอร์ม (Waitomo Glowworm Caves)” หรือเรียกกันอีกอย่างว่า “ถ้ำหนอนเรืองแสง” อีกหนึ่งสถานที่น่าตื่นตาตื่นใจของนักท่องเที่ยว ที่ตั้งอยู่ ณ เมืองไวโตโม ทางเกาะเหนือในประเทศนิวซีเเลนด์ 
หากคุณเข้ามาภายในถ้ำจะพบกับหินปูนที่มีอายุนับกว่า 30 ล้านปี !! ถือว่าเก่าแก่มาก ๆ ครับ ไม่ว่าจะเป็นถ้ำหลักอย่าง Ruakuri Cave, Aranui Cave และ Gardner’s Gut ที่มีหินงอกหินย้อยเกาะติดตามเพดานถ้ำ แถมเต็มไปด้วยเจ้าหนอนเรืองแสงสายพันธุ์ Arachnocampa luminosa ที่เปล่งประกายหลายล้านตัว มันก็คือดักแด้ที่กำลังจะลอกคราบแล้วเรืองแสงออกมานั่นเอง โดยเราสามารถพบเจ้าหนอนสายพันธุ์นี้ได้ตามถ้ำหรืออุโมงค์ที่มีความชื้น และจะพบมากที่สุดภายในถ้ำแห่งนี้ครับ

ต้องลอง! สิ่งที่น่าสนใจภายในถ้ำหนอนเรืองแสง

หากใครต้องการเที่ยวนิวซีเเลนด์ ณ ถ้ำหนอนเรืองแสง ทางเจ้าหน้าที่ก็จะพาคุณนั่งเรือล่องขนาดเล็กไปยังในถ้ำ ซึ่งจะเป็นส่วนลึกของถ้ำที่มีบรรยากาศมืดและเงียบสงบ เหมาะสำหรับคู่รักที่ต้องการพาแฟนมาฮันนีมูน เพราะระหว่างที่คุณกำลังล่องเรือเข้าไป จะเห็นแสงสีฟ้าอมเขียวระยิบระยับตลอดทาง  คล้ายกับแสงดาวในยามค่ำคืน โดยแสงประกายที่เราเห็นนั้นก็มาจากแมลงที่กำลังเข้าสู่ช่วงตัวอ่อน โดยเจ้าหนอนเหล่านี้จะปล่อยใยเรืองแสงคล้ายเส้นไหมเหนียวๆ ลงมาราวกับสายน้ำค้างจากเพดานถ้ำ ให้ฟิลแบบดูหนังแฟนตาซีผสมหนังไซไฟครับ
พอเริ่มโตเต็มวัยจะมีรูปร่างคล้ายยุง หลังจากนั้นก็สามารถบินได้อย่างคล่องด้วย ขอบอกเลยว่า แมลงตัวนี้หาชมกันไม่ได้ง่าย ๆ นะครับ ก็ต้องมาเที่ยวเกาะเหนือนิวซีแลนด์เท่านั้น!!
นอกจากนี้ ได้ดูหนอนเรืองแสงเรายังได้ชมความงดงามของหินงอกหินย้อยภายในถ้ำไวโตโม โกลว์วอร์มด้วย เป็นหินเก่าแก่ที่มีอายุหลายล้านปี สวยงามตามธรรมชาติครับ  และเรายังได้ผจญภัยพบเห็นสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ภายในถ้ำ ไม่ว่าจะเป็น ผีเสื้อกลางคืน หรือทากตัวเล็ก ๆ พาให้นักท่องเที่ยวเยี่ยมชมกันอย่างเต็มอิ่มครับ
** ถ้าใครเดินเลยจากถ้ำประมาณ 2 กิโลเมตร บริเวณข้างทางตอนกลางคืนก็จะพบแมลงชนิดนี้เรืองแสงอีกหลายจุด เหมือนป่าประดับด้วยไฟคริสต์มาสเลยครับ

ข้อควรรู้ก่อนมาเที่ยวถ้ำหนอนเรืองแสง

1. สำหรับการเข้าชมจะเป็นรอบ ๆ ทุกครึ่งชั่วโมง ตั้งแต่เวลา 09.00 – 17.00 น. ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ให้เยี่ยมชมกับอย่างเต็มอิ่ม
2. เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบการผจญภัย พร้อมนั่งเรือหรือเดินลุยภายในถ้ำ ควรซื้อประกันเดินทางที่มีความคุ้มครองกีฬาและกิจกรรมเสี่ยงภัยไว้ก็ดีนะ จะได้เคลมได้
3. สามารถนั่งเรือทัวร์ให้บริการได้ ไม่เกินลำละ 23 คน ทั้งนี้จะต้องมีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญพาไปด้วย เพื่อความปลอดภัย
4. อัตราค่าบริการเรือพาทัวร์ (ผู้ใหญ่) ประมาณ NZD$85 หรือ 1,640 บาท และเด็กจะมีค่าบริการ NZD$35 หรือ 675 บาท สำหรับเด็กมีอายุต่ำกว่า 4 ปีเข้าฟรี! แต่จะต้องแจ้งกับทางเจ้าหน้าที่เพื่อความปลอดภัยเช่นกัน
5. หากคุณต้องการเช็กอิน สามารถเช็กอินกับทางทัวร์ของคุณได้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวถ้ำที่ Waitomo Glowworm แล้วกรุณาเช็กอิน 30 นาทีก่อนออกเดินทาง
6. ภายในถ้ำแห่งนี้จะมีอุณหภูมิ ประมาณ 16-17 ºC ทุกๆ ปี แนะนำให้เตรียมเสื้อกันหนาวและรองเท้าผ้าใบใส่สบาย เพื่อป้องกันความหนาวด้วย
7. ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพหรือวิดีโอภายในถ้ำ เนื่องจากเป็นการรบกวนสัตว์ แต่สามารถถ่ายภาพได้ภายในถ้ำ Aranui Cave ครับ
ว่าแล้วก็เตรียมจัดกระเป๋าเดินทางไปเที่ยวนิวซีแลนด์ แวะมายังถ้ำหนอนเรืองแสงที่เมืองไวโตโมเลยครับ อยู่ไม่ไกลจากนิวซีแลนด์เกาะเหนือ คุณก็จะได้เห็นความงดงามของธรรมชาติสุดอลังการ ทั้งสนุกและน่าตื่นตาตื่นใจตลอดทริป แล้วยังได้นั่งเรือล่องแม่น้ำรับลมเย็นๆ  โอ้ย! แค่คิดก็ฟินแล้วครับ แต่ถ้าจะฟินให้สุด ก็ต้องมีประกันเดินทางให้ช่วยดูแลคุณด้วยนะ เพียงแค่คลิกความคุ้มครองที่ต้องการ เลือกจุดหมายปลายทางไปยังนิวซีเเลนด์ (New Zealand) หรือทั่วโลก (Worldwide) แล้วชำระเบี้ยประกันไม่กี่ขั้นตอนเท่านั้น ก็รับกรมธรรม์ออนไลน์ทันที ไม่ต้องรอนาน ก็เที่ยวได้อย่างอุ่นใจครับ
*แนะนำว่า โลเคชั่นถ้ำไวโตโมโกลว์วอร์มไม่เหมาะกับคนกลัวที่มืด และกลัวที่แคบครับ
 

The post สำรวจถ้ำ “หนอนเรืองแสง” แดนมหัศจรรย์ในนิวซีแลนด์ appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

1. เที่ยวจัตุรัส CHURCH SQUARE แห่งเมืองพริทอเรีย

เข้าสู่ดินแดนแอฟริกาใต้กันเถอะ… เราขอพาทุกคนไปเที่ยวสวนดอกไม้ที่บานสะพรั่งที่รู้จักในนามเมืองพริทอเรีย (Pretoria) อีกหนึ่งเมืองที่น่าสนใจของแอฟริกา ซึ่งจุดเด่นในเมืองพริทอเรียจะมีรูปปั้นวีรบุรุษที่สำคัญอย่างอดีตประธานธิบดีของรัฐอิสระชาวบัวร์  “พอล ครูเกอร์” (Paul Kruger) ที่ตั้งอยู่บริเวณจัตุรัสกลางเมืองขนาดใหญ่ จนติดอันดับว่าเป็นทำเนียบประธานาธิบดีที่สวยที่สุดในโลก  แนะนำให้คุณเข้ามาลองมาถ่ายรูปกันสักครั้ง
นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์บ้านของประธานาธิบดีครูเกอร์ให้เยี่ยมชมอีกด้วย บริเวณภายในก็จะมีข้าวของเครื่องใช้เก่าแก่ที่หาชมได้ยาก รวมถึงงานแสดงชิ้นวัตถุสำคัญสมัยสงคราม หากใครเดินทางด้วยรถยนต์ก็สามารถหาที่จอดรถบริเวณรอบ ๆ ถนน หรืออยากจะเดินจากใจกลางเมืองพริทอเรียได้เช่นกัน ไม่ไกลอย่างที่คิดครับ!

2. ชมพิพิธภัณฑ์ “เนลสัน แมนเดลา” วีรบุรุษของโลก

ต่อมาให้เราลองเข้ามาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ “เนลสัน แมนเดลา” (Nelson Mandala) อยู่ไม่ไกลจากเมืองโจฮันเนสเบิร์กครับ ถือเป็นสถานที่เต็มไปด้วยเรื่องราวน่าสนใจของประธานาธิบดีผิวดำคนแรกแห่งแอฟริกาใต้ ปรับเปลี่ยนการเลิกทาสชาวผิวสีให้มีสิทธิในสังคม จึงกลายเป็นหนึ่งบุคคลที่สำคัญของโลก ถ้าคุณเดินเข้ามาภายในพิพิธภัณฑ์จะเห็นโบราณวัตถุต่าง ๆ ภาพถ่าย ห้องนอน และผลงานชิ้นสำคัญของท่าน หรือแม้กระทั่งโซฟาที่ท่านเคยนั่งใช้รับแขก ก็เปิดให้เข้าชมด้วย บรรยากาศจะให้ความรู้สึกอบอุ่น เรียบง่ายมาก ๆ ครับ ส่วนบริเวณด้านนอกก็จะมีร้านค้าท้องถิ่นขาย เช่น งานฝีมือ เสื้อผ้า เครื่องประดับ และร้านอาหารมุมเล็ก ๆ จากดินแดนเเอฟริกาใต้ เปิดให้บริการทุกวันเวลา 09.00 – 17.00 น.

3. ข้ามหุบเขา “แม่น้ำไบลด์” แดนสวรรค์แอฟริกาใต้

เอ้า! สายขาลุยทั้งหลาย พลาดไม่ได้เลยครับ กับแดนสวรรค์ “หุบผาแม่น้ำไบลด์” หรือแคนยอนสีเขียวแห่งแอฟริกาใต้ เสมือนเป็นที่ยอดฮิตของนักเดินป่าไฮกิ้ง เพื่อมาชื่นชมความงามของธรรมชาติระหว่างหุบเขาขนาดใหญ่ ซึ่งจุดเด่นของที่นี่จะมีน้ำไหลผ่านอยู่ตลอดเวลา หินทรายเกาะกันเป็นแพ และมีพืชพันธุ์ป่าไม้อย่างทุ่งหญ้าสะวันนากระจายตัวอยู่รอบบริเวณ เราก็สามารถเดินเข้าไปสำรวจในพื้นที่ดังกล่าว พร้อมกับเซลฟี่ได้ตามอัธยาศัย แถมยังมีสะพานไม้ทอดยาวให้เดินข้ามชมด้านล่างอีกด้วย นับเป็นจุดที่พักผ่อนระหว่างเดินทางจากเมืองโจฮันเนสเบิร์กไปยังอุทยานแห่งชาติครูเกอร์นั่นเองครับ แต่สำหรับนักปีนเขาต้องระวัง Altitude Sickness โรคแพ้ที่สูงกันด้วยนะ เนื่องจากหุบเขานี้ค่อนข้างสูงชันมาก ดังนั้นเราจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมก่อนออกเดินทางครับ

4. ส่องชีวิตสัตว์ป่าที่ “อุทยานแห่งชาติครูเกอร์”

เมื่อเราเดินทางมาเที่ยวแอฟริกาใต้กันแล้ว จะพลาดไม่ได้เลยกับ “อุทยานแห่งชาติครูเกอร์” (Kruger National Park) สถานที่เที่ยวชมสัตว์ป่าซาฟารี แบบเปิด! เพราะทางอุทยานจะจัดกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวเข้ามาส่องชีวิตสัตว์ป่ากันแบบจัดเต็ม คุณจะได้สัมผัสกับ  ม้าลาย ช้าง แรด ยีราฟ สิงโต เสือดาว รวมถึงนก ปลา และสัตว์เลื้อยคลานต่าง ๆ ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่อุดมสมบูรณ์มาก มีธรรมชาติป่าไม้หลากหลายพันธุ์ที่หาชมได้ยากด้วยครับ หากใครที่อยากจะสัมผัสอุทยานแห่งชาติครูเกอร์ ก็สามารถนั่งรถจิ๊บแบบเปิดประทุนจากอุทยาน หรือใช้บริการซื้อทัวร์กันได้ตามสบาย  ระหว่างทางคุณก็จะได้เห็นสัตว์ป่าเดินกระจายอยู่รอบ ๆ บริเวณ ถ้าคุณรู้สึกเหนื่อยทางอุทยานก็จะมีที่พักตากอากาศ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว พร้อมกับรับประทานอาหารยามค่ำคืน รับรองว่าคุณจะได้เพลิดเพลินกับเส้นทางธรรมชาติอย่างแน่นอน
** แต่ที่อุทยานแห่งชาตินี้จะมีกฎพิเศษ ก็คือ อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าชมสัตว์ได้เพียงคนละไม่เกิน 3 ชั่วโมงเท่านั้น เพื่อไม่ให้รบกวนสัตว์มากจนเกินไป แล้วการเดินป่านักท่องเที่ยวจะต้องลงชื่อไว้ ไม่ต้องกลัวนะครับ จะมีเจ้าหน้าที่พาเดินไปตามเส้นทางที่สามารถเห็นสัตว์ป่าได้ชัดเจนเต็มอิ่มแน่นอน

5. ถ่ายรูปกับเพนกวิน ที่ริม “ชายหาดโบลส์เดอร์”

หลังจากส่องชีวิตสัตว์ป่าที่อุทยานกันแล้ว ก็ต้องลองมาเที่ยวว่ายน้ำที่ริม “ชายหาดโบลเดอร์ส” (Boulders Beach) ด้วยนะครับ เพราะคุณจะได้มีโอกาสเห็น “เพนกวินแอฟริกัน” รวมตัวจำนวนมากบนชายหาดแห่งนี้ โดยไม่กระจกกั้น นั่นก็คือ จะเปิดให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูป หรือเข้ามาชมเพนกวินแบบใกล้ชิดเลยครับ โดยเราสามารถเข้ามาถ่ายรูปตรงบริเวณ 3 แห่งดังนี้

จุดที่ 1 Boulders Penguin Colony (โซนอนุรักษ์) 

ถือเป็นจุดแรกที่เราจะได้เห็นเพนกวินเยอะที่สุด กระจายตัวอยู่รอบๆ ริมชายหาดโบลเดอร์ส สามารถเดินชมได้ตรงบริเวณสะพานไม้ที่ทอดยาวตลอดทาง หากคุณโชคดีหน่อยอาจจะเห็นเพนกวินกำลังวางไข่ด้วยนะ เนื่องจากทางอุทยานจะสร้างบ้านเป็นรู เพื่อให้เพนกวินทำรังหรือวางไข่ครับ

จุดที่ 2 Boulders Beach Strandbad

จะห่างจะจุดแรกประมาณ 550 เมตร ความน่าสนใจของหาดนี้ก็คือ สามารถเดินเล่นลงชายหาดกับเพนกวินได้ครับ ถ้าคุณอยากจะถ่ายรูปกับเพนกวินแบบใกล้ชิด ก็ต้องมาที่หาดนี้ให้ได้! แนะนำให้เดินข้ามโขดหินของชาดหาดไปหน่อย เพราะจุดนี้ทางเจ้าหน้าที่จะอนุญาตให้เข้าไปถ่ายรูปได้ตามใจชอบ หรือสามารถว่ายน้ำและชมเพนกวินไปพร้อมๆ กันครับ
** สำหรับจุดแรกกับจุดที่สอง จะมีค่าเยี่ยมชม (ผู้ใหญ่) ประมาณ 190 บาท และเด็กประมาณ 100 บาท โดยค่าบริการจะเก็บเป็นค่าบำรุงสถานที่ และค่าอนุรักษ์เจ้านกเพนกวินสายพันธุ์แอฟริกันให้อยู่กับเราต่อไป

จุดที่สาม Seaforth Beach 

อีกหนึ่งจุดที่เราสามารถลงเล่นในชายหาดได้ ฟรี! ไม่คิดค่าใช้จ่ายครับ แต่เราอาจจะเห็นเพนกวินน้อยกว่าจุดอื่น เพราะจะมีคนค่อนข้างเยอะ นอกจากนี้ยังมีจุดพักชาร์จพลังมีร้านอาหารอร่อย ๆ เพื่อให้นักท่องเที่ยวแวะมารับประทานระหว่างวันอีกด้วย 

เกร็ดความรู้เพนกวินแอฟริกัน  

เดิมเพนกวินชนิดนี้ชื่อว่า เพนกวินลา  (Jackass penguin) แต่ภายหลังปรับเปลี่ยนชื่อเป็น “เพนกวินแอฟริกัน” โดยมีลำตัวขนาดเล็ก น้ำหนักประมาณ 2–5 กิโลกรัม สามารถพบได้มากที่สุดบนชายหาดโบลส์เดอร์ ประเทศแอฟริกาใต้ และเป็นเพนกวินเพียงชนิดเดียวที่พบในทวีปแอฟริกา หรือถ้ายังไม่เต็มอิ่มอ่าน 5 เรื่องน่ารู้ของชีวิตเพนกวินที่คุณ (อาจ) ไม่เคยรู้มาก่อนได้นะครับ

6. นั่งกระเช้าลอยฟ้า เที่ยวชม “ภูเขารูปโต๊ะ”

มาเที่ยวแอฟริกาใต้ทั้งที ก็ต้องไปเที่ยวชม “ภูเขารูปโต๊ะ” (Table Mountain) กันสักครั้ง จะตั้งอยู่ทางทิศใต้ในเมืองเคปทาวน์  มีความสูงประมาณ 1,086 เมตรจากระดับน้ำทะเล จนได้รับเลือกให้เป็น 7 สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของโลกยุคใหม่ ซึ่งเกิดจากการกัดกร่อนตามลมและฝน จนทำให้กลายเป็นภูเขายอดตัดรูปร่างคล้ายโต๊ะตรงตามชื่อเลย สำหรับนักท่องเที่ยวคนไหนต้องการผจญภัย ก็สามารถเดินชมวิวระหว่างทางกันได้ แต่การไปสู่ยอดเขานั้นทางเจ้าหน้าที่จะมีบริการรถกระเช้าไฟฟ้า (Cable Car) บรรจุผู้โดยสารมากถึง 65 คนต่อครั้ง นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปดื่มด่ำทัศนียภาพและธรรมชาติข้างบน เรียกว่าเป็นจุดที่เห็นธรรมชาติได้ครบ 360 องศาเลยครับ   จึงกลายเป็นเมืองสวรรค์และเป็นจุดหมายการเดินทางในฝันนักท่องเที่ยวจำนวนมาก อีกทั้งบริเวณนั้นยังมีท่าเรือบรรทุกสินค้า เอาใจขาช้อปให้ซื้อของฝากเด็ด ๆ กลับบ้านอีกเพียบ

7. ชิมไวน์ที่ไร่องุ่น Groot Constantia เมืองเคปทาวน์

สุดท้ายแล้วก่อนกลับ ก็อย่าลืมแวะเข้ามาชมไร่องุ่น และดื่มด่ำไวน์ชั้นเลิศที่ “กรูทคอนสแตนเทีย” (Groot Constantia) ณ เคปทาวน์ เมืองหลวงของประเทศแอฟริกาใต้กันนะครับ ถือเป็นไร่องุ่นที่เก่าแก่ที่สุดของแอฟริกาใต้ หากคุณมีโอกาสเข้ามาสัมผัสบรรยากาศที่นี่ ก็จะได้เห็นองุ่นหลากหลายสายพันธุ์ที่ชาวแอฟริกันปลูกครับ ได้แก่

• องุ่นเขียวชาร์ดอนเนย์ (Chardonnay) เป็นองุ่นคลาสิกวัตถุดิบหลักในการบ่มทำไวน์ขาว
• องุ่นดำใช้ทำไวน์แดงอย่างพันธุ์แมร์โลต์ (Merlot) ราคาไม่สูง รสชาติดี
• องุ่นเปลือกสีทองเซมิลยอง (Semillon) มีถิ่นกำเนิดที่ฝรั่งเศส แต่ปลูกที่แอฟริกาใต้ก็มี
• องุ่นซีราส (Shiraz) หากบ่มเป็นไวน์จะมีรสชาติค่อนข้างนุ่มนวล รสสัมผัสหนักแน่น ฝาดน้อยกว่า  

ดังนั้น ใครที่ชื่นชอบดื่มไวน์เป็นพิเศษ ก็สามารถเข้ามาในโรงกลั่น เพื่อดูการสาธิตทำไวน์ตั้งแต่วิธีเก็บองุ่นจนไปถึงการจัดจำหน่ายได้นะครับ หรือนักท่องเที่ยวคนไหนไม่เน้นเรียนรู้มากมาย อยากจะนั่งจิบไวน์ชิล ๆ ทางไร่องุ่นกรูทคอนสแตนเทียก็มีบริการให้ ยังมีร้านค้าจำหน่ายไวน์ให้ชิมคู่กับช็อกโกแลตด้วยนะ สามารถเลือกได้ตามใจชอบเลยครับ ก่อนกลับก็อย่าลืมเข้ามาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ภายในไร่ด้วย เพราะคุณจะได้สำรวจวัตถุและภาพถ่ายเกี่ยวกับการผลิตโรงกลั่น รวมถึงอุปกรณ์ที่เคยใช้ทำไวน์สมัยก่อนครับ  รับรองว่าคุณจะต้องตื่นตาตื่นใจกับทริปทัวร์แอฟริกาใต้อย่างแน่นอน
** ทางกรูตคอนสแตนเทียจะมีที่จอดรถให้บริการแก่นักท่องเที่ยว สามารถขับรถจากตัวเมืองเคปทาวน์ไปประมาณ 20 กิโลเมตร หรือใช้บริการทัวร์ก็ได้ เปิดให้ชมทุกวัน (ยกเว้นวันหยุดราชการ) ส่วนค่าบริการอาหาร และไวน์ต่าง ๆ สามารถเข้ามาดูได้บนเว็บไซต์ทางการของ Groot Constantia ที่นี่เลยครับ
หากใครที่อยากจะเที่ยวแอฟริกาใต้ ดินแดนธรรมชาติของนักผจญภัย ก็ลองเตรียมแพลนเที่ยวบินตรงไปที่แอฟริกาใต้ได้เลยครับ เพราะที่นี่จะรายล้อมไปด้วยป่าไม้ สัตว์ป่า แม่น้ำ และภูเขา รวมถึงความแปลกใหม่ไม่เหมือนใคร ช่วยให้คุณเพลิดเพลินตลอดทาง ที่สำคัญเดินทางง่ายเพราะเป็นประเทศฟรีวีซ่าสำหรับคนไทย นั่นก็คือ เพียงแค่คุณมีพาสปอร์ตก็เที่ยวได้ทันทีภายใน 30 วัน อยากจะเที่ยวกับเพื่อน ๆ หรือจะลุยเดี่ยวก็สนุกคนละแบบครับ แล้วที่สำคัญเราควรศึกษาวิธีจัดกระเป๋าเดินทางยังไงไม่ให้เฟล และดูเส้นทางที่ปราศจากสัตว์อันตรายหรือดุร้ายด้วยนะ
พร้อมออกเดินทางกันแล้ว ก็อย่าลืมซื้อประกันเดินทางไปแอฟริกาใต้กับ frank.co.th เอาไว้ด้วย เพราะประกันเดินทางไปแอฟริกาใต้ จะช่วยทำให้ทริปครั้งนี้ของคุณหมดห่วง ไม่ว่าจะคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล, คุ้มครองวีซ่า, คุ้มครองการยกเลิกการเดินทาง หรือคุ้มครองสัมภาระสูญหาย ก็พร้อมดูแลตลอด 24 ชม.  แต่ถ้าอยากเพิ่มความคุ้มครองให้มากยิ่งขึ้นก็สามารถซื้อประกันอุบัติเหตุควบคู่ได้นะครับ เราจะมีแผนคุ้มครองให้เลือกตามต้องการ ค่าเบี้ยไม่แพง อย่างน้อยก็ช่วยทำให้คุณปลอดภัยนั่นเอง
แหล่งข้อมูล : amazingthaisea.com
                       tiewtungbaan.com
 

The post น่าไปกับ 7 ที่เที่ยวแอฟริกาใต้ ต้องผจญภัยสักครั้ง appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

• The Venetian ล่องเรือพายกอนโดล่า แบบไม่ต้องบินไกลถึงอิตาลี
• City of Dreams ชมนางเงือกว่ายน้ำ สนุกกับโชว์อื่นๆ อีกมากมาย
• Wynn Palace นั่งกระเช้าลอยฟ้า และชมวิวน้ำพุตลอดทั้งคืน
• Senado square แวะชิมของอร่อย ตรงย่านใจกลางเมืองมาเก๊า
• Grand Lisboa Macau ถ่ายรูปกับตึกดอกบัว พิกัดใหม่เเห่งเอเชีย

1. เที่ยวมาเก๊า The Venetian นครเวนิสแห่งเอเชีย

พลาดไม่ได้เลยครับ สถานที่เที่ยวมาเก๊าแห่งแรก แบบสไตล์ยุโรป !! นั่นก็คือ เดอะเวเนเชี่ยน (The Venetian) เป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ออกแบบให้คล้ายเมืองเวนิสในประเทศอิตาลี  นักท่องเที่ยวจะได้รับความตื่นตาตื่นใจราวกับได้บินไปยุโรปเลยครับ ด้วยบรรยากาศโซนของห้างที่มีรูปร่างคล้ายตัว U สามารถเดินช้อปปิ้งได้ตลอดทั้งวันเลยครับ แต่แนะนำให้มาช่วงตอนเย็นๆ และอยู่ไปจนถึงตอนกลางคืนครับ เพราะตกดึกจะมีแสงไฟประดับตามจุดต่างๆ พร้อมกับการแสดงโชว์อีกมากมาย ส่วนใครที่อยากสัมผัสแม่น้ำแบบใกล้ชิด ที่นี่ก็จะมีบริการ “ล่องเรือพายกอนโดล่า (Gondola)” ด้วยนะ โดยจะมีทั้งคนจีนและฝรั่งคอยพายเรือไปชมรอบบริเวณ เหมาะกับการถ่ายรูปเช็คอินสุดๆ ซึ่งเรือจะเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 11.00 – 22.00 น. ก็ลองเข้ามาเที่ยวชมก่อนได้ ถือว่าคุ้มค่าเลยทีเดียว

จุดเด่นของ “เดอะเวเนเชี่ยน”

• ตึกสวยงามสไตล์อิตาลี
• เพดานเป็นรูปวาดสีสดใส
• ไม่ต้องเสียเงินค่าเข้าชมอาคาร
• ใกล้สถานที่เที่ยว City of Dreams
• ห่างจากสนามบินมาเก๊า 10 นาที (โดยแท๊กซี่)

แผนที่ : 

2. ชมการแสดงที่ City of Dreams สุดตระการตา

พอหลังจากไปเที่ยวเดอะเวเนเชี่ยนกันแล้ว เดินมาอีกหน่อยก็จะพบกับ ซิตี้ ออฟ ดรีม (City of Dreams) ซึ่งจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกันเลย เรียกว่าเป็นแหล่งรวมสถานที่เที่ยวกลางคืนก็ได้ เพราะจะมีทั้งร้านช็อปปิ้ง ไนท์คลับ และการแสดงโชว์ต่างๆ ภายในโดมของอาคาร เช่น โชว์เต้นระบำ การแสดงเมืองใต้บาดาล โชว์มังกรเปลี่ยนสี รวมถึงกิจกรรมเสี่ยงโชค สนุกเล็กๆน้อยๆ ให้ฟินกันอีกด้วย สำหรับการแสดงสุดพิเศษนั้นต้องขอยกให้กับโชว์  “นางเงือก (Vquarium)” ครับ นั่นก็คือการแสดงของนางเงือกที่ว่ายน้ำไปมา เพื่อให้เห็นใต้ท้องทะเลอันงดงาม  ซึ่งจะโชว์บนหน้าจอโปรเจ็คเตอร์ LED ขนาดใหญ่ สามารถเห็นได้ทั้งหมด  360 องศาแบบใกล้ชิด แล้วก็ยังมี “โชว์มังกรเปลี่ยนสี (Dragon Treasure)” เปิดให้ชมฟรีอีกด้วยนะ ก็ลองแนะนำเพื่อนๆ แวะเข้ามากันได้ตลอดทั้งคืนครับ

จุดเด่นของ “ซิตี้ ออฟ ดรีม”

• การแสดงนางเงือก และมังกรเปลี่ยนสี เปิดให้เข้าชมฟรี
• มีจำหน่ายบัตรเข้าชมโชว์อื่นอีกมากมาย
• เป็นโดมขนาดใหญ่ สามารถดูได้ 360 องศา
• อยู่ตรงข้ามกับ เดอะเวเนเชี่ยน ห่างเพียงแค่ 1 กม.

แผนที่ : 

3. นั่งกระเช้าไฟฟ้าที่ Wynn Palace และชมระบำน้ำพุ

อีกหนึ่งสถานที่เที่ยวกลางคืน ต้องมาให้ได้กันสักครั้ง นั่นก็คือ วินน์ พาเลซ (Wynn Palace) ครับ จะตั้งอยู่ตรงย่าน Cotai เกาะ Taipa ใกล้กับสนามบินมาเก๊า ที่นี่ไม่ใช่เป็นเพียงแค่โรงแรมสุดหรูเท่านั้นนะ แต่ยังมีวิวทะเลสาบ และ “การแสดงลานน้ำพุ” ยามค่ำคืนด้วยครับ รับรองว่าคุณจะได้เห็นโชว์น้ำพุสุดอลังการ พร้อมกับเเสงสีเสียงที่จัดเต็ม โดยจะเปิดรอบให้เข้าชมการแสดง ตั้งแต่ 10.00 น. จนถึงเที่ยงคืน  และสลับการแสดงทุกๆ 15 นาที เรียกว่าตลอดหนึ่งชั่วโมง จะมีทั้ง 4-5 โชว์ไม่ซ้ำกันเลยครับ นอกจากนี้ทางโรงแรมก็ยังเปิดให้บริการนักท่องเที่ยว “นั่งชมกระเช้าไฟฟ้า (SkyCab)” ระบบปรับอากาศอีกด้วย คุณจะได้เห็นวิวทะเลสาบใจกลางโรงแรม และลานแสดงน้ำพุแบบมุมสูง เรียกว่าโรแมนติกสุดๆ สำหรับคู่รักคนไหนที่ต้องการมาฮันนีมูน ก็ลองแวะมาเที่ยวที่นี่กันดูก่อน เพราะเดินทางก็ง่าย แถมยังฟรีวีซ่าสำหรับคนไทย ก็ยิ่งไม่ควรพลาด !!

จุดเด่นของ “วินน์ พาเลซ”

• การเเสดงระบำน้ำพุ เปิดให้เข้าชมฟรี
• นั่งชมกระเช้าไฟฟ้าปรับอากาศ (ถ้าพักอยู่ในโรงแรมนี้ สามารถนั่งฟรีได้ไม่จำกัด)
• เป็นโรงแรมสุดหรู ให้บริการดีเยี่ยม
• ภายในมีจัดแสดงผลงานศิลปะ
• มีบริการรับส่ง Shuttle Bus จากสนามบิน

แผนที่ : 

4. แวะถนนคนเดิน Senado Square ตะลุยของอร่อย

ถ้าใครอยากไปเดินดูตึกสวยๆ สไตล์ยุโรป ก็ต้องไปเที่ยวที่ เซนาโด สแควร์ (Senado Square) กันนะครับ จะตั้งอยู่จัตุรัสใจกลางเมืองมาเก๊า ที่รายล้อมไปด้วยตึก ร้านค้า บ้านเรือน รวมถึงโบสถ์ต่างๆ ถือว่าผสมผสานความเป็นจีนกับโปรตุเกสได้อย่างลงตัว ตรงบริเวณทางเดินจะมีร้านค้าขายขนม เสื้อผ้า และอาหารจีนเต็มไปหมด จึงขนานนามว่าที่นี่เป็น “ถนนคนเดิน” แห่งเมืองมาเก๊าครับ  หากเดินเข้ามายังภายในก็ยังมีกิจกรรมให้เลือกทำหลากหลายเช่นกัน ไม่ว่าจะชมบ้านศิลปะแมนดาริน เฮ้าส์ , นั่งอ่านหนังสือในห้องสมุดกลางสวน , ชมโรงละครสุดคลาสสิค ดอม เปโตร วี หรือเข้าชมโบสถ์เซนต์โจเซฟ ฉบับเก่าแก่ที่สุดในมาเก๊า แล้วจบทริปด้วยการเดินเล่นอีกสักหน่อย เพื่อแวะชิม “ร้านบะหมี่ไข่เกี๊ยวกุ้ง” เจ้าอร่อยอย่าง Wong Chi Kei และ “ร้านเป็ดย่างชางคองกี่” ก็ฟินไม่แพ้กัน แต่ขอแนะนำให้ลองมาเที่ยวช่วงกลางคืน เพราะที่นี่จะถ่ายรูปสวยมาก บรรยากาศจะคึกคักกว่าตอนกลางวันครับ

จุดเด่นของ “เซนาโด สแควร์”

• เข้าชม เซนาโด สแควร์ ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย
• เที่ยว กิน ช้อป จบครบในที่เดียว
• เปิดให้บริการทุกวัน ตลอด 24 ชม.
• เป็นแหล่งย่านของ Sale
• อยู่ติดกับประตูโบสถ์เซนต์ปอล

แผนที่ : 

5. ถ่ายรูปที่ Grand Lisboa ชมแสงไฟสุดอลังการ

หลังจากเดินทางไปเที่ยวเซนาโด สแควร์แล้ว ก็ต้องแวะมาเที่ยวที่ แกรนด์ ลิสบัว (Grand Lisboa) กันด้วยนะครับ จะอยู่ไม่ไกลจากกัน (ห่างเพียงแค่ 450 เมตร) เท่านั้น ถือเป็นสถานที่เที่ยวบันเทิงครบครัน และโด่งดังที่สุดในโซนเอเชีย ซึ่งภายนอกตึกจะเป็นรูปทรงดอกบัวขนาดใหญ่ ประดับด้วยแสงไฟสุดตระการตา ต้องขอบอกก่อนว่า !! เราสามารถถ่ายรูปพาโรนามาแบบ Full HD ได้เลยครับ ส่วนด้านในก็ยังเปิดให้ชมของโชว์ต่างๆ ที่หาชมได้ยาก เช่น รูปปั้น รูปวาด และงานฝีมือ เป็นต้น
และไม่เพียงแค่นั้นนะ ทางร้านอาหารของโรงแรม Grand Lisboa ก็ยังมีบริการร้านอาหารไทย อาหารจีน และอาหารฝรั่งอีกด้วย  หรือใครที่ชอบโซนคลับ โซนบาร์ เพื่อฟังดนตรีสดยามค่ำคืน ก็ลองหามุมชิลๆ นั่งได้ตามใจชอบเลย

จุดเด่นของ “แกรนด์ ลิสบัว”

• อยู่ใกล้กับเซนาโด สแควร์ เพียงแค่ 450 เมตร
• ชมแสงไฟยามค่ำคืนแห่งมาเก๊า
• ถ่ายรูปสถาปัตยกรรมของโรงแรมฟรี
• มีแหล่งอาหาร และสถานบันเทิงครบ
• บริการ Shuttle Bus ฟรี จากท่าเรือเกาะมาเก๊า หรือเกาะไทปา

แผนที่ : 

เที่ยวสนุกจุใจเลยใช่ไหม ? 

เป็นยังไงบ้างครับ? ใครจะไปคิดว่าเที่ยวมาเก๊าตอนกลางคืนจะฟินมากขนาดนี้ ถึงจะเป็นเมืองเล็กๆ แต่ก็มีเสน่ห์ไม่น้อยเลยทีเดียว อย่างที่เพนกวิน Frank.co.th โบรกเกอร์ประกันภัยที่รวดเร็ว เรียบง่าย และจริงใจกับคุณ แนะนำสถานที่สวยๆ ข้างต้นนั่นแหละครับ เราก็สามารถมาเที่ยวกลางคืนได้ ฉบับไม่ต้องมีคาสิโน อีกทั้งยังเป็นหนึ่งใน 31 ประเทศฟรีวีซ่าสำหรับคนไทย เช่นกัน เลยทำให้คุณสามารถเที่ยวได้ง่าย แบบสบายๆ และพำนักได้นานถึง 30 วันเลยครับ พอหลังจากคุณเดินทางมาถึงมาเก๊าแล้ว จะต้องสนุกไปกับบรรยากาศยามค่ำคืนอย่างแน่นอน  ดังนั้น เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรารีบมาจองตั๋วเครื่องบิน และเตรียมลุย จัดกระเป๋าเดินทาง กันดีกว่าครับ แล้วที่สำคัญอย่าลืมซื้อประกันเดินทางติดตัวไว้ ให้อุ่นใจกันด้วยนะ !!
 

The post 5 ที่เที่ยวมาเก๊ายามค่ำคืน ฉบับไม่มีคาสิโน !! appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

ขับรถเที่ยวเพชรบุรี

เรื่องการแวะเที่ยวจ.เพชรบุรีนี้ เชื่อว่หลายคนคงเคยแต่ผ่านเลยจังหวัดนี้ไป เลยอยากแนะนำตามความชอบของแต่ละคนด้วยนะฮะ frank อาจจะเล่าให้ฟังในที่เด่นๆ เพื่อให้เป็นไอเดียนะครับ เช่นว่า ที่เที่ยวเด่นๆ เลยที่เน้นการถ่ายรูปชมวิว อากาศดีๆ หรือไปหากินของอร่อยๆ ที่ขึ้นชื่อซึ่งก็มี

เขาหลวง ที่มีน้องลิงน่ารักๆ อยู่เป็นเจ้าถิ่น (อย่าไปใกล้มากนักนะครับ เดี๋ยวมันจะกัดเอาได้นะฮะ กันไว้กาอนดีกว่า)  และมีถ้ำเขาหลวงที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่เลยครับ โดยถ้ำที่ว่านี้จะมีช่องเปิดอยูด้านบนเมื่อเวลาที่แสงส่องลงมากระทบพื้นถ้ำแล้วล่ะก็ ถ่ายรูปออกมาสวยมากครับ ที่นี่ไม่เสียค่าเข้าชมด้วยนะครับ

กินขนมจีนทอดมัน ใครไปเพชรบุรีแล้วไม่ได้กินนี่ ถือว่าไปไม่ถึงนะครับ โดยเฉพาะร้านขนมจีนทอดมันร้านนุช ที่อยู่ตรงข้ามวัดข่อยในตัวเมืองเพชรบุรีนี่สุดยอดมากครับ

กินลอดช่องน้ำตาลโตนด เป็นลอดช่องสูตรโบราณที่ใช้น้ำตาลโตนดแท้ๆ หอมมากมาย ชื่อร้าน ลอดช่องน้ำตาลข้น โอวทึ้ง (นายกี่) อยูตรงข้ามโรงเรียนอรุณประดิษฐ์ ไม่ไกลจากร้านนุชเท่าไหร่นักฮะ

ซานโตรีนี่ ปาร์ค แวะเล่นเครื่องเล่นพอหอมปากหอมคอ หามุมถ่ายรูปสวยๆ เก๋ๆ ไม่หลุดจากธีมประเทศกรีซเลยซักมุม และแวะเยี่ยมห้องน้ำที่บรรยากาศผ่อนคลายหอมๆ กันซะหน่อย ที่นี่เสียค่าเข้าชมนะครับ

หาดเจ้าสำราญ เที่ยวบรรยกาศทะเลสบายๆ สงบๆ กับหาดทรายยาวๆ ที่เราเดินเล่นเรียบหาดได้แบบชิวๆ ขับรถจากตัวเมืองออกไปเล็กน้อยเท่านั้นเอง

อุทยานประวัติศาสตร์พระนครคีรี เขาวัง ขึ้นรถกระเช้า ไปชมวิวมุมสูงจ.เพชรบุรีกันครับ เสียค่าเข้าชม 20 บาทแต่วิวที่ได้เห็น โ..ตรคุ้มอ่ะครับ หรือถ้าเราอยากเดินขึ้นก็ไม่ว่ากันนะครับ นอกจากนั้นยังเข้าชมพิพิธฑภัณฑ์สถานแห่งชาติ พระนครคีรีได้อีกด้วยนะครับ แอบเตือนกันหน่อยว่าที่นี่น้องลิงดุนะครับ เดินระวังข้าวของกันด้วยนะฮะ

กินข้าวแช่ สำหรับของหวานแบบไทยๆ คลายร้อนที่หอมเย็นชื่นใจมากมาย อยากให้ไปชิมข้าวแช่ ร้านแม่อร ที่อยู่ในตลาดทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (ตลาดริมน้ำ) ที่อยู่ในตัวเมือง แถวถ.พานิชเจริญนะครับ สูตรโบราณเลยเชียว
นี่แค่จังหวัดเดียวเองนะครับ มีที่เที่ยว ที่กินให้เราไปแวะเพียบเลย ทำให้ frank รู้สึกเลยว่าเที่ยวเมืองไทยเรานี่ ไม่ไปไม่รู้จริงๆ ด้วยนะเนี่ย (ททท. กล่าวไว้นานแล้ว และ frank ก็เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ)   
Credit รูป: http://khunkay.thaimultiply.com/photos/163007 ,  http://www.happ-it.com/2013/th/article_detail.php?id=93 , http://pantip.com/topic/30310270 , http://www.paiduaykan.com/province/central/phetchaburi/pic/santorinipark24.jpg , http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=travelsomewhere&month=07-06-2011&group=40&gblog=15 , https://goo.gl/wKOom1 , http://pic.narin.in.th/?module=gallery&cate_id=122 , http://topicstock.pantip.com/food/topicstock/2008/03/D6432137/D6432137.html , http://pantip.com/topic/30057039

The post จังหวัดที่เรามักจะขับรถผ่านเลยไป แต่น่าเที่ยวสุดๆ appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.