บอกลาปัญหากระจกเป็นคราบน้ำ กระจกเป็นฝ้าไปได้เลย เพราะวันนี้เพนกวิน Frank จะมาบอกวิธีเช็ดกระจกให้ใสปิ๊ง เพียงใช้อุปกรณ์ที่หาทำเองได้ที่บ้าน ก็ช่วยขจัดคราบน้ำบนกระจกได้อย่างง่ายดาย แถมช่วยทำความสะอาดบ้านให้น่าอยู่ด้วยวิธีสุด Easy ด้วยนะ สำหรับใครคนไหนที่อยากได้ สูตรน้ำยาเช็ดกระจก ก็ลองหยิบยกไปใช้ในชีวิตประจำวันกันได้เลย

เริ่มจากสูตรแรกที่ทำง่ายสุด เพียงแค่คุณใช้น้ำสบู่อ่อนๆ ผสมน้ำมะนาว เนื่องจากกระจกเป็นวัสดุที่สามารถติดเกาะคราบไขมัน เกาะคราบสบู่ได้ง่าย จึงต้องใช้สารที่มีฤทธิ์เป็นกรดอย่างมะนาว เพื่อเป็นตัวช่วยให้การขจัดกระจกเป็นคราบ อีกทั้งความด่างของน้ำสบู่ยังช่วยเพิ่มความเงาวับให้กับกระจกด้วย แนะนำให้ผสมใส่ขวดสเปย์แล้วฉีดพ่นบนกระจก จากนั้นใช้ผ้านุ่มๆ เช็ดกระจกก็เป็นอันเสร็จสิ้น

2. สูตรน้ำยาล้างจาน + น้ำส้มสายชู

ต่อด้วยสูตรที่ 2 ที่ทำง่ายมากๆ นั่นก็คือ สูตรน้ำส้มสายชูผสมกับน้ำยาล้างจาน แล้วใช้ผ้าสะอาดมาเช็ดกระจกที่เป็นคราบน้ำ และคราบสกปรกที่ฝังแน่น จากนั้นล้างด้วยน้ำเปล่าให้สะอาด แล้วอย่าลืมเช็ดกระจกให้แห้งด้วยนะ เท่านี้กระจกภายในบ้านของคุณก็จะกลับมาใสปิ๊ง บอกลาคราบสกปรกไปได้เลย

3. สูตรเบกกิ้งโซดา

อีกหนึ่งวิธีเช็ดกระจกให้ใสปิ๊งด้วยสูตร เบกกิ้งโซดา เพราะเบกกิ้งโซดาจะช่วยทำความสะอาดกระจกได้อย่างดีเยี่ยม เพียงให้คุณนำเบกกิ้งโวดาผสมกับน้ำเปล่า 2-3 ถ้วยตวง และใส่เบกกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะ จากนั้นเทใส่ขวดสเปย์เพื่อนำไปเช็ดกระจก รับรองคราบน้ำบนกระจก คราบสิ่งสกปรกต่างๆ ก็จะหายไป

4. สูตรแป้งข้าวโพด + แอลกฮอล์ + น้ำส้มสายชู

ทราบหรือไม่ว่า? นอกจากแป้งข้าวโพดจะเป็นส่วนผสมของอาหารแล้ว ยังมีคุณสมบัติพิเศษในการเช็ดกระจกอีกด้วย โดยผสมแป้งข้าวโพด 2 ช้อนโต๊ะกับน้ำอุ่น คนให้แป้งข้าวโพดละลาย แล้วใช้น้ำส้มสายชูเทและแอลกฮอล์ผสมลงไป จากนั้นเทน้ำลงในขวดสเปย์ พอเสร็จแล้วก็นำไปใช้เช็ดกระจกได้เลย ง่ายนิดเดียว!!

5. สูตรมันฝรั่ง + น้ำอัดลม + น้ำส้มชายชู

สุดท้ายตามด้วยสูตรมันฝรั่ง ผสมกับน้ำอัดลม ซึ่งจะใช้เป็นมันฝรั่งที่ประกอบอาหาร สามารถทำง่ายๆ เพียงนำเนื้อมันฝรั่งไปถูกระจกที่เป็นคราบ  แล้วเทน้ำส้มสายชูตามไป แนะนำให้คุณทิ้งไว้สักประมาณ 5 นาที หลังจากนั้นเทน้ำอัดลมตามไปอีก ทิ้งไว้สักพักจึงค่อยเช็ดออกให้สะอาด เท่านี้ปัญหาคราบน้ำบนกระจก และคราบสิ่งสกปรกที่ฝังแน่นก็จะหลุดไป ทำให้บ้านของคุณดูน่าอยู่มากขึ้น

ทั้งหมดนี่ก็คือ วิธีเช็ดกระจกให้ใสปิ๊งด้วยงบสุดประหยัด เพียงคุณนำเทคนิคข้างต้นนี้ไปใช้ก็จะช่วยให้กระจกภายในบ้านของคุณสะอาดมากขึ้น ทั้งกระจกหน้าต่างบันได กระจกหน้าต่างห้องนอน กระจกหน้าต่างของรับแขก สูตรเหล่านี้จะช่วยลดปัญหาคราบน้ำบนกระจก คราบโคลน และคราบสกปรกได้ดีเลย ไม่เปลืองแรง แถมช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในบ้านอีกต่างหาก

แล้วเพื่อความสบายใจมากขึ้น อย่าลืมมองหาประกันบ้านและทรัพย์สิน เพื่อให้ช่วยคุ้มครองที่อยู่อาศัยของคุณด้วย ไม่ว่าจะเกิดภัยร้ายอย่าง ไฟไหม้ ฟ้าผ่า ระเบิด ภัยเนื่องจากน้ำ และลมพายุ ประกันบ้านจะเข้ามารับผิดชอบให้ทันที รวมถึงความเสียหายต่อกระจกอาคารอันเกิดจากการแตกด้วย บริษัทจะชดเชยค่าสินไหมให้กับผู้เอาประกันภัย แต่ไม่รวมความเสียหายของกระจกที่เกิดจากการเสื่อมสภาพเองนะ เอาเป็นว่า ถ้าคุณไม่อยากกังวลใจ แฟรงค์ว่ามีประกันบ้านติดไว้ก็ดีจะได้มีคนช่วยดูแลที่อยู่อาศัยของคุณด้วย

The post เคล็ดลับเช็ดกระจกให้ใสปิ๊งด้วยงบหลักร้อย appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

1. เก็บสายไฟและอุปกรณ์ไฟฟ้าให้มิดชิด

สิ่งสำคัญอย่างแรก คุณจะต้องหาอุปกรณ์เพิ่มความปลอดภัยให้บ้านหรือคอนโดของคุณ นั่นก็คือ อุปกรณ์จัดเก็บสายไฟ และฝาปิดรูปลั๊กไฟ เพราะว่าเด็กกำลังอยู่ในวัยซนอาจจะเผลอเอานิ้วมือเข้าไปแหย่ แล้วเกิดอันตรายต่อตัวเด็กได้ ดังนั้น คุณจะต้องเก็บทั้งเต้าปลั๊กไฟและสายไฟให้เรียบร้อย แนะนำให้เก็บอุปกรณ์ไฟฟ้าไว้ในที่สูง หรือใช้เป็นกล่องเก็บปลั๊กไฟ เพื่อป้องกันเด็กแอบดึงสายไฟเล่น

2. ประตูและหน้าต่างต้องล็อกให้สนิท

ต่อมาจุดที่ต้องเพิ่มความปลอดภัยในบ้าน ก็คือ “ประตูและหน้าต่าง” เนื่องจากบางทีเราอาจจะเผลอทำนู่นทำนี่จนลืมลูกน้อยไว้ เด็กอาจจะเปิดประตูหรือปีนหน้าต่างออกไปได้ ตามที่เคยพบเห็นในข่าวว่ามีเด็กปีนป่ายหน้าต่างแล้วตกลงมาขณะที่พ่อแม่ไม่ทันระวัง แต่โชคดีที่หน้าต่างไม่สูงมากจึงทำให้เด็กได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย เพราะฉะนั้นเพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อลูกน้อยอย่างเคสนี้ เราจะต้องล็อกประตูและหน้าต่างให้สนิททุกครั้ง ซึ่งการล็อกประตูบ้านและหน้าต่างให้มิดชิดก็เป็นวิธีป้องกันจอมโจรเข้าบ้านของคุณด้วยนะ หรือลองใช้กระจกแบบนิรภัยก็จะช่วยป้องกันการทุบกระจกจากด้านนอกด้วย

3. ติดตั้งประตูรั้วบริเวณทางขึ้นหรือลงบันได

หากว่าคุณต้องทำกิจวัตรประจำวันภายในบ้าน เช่น ซักผ้า กวาดบ้าน ถูบ้าน หลายคนก็จำเป็นต้องปล่อยให้ลูกน้อยวิ่งเล่นตามลำพัง บางทีเด็กอาจจะเดินปีนไต่ขึ้นบันได หรือถ้าเด็กอยู่ชั้นบนก็อาจจะเดินตกบันไดลงมาได้ ด้วยเหตุนี้คุณพ่อคุณแม่จะต้องหารั้วกันไว้ตรงบริเวณบันได จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในบ้าน และป้องกันอุบัติเหตุไม่ให้เด็กตกลงมา รวมถึงบริเวณภายในห้องครัวที่เสี่ยงภัยสูง หากเป็นไปได้ก็ควรหาที่กั้นไม่ให้เด็กเข้าไปเช่นกัน

** ทั้งนี้รั้วกั้นจะต้องสูงกว่าความสูงของเด็กที่สามารถปีนข้ามได้ด้วยนะจ๊ะ

4. เก็บของเล่นมีคม และของมีคมทุกชนิด

สำหรับอุปกรณ์จำพวกของมีคมทั้งหลาย เราก็ต้องเก็บให้พ้นจากมือเด็กด้วย เช่น ส้อม มีด คัทเตอร์ ปากกา ดินสอ และของเล่นมีคม เป็นต้น แนะนำให้คุณเก็บของมีคมอย่างมิดชิด เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกของมีคมบาด เพราะเด็กอาจจะเผลอคว้ามาตอนไหนก็ได้ คุณจะต้องดูแลเด็กให้ดีๆ แต่ถ้ากรณีเด็กโดนมีดบาดเลือดไหลไม่หยุดจะต้องทำยังไง เรามีคำตอบให้!!

5. เก็บอุปกรณ์ที่ทำจากแก้ว กระจก และโลหะ

นอกจากของมีคมที่เป็นอันตรายต่อเด็กแล้ว อุปกรณ์ที่ทำจากแก้ว เหล็กและโลหะ ก็ต้องจัดเก็บให้พ้นจากมือเด็กด้วย ซึ่งเด็กอาจจะเผลอทำแก้วแตก และเหยียบเศษแก้วที่หล่นตามพื้น ดังนั้น คุณจะต้องเก็บของเหล่านี้ตามตู้โชว์ที่มีบานปิดหนาแน่น รวมถึงกระจก และโลหะหนักๆ ที่อาจจะตกลงมาทับใส่ศีรษะเด็ก เราควรแยกเก็บในโซนที่ห่างไกลจากตัวเด็กดีกว่า แถมยังเป็นเทคนิคจัดบ้านให้น่าอยู่อีกด้วย

6. เลือกเฟอร์นิเจอร์ที่ไม่มีเหลี่ยมมุม

สำหรับเทคนิคการจัดบ้านอย่างตู้ โต๊ะ และเตียงนอน เราควรหาเฟอร์นิเจอร์แบบเหลี่ยมมนดีกว่า หรือหาแผ่นปิดบริเวณมุมเหล่านี้ จะช่วยป้องกันไม่ให้เด็กเดินชน หรือหกล้มแล้วศีรษะกระแทก ถือว่าเป็นจุดเล็กๆ ที่ไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด!! เพราะบางทีเด็กอาจจะไม่ได้ทันระวังตัวขณะวิ่งเล่น เอาเป็นว่าคุณพ่อคุณแม่ควรป้องกันเอาไว้ดีกว่าแก้นะ

7. เก็บอุปกรณ์ที่ให้ความร้อนอย่างมิดชิด

จากนั้นให้คุณเก็บภาชนะที่มีน้ำร้อนให้ห่างจากเด็ก ไม่ว่าจะเป็นหม้อต้มน้ำ กาน้ำร้อน รวมถึงอุปกรณ์ที่ทำจากความร้อนด้วย เช่น เตาแก๊ส เตารีด หม้อหุงข้าว เครื่องม้วนผม เครื่องลอนผม เป็นต้น อาจจะทำให้เด็กได้รับอันตรายจากการถูกลวก หรือเกิดไฟฟ้าช็อตขณะเอานิ้วมือไปจับได้ โดยเฉพาะโซนครัวจะต้องดูแลเด็กไม่ให้เข้าไปเพียงลำพัง

8. เก็บสารเคมีและสารพิษที่ก่อให้อันตราย

ส่วนผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีและสารพิษที่ก่อให้เกิดอันตรายที่ใช้ภายในบ้าน เช่น น้ำนาล้างจาน น้ำยาทำความสะอาดพื้นบ้าน และยากันยุง บางครั้งเด็กอาจจะไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นอันตราย แล้วเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กสัมผัสหรือทานสารเคมีนี้เข้าไป แนะนำให้คุณเก็บไว้ในกล่องที่ล็อกแน่นๆ จะช่วยไม่ให้เด็กหยิบของไปได้

9. ห้ามวางอ่างน้ำ หรือถังน้ำใกล้เด็ก

อย่างที่เคยตามข่าวบ่อยครั้ง กรณีเด็กตกลงไปในอ่างน้ำทำให้เด็กเกือบจมน้ำตาย บางรายก็โชคร้ายช่วยเหลือเด็กไว้ไม่ทัน ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จะต้องห้ามวางภาชนะที่ใส่น้ำอย่างเช่น โอ่งน้ำ อ่างน้ำ หรือถังน้ำอยู่ใกล้เด็ก รวมถึงสระว่ายน้ำ บ่อเลี้ยงปลา เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กปีนขึ้นไป หากจำเป็นจริงๆ จะต้องไม่ปล่อยให้เด็กอยู่เพียงลำพังโดยเด็ดขาด

10. เช็ดพื้นบ้านให้สะอาดอยู่เสมอ

หากเราพบว่าบริเวณพื้นภายในบ้านเปียกน้ำ ไม่ว่าจะอยู่ในโซนห้องรับแขก ห้องนอน ห้องครัว หรือลานหน้าบ้าน เราควรหาผ้ามาเช็ดทำความสะอาดบ้านให้แห้งเสมอ ส่วนถ้าเป็นในโซนห้องน้ำให้เราแบ่งแยกโซนแห้งกับโซนเปียกไว้ หรือหาวัสดุปูพื้นแบบกันลื่น เพื่อป้องกันอุบัติเหตุลื่นล้ม เราควรสำรวจบ้านและทำความสะอาดบ้านให้ครบทุกจุด

ทั้งหมดนี้ก็คือ เทคนิคการจัดบ้านให้ปลอดภัยสำหรับเด็กเล็ก อันที่จริงแล้วยังมีอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ ภายในบ้านที่คุณจะต้องเฝ้าระวังอีกมากมาย คุณจะต้องดูแลบ้านและดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้เพียงแค่เสี้ยวนาทีเดียว เพราะอุบัติเหตุย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ นอกจากการทำความสะอาดบ้านจะช่วยป้องกันอุบัติเหตุสำหรับเด็กเล็กแล้ว ยังช่วยป้องกันอุบัติเหตุภายในบ้านที่อาจเกิดขึ้นกับคุณได้ด้วยนะ

แต่ถ้าคุณกังวลใจเรื่องของที่อยู่อาศัย คุณก็สามารถซื้อประกันบ้านและทรัพย์สินกับ frank.co.th เพื่อให้คุ้มครองบ้านของคุณจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเกิดเคสไฟไหม้ ฟ้าผ่า แผ่นดินไหว ภัยจากลูกเห็บ และภัยเนื่องจากน้ำ ประกันก็จะช่วยดูแลบ้านให้คุณอุ่นใจในเบี้ยไม่แพง พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉินให้กับคุณทันที ติดต่อแฟรงค์ได้เลย!!

The post 10 วิธีเพิ่มความปลอดภัยในบ้านสำหรับเด็กเล็ก appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

1. ใช้เครื่องดูดฝุ่นภายในบ้าน

เริ่มจากการใช้อุปกรณ์ทําความสะอาดบ้านอย่าง “เครื่องดูดฝุ่น” ก่อน โดยเฉพาะโซนที่มีน้องหมาแมวชอบมานอนเล่นอยู่บ่อยๆ เช่น พรม เก้าอี้ เตียงนอน และโซฟา เป็นต้น เพียงดูดฝุ่นอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง  ก็จะช่วยกำจัดขนสัตว์เลี้ยง เศษฝุ่น ผงละอองได้เป็นอย่างดี สำหรับใครที่กลัวว่าจะแพ้ขนน้องหมาน้องแมว หรือบ้านที่มีเด็กเล็กอยู่ด้วย แนะนำให้ซื้อเครื่องกรองอากาศที่ดีต่อสุขภาพอย่างระบบโอโซน ระบบกรองฝุ่น จะช่วยทำให้เราหายใจสะดวก และแก้ปัญหาโรคภูมิแพ้ต่างๆ ไปในตัว
อ่านเพิ่มเติม : 7 อาการแมวป่วย สังเกตได้ไม่ยาก

2. เลือกน้ำยาถูพื้นบ้านที่มีฤทธิ์อ่อนๆ

ถึงแม้บ้านของคุณจะดูสะอาดยังไง แต่ความปลอดภัยของสัตว์เลี้ยงก็เป็นสิ่งสำคัญ ทางที่ดีเราควรเลือกใช้ “น้ำยาถูพื้นที่ไม่มีสารเคมีรุนแรง” จะดีกว่า เพราะบางทีน้องหมาน้องแมวอาจจะเผลอเลียน้ำยาถูพื้นที่ยังไม่แห้ง ซึ่งสารเคมีนั้นอาจจะทำให้เกิดอันตรายตามมา เอาเป็นว่าลองหันมาเลือกใช้น้ำยาถูพื้นด้วยสูตรธรรมชาติ ก็ช่วยให้บ้านของคุณสะอาดได้

เคล็ดลับทำน้ำยาถูพื้นด้วยตัวเอง : 

สำหรับอุปกรณ์ทําความสะอาดบ้าน ทำได้ง่ายนิดเดียว!! เพียงเติมน้ำอุ่นลงไปในถังแล้วใส่น้ำส้มสายชูขาวลงไปประมาณครึ่งถ้วยตวง จากนั้นผสมรับบิ้งแอลกอฮอล์หรือวอดก้าอีกครึ่งถ้วยตวง แล้วให้ผสมน้ำยาล้างจานไปสัก 2 ช้อนโต๊ะให้เข้ากัน พอเสร็จแล้วให้นำผ้ามาชุบเพื่อทำความสะอาดพื้นบ้าน

3. หาที่อยู่ให้สัตว์เลี้ยงเป็นหลักเป็นแหล่ง

เมื่อตัวเราเองยังมีบ้านอยู่อาศัย สัตว์เลี้ยงก็ต้องมีบ้านอยู่เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นบ้านหลังเล็กๆ หรือกระบะที่อยู่อาสัยสำหรับน้องหมาน้องแมว เพื่อให้พวกเขาได้มีบ้านเป็นหลักเป็นแหล่ง อีกทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้ขนสัตว์เลี้ยงร่วงหล่นตามพื้นบ้านด้วย แต่ในกรณีการเลี้ยงสัตว์แบบระบบปิดมากเกินไป ก็อาจจะทำให้สัตว์เลี้ยงเกิดอาการเครียดได้ ทางที่ดีเราอาจจะปล่อยให้เขาออกมาเล่นบริเวณภายในบ้านได้ตามเวลาที่เหมาะสม

4. ทำความสะอาดกระบะทรายแมว

สำหรับห้องน้ำส่วนตัวของน้องหมาน้องแมว หรือกระบะทรายแมว เราจะต้องเตรียมไว้ให้กับสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ เพื่อให้สัตว์เลี้ยงขับถ่ายสะดวกมากขึ้น ช่วยลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ รวมถึงการเจริญเติบโตของเชื้อเเบคทีเรียที่อยู่ในทราย แล้วที่สำคัญเราอย่าลืมเก็บอุจจาระและทรายที่จับตัวเป็นก้อนจากปัสสาวะแมวไปทิ้งทุกวัน หรือนำกระบะทรายแมวออกมาล้างด้วยน้ำสบู่อ่อนๆ ประมาณ 2-3 สัปดาห์ เพื่อสุขอนามัยที่ดีของน้องแมว แถมยังช่วยดูแลบ้านของคุณให้เป็นระเบียบมากขึ้น  
** แนะนำให้ใช้กระบะทรายแมวแบบโดมปิด จะช่วยป้องกันฝุ่นทราย กลิ่นไม่พึงประสงค์ และจุดซ่อนเร้นทุกอิริยาบทได้ดี นอกจากนี้เราควรใช้ทรายแมวที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ เพราะทรายแมวเหล่านี้จะไม่มีสารเคมีที่เป็นอันตราย และช่วยให้น้องแมวขับถ่ายโล่งสบาย

5. นำเสปย์ดับกลิ่นมาเป็นตัวช่วย

แน่นอนว่าการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงภายในบ้าน มักจะมีกลิ่นเหม็นอับชื้นอยู่แล้ว แต่เราก็สามารถใช้สเปย์หรือเจลดับกลิ่นมาเป็นตัวช่วยได้นะ เพื่อกลบกลิ่นขับถ่ายของน้องหมาน้องแมว พร้อมช่วยกำจัดแบคทีเรียภายในบ้านของคุณ หลังจากนั้นปัญหากลิ่นไม่พึงประสงค์ต่างๆ ก็จะหมดไปทันที

เคล็ดลับกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์

• น้ำส้มสายชู+น้ำเปล่า เพียงนำน้ำส้มสายชูมาผสมกับน้ำ ให้ฉีดไปยังบริเวณที่เคยมีหมาแมวมาปัสสาวะ ความเป็นกรดของน้ำส้มสายชูจะช่วยดับกลิ่นเหม็นให้เจือจาง แล้วให้นำแปรงสีฟันค่อยๆ ถูอีกครั้ง จากนั้นใช้กระดาษทิชชู่ซับจนกว่าจะแห้งสนิท
• เบกกิ้งโซดา+น้ำเปล่า ในกรณีที่คุณไม่ชอบกลิ่นเปรี้ยวของน้ำส้มสายชู ก็สามารถใช้เบกกิ้งโซดาผสมกับน้ำเปล่าได้ เพียงใส่ในขวดสเปย์แล้วฉีดพ่นบริเวณที่มีกลิ่น จากนั้นก็จะช่วยกลบกลิ่นฉุนของเสียไปได้

6. เก็บเฟอร์นิเจอร์ให้ห่างจากสัตว์เลี้ยง

ปัญหาเรื่องการดูแลบ้านที่พบได้บ่อยสำหรับคนเลี้ยงหมาแมว นั่นก็คือ “รอยขีดข่วน”  โดยเฉพาะตามพื้นไม้หรือเฟอร์นิเจอร์ไม้ เพราะบริเวณนี้น้องหมาน้องแมวจะชอบมาข่วนเล็บเป็นประจำ เราควรเก็บเฟอร์นิเจอร์ให้ห่างจากสัตว์เลี้ยงก่อน แต่ถ้าเราไม่สามารถเคลื่อนย้ายเฟอร์นิเจอร์ได้ แนะนำให้ตัดเล็บน้องหมาน้องแมวจะดีกว่า จะไม่ต้องมาคอยกังวลเรื่องรอยขีดข่วน
แล้วที่สำคัญเพื่อนๆ อย่าลืมเก็บข้าวของให้มิดชิด  โดยเฉพาะกระถางต้นไม้ที่ชอบวางไว้ในบ้าน เพราะเจ้าสัตว์เลี้ยงของเราจะมีความซุกซนอยู่ในตัว เวลาเราไม่อยู่บ้านน้องๆ อาจจะทำลายข้าวของเสียหาย ดังนั้น เราควรเก็บข้าวของให้ไกลๆ กันดีกว่า เพื่อความปลอดภัยต่อสัตว์เลี้ยงด้วย

หากเราไม่อยากเจอปัญหาเรื่องบ้านมากวนใจ สำหรับคนรักสัตว์เลี้ยงอย่างเราๆ ก็ลองปรับใช้วิธีทำความสะอาดบ้านนี้ได้เลย ทำเองได้สบายๆ แล้วยิ่งถ้าเราขยันดูแลบ้านหรือทำความสะอาดบ้านอยู่บ่อยๆ ก็จะได้ทั้งสุขอนามัยที่ดี แถมยังช่วยเพิ่มความสุขให้กับน้องหมาแมวอีกด้วย พอหลังจากศึกษาวิธีดูแลบ้านไปแล้ว เพื่อนๆ อย่าลืมมองหาประกันบ้านและทรัพย์สินจาก Frank ให้ช่วยดูแลความปลอดภัยด้วยนะ ไม่ว่าจะเป็นภัยจากเหตุไฟไหม้ ภัยธรรมชาติ และความเสียหายจากการบุกรุก ประกันบ้านจะเข้ามาช่วยคุ้มครองให้ทันที ทั้งตัวเราและสัตว์เลี้ยงก็จะได้สบายใจ

The post วิธีดูแลบ้านไม่ให้โทรม สำหรับคนเลี้ยงหมา-แมว appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

1.  สำรวจหลังคาบ้านที่รั่ว ให้รีบซ่อมทันที

เพราะหลังคาบ้าน เปรียบเสมือนมงกุฏของบ้าน  ที่จะช่วยป้องกันทั้งแสงแดด ลม และฝนให้กับเรา หากวันใดวันนึงเกิดหลังคารั่วก็จะไม่มีเกาะป้องกันอันตรายต่างๆ จากภายนอก ซึ่งจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ตามมาในช่วงหน้าฝน ดังนั้นผู้อยู่อาศัยจะต้องสำรวจหลังคาบ้านให้ครบทุกจุด ว่ามีหลังคาบ้านรั่วตรงไหนบ้าง รวมถึงรอยร้าว รอยแตก ก็ให้รีบทำการซ่อมหลังคาบ้านทันที แต่ถ้าหลังคาบ้านรั่วเป็นรอยใหญ่และจัดการยาก แนะนำให้ติดต่อช่างผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางมาแก้ไขดีกว่า

2. ตรวจสอบแนวรั่วซึมของหน้าต่างและผนัง

เคยสงสัยไหมว่า? ทำไมน้ำฝนยังไหลซึมเข้ามาในบ้านได้ ทั้งๆ ที่ประตูหน้าต่างก็ปิดสนิทดีแล้ว สาเหตุนั้นอาจมาจากซิลิโคนเก่าหมดสภาพหรือปิดสนิทไม่ดีพอ เลยทำให้เกิดรอยรั่วซึมจากขอบยาแนวหน้าต่างและขอบประตู สามารถแก้ไขเบื้องต้นง่ายๆ ด้วยการกรีดซิลิโคนเก่าออกมาแล้วค่อนยิงซิลิโคนใหม่ เพื่อยึดขอบหน้าต่างและประตูตามตำแหน่งที่ต้องการ  จะช่วยป้องกันไม่ให้น้ำฝนสาดหรือซึมเข้ามาได้

3. สำรวจรางน้ำฝนไม่ให้สิ่งสกปรกอุดตัน

สำหรับการติดตั้งรางน้ำฝนก็เป็นอีกหนึ่งวิธีการดูแลรักษาบ้านช่วงหน้าฝน มันจะช่วยป้องกันไม่ให้น้ำฝน หรือสิ่งสกปรกต่างๆ ไหลลงมาเปื้อนกับผนังบ้านของคุณ ไม่ให้บ้านเกิดความเสียหาย แต่ทั้งนี้เราก็จะต้องตรวจเช็กรางน้ำฝนให้พร้อมใช้งาน แล้วอย่าลืมสำรวจว่ามีเศษใบไม้หรือกิ่งไม้อุดตันตามรางน้ำฝนหรือไม่ เพราะถ้าฝนตกหนักจะไม่สามารถระบายน้ำฝนได้ทัน อาจจะทำให้ตัวบ้านของคุณได้รับความเสียหาย ดังนั้น เพื่อนๆ อย่าลืมตรวจเช็กรางน้ำฝนในช่วงหน้าฝนกันด้วยนะ

4. เช็กระบบไฟฟ้า ให้อยู่ในที่ปลอดภัย

เมื่อฝนตก ฟ้าร้อง ฟ้าผ่าในช่วงหน้าฝนแบบนี้ เราก็ต้องหมั่นเช็กระบบไฟฟ้าให้ใช้งานปลอดภัยด้วย เพราะหน้าฝนอาจจะทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าดับ ไฟฟ้าลัดวงจรได้ง่าย แนะนำให้เราตรวจสอบอุปกรณ์ไฟฟ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกตัวให้อยู่ห่างจากน้ำและความชื้น  แล้วอย่าใช้มือเปียกๆ สัมผัสกับสวิทซ์ไฟฟ้าหรือปลั๊กไฟเด็ดขาด! อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ อีกทั้งถ้าเราสังเกตเห็นกระเเสไฟฟ้ามีรอยรั่ว รอยชำรุด ก็ควรติดต่อให้ช่างไฟฟ้าเข้ามาตรวจสอบทันที
** ทางที่ดีเราควรติดตั้งเครื่องตัดไฟฟ้าลัดวงจรภายในบ้านอัตโนมัติ เพื่อความปลอดภัยขณะใช้งาน

5. สังเกตพื้นบ้าน และพื้นที่น้ำท่วมขัง

ทั้งนี้ผู้อยู่อาศัยก็อย่าลืมตรวจสอบพื้นบ้านในบริเวณที่มีน้ำฝนกระเด็นใส่ หรือมีน้ำท่วมขังกันด้วยนะ ไม่ว่าจะเป็นบริเวณทางเดิน ระเบียง ทางเข้าออกของบ้าน เป็นต้น ทั้งนี้เราจะต้องเช็ดทำความสะอาดให้พื้นบ้านแห้งอยู่ตลอดเวลา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุภายในบ้าน แถมยังช่วยทำความสะอาดบ้านให้น่าอยู่อีกด้วย ส่วนตรงบริเวณสวนภายในบ้านถ้ามีแหล่งน้ำท่วมขังอย่าปล่อยทิ้งไว้นานๆ เพราะอาจจะทำให้รากต้นไม้เกิดเน่าตาย และกลายเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ต่างๆ เราควรรีบระบายน้ำออกจากพื้นที่ท่วมขังให้เร็วที่สุด 
นอกจากนี้เราอย่าลืมสำรวจต้นไม้ กิ่งไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้บ้านของคุณด้วย หากยื่นเข้ามาภายในตัวบ้านก็ให้ตัดออกทันที เพื่อป้องกันไม่ให้ลมฝนพัดพาต้นไม้มาทับตัวบ้านของเรา รวมถึงเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้านบางชนิดที่ไม่ถูกกับฝน โดยเฉพาะเฟอร์นิเจอร์ไม้อาจจะใช้วิธีการเคลื่อนย้ายเฟอร์นิเจอร์ให้อยู่ในพื้นที่สูงหรือปลอดภัยจากความชื้น แต่ถ้าเป็นเฟอร์นิเจอร์ภาคสนามอาจจะหาผ้าคลุมกันฝนกันแดดแทน เพื่อให้ยืดอายุการใช้งานเฟอร์นิเจอร์นานขึ้น
อ่านเพิ่มเติม : เทคนิคจัดบ้านให้น่าอยู่ด้วยงบสุดประหยัด

หลังจากอ่านวิธีรับมือกับหน้าฝน วิธีการดูแลรักษาบ้านของคุณแล้ว ถ้าคุณอยากเพิ่มความอุ่นใจมากขึ้น อย่าลืมทำประกันภัยบ้านและทรัพย์สิน กับ Frank.co.th ให้ช่วยดูแลบ้านจากภัยธรรมชาติ อย่างเช่น ฟ้าผ่า ภัยเนื่องจากน้ำ ลมพายุ และเครื่องใช้ไฟฟ้าลัดวงจรจากฟ้าผ่า ประกันบ้านก็จะเข้ามารับผิดชอบค่าใช้จ่ายในส่วนตรงนี้ให้ พร้อมรับประกันความคุ้มครองหลากหลาย นอกจากนี้เรายังมีบริการช่างซ่อมไฟฟ้า ช่างซ่อมปะปา และบริการกำจัดสัตว์ดุร้ายรบกวนในบ้านอีกด้วยนะ หมดห่วงปัญหาเรื่องบ้านในช่วงหน้าฝนทันที

The post 5 สิ่งที่ต้องตรวจเช็กภายในบ้าน รับมือช่วงหน้าฝน appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

1. เครื่องฟอกอากาศช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้

เนื่องจากเครื่องฟอกอากาศจะทำหน้าที่ดักจับฝุ่นละอองก่อนที่จะปล่อยอากาศที่บริสุทธิ์ออกมา หากเราใช้เครื่องฟอกอากาศก็จะช่วยกำจัดฝุ่นละออง ฝุ่นpm 2.5 เชื้อแบคทีเรีย ขนสัตว์ เกสรดอกไม้ที่สะสมอยู่ภายในบ้านได้เป็นอย่างดี  อีกทั้งช่วยลดปัญหาอาการแพ้ฝุ่น แพ้อากาศ โรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด หรือโรคระบบทางเดินหายใจอีกด้วย

2. เครื่องฟอกอากาศช่วยให้ปอดทำงานดีขึ้น

เมื่อเราสูดอากาศที่บริสุทธิ์ตามธรรมชาติ อย่างเช่น ต้นไม้หรือดอกไม้ มันจะช่วยให้ปอดของเราเเข็งแรงมากขึ้น แต่หากเราจำเป็นต้องอยู่ภายในบ้านล่ะ? เครื่องฟอกอากาศก็สามารถช่วยคุณได้เหมือนกันนะ เพราะเครื่องฟอกอากาศมีระบบโอโซนมาใช้ในการฟอกอากาศ  มันจะช่วยกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือสารระเหยต่างๆ ส่งผลดีต่อระบบปอดให้แข็งแรง และหายใจสะดวกขึ้น เหมาะกับคนที่มีอาการแพ้ฝุ่น แพ้อากาศโดยเฉพาะ

3. เครื่องฟอกอากาศช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย

ประโยชน์ของเครื่องฟอกอากาศที่กรองอากาศบริสุทธิ์ ยังช่วยให้ร่างกายได้ผ่อนคลายอีกด้วยนะ ถ้าวันไหนคุณเหนื่อยๆ จากการทำงานแล้วกลับมาเปิดเครื่องฟอกอากาศจะช่วยปรับอากาศภายในบ้านให้สดชื่นมากขึ้น ทำให้ลดอาการซึมเศร้า ลดความตึงเครียดต่างๆ ได้ดี  โดยเฉพาะสมัยนี้เครื่องฟอกอากาศมีลูกเล่นใหม่ด้วยการเพิ่มความหอมอโรม่า กลิ่นดอกไม้เข้าไปจะช่วยขจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ภายในบ้านของคุณด้วย

4. เครื่องฟอกอากาศช่วยให้นอนหลับสบาย

สำหรับคนที่นอนหลับยาก แก้ยังไงก็ไม่หาย สาเหตุอาจจะมาจากฝุ่นละอองที่สะสมภายในห้องนอนของคุณ เลยทำให้คุณแพ้ฝุ่นจนนอนไม่หลับนั่นเอง แต่ถ้าคุณมีเครื่องฟอกอากาศดีๆ ที่ทำหน้าที่กรองฝุ่นเหล่านี้  ก็จะช่วยให้ฝุ่นละอองหรือเชื้อแบคทีเรียลดน้อยลง มีประสิทธิภาพในการนอนหลับมากขึ้น ส่งผลให้คุณนอนหลับเพียงพอ พร้อมตื่นเช้าขึ้นมาสดชื่นแน่นอน
อ่านเพิ่มเติม : 7 วิธีแก้อาการนอนไม่หลับ ช่วยให้ผ่อนคลายขึ้น

ถึงแม้เครื่องฟอกอากาศจะดีต่อสุขภาพอย่างโรคภูมิแพ้ได้จริง แต่ใช่ว่าจะรักษาให้หายขาดเชียวนะ มันก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งานและวิธีดูแลรักษาที่ถูกต้องด้วย ทั้งนี้เราจะต้องทราบว่าแผ่นกรองฝุ่นหรือไส้กรองของเครื่องฟอกอากาศนั้นมีอายุใช้งานที่ต่างกัน เราก็ควรเปลี่ยนแผ่นกรองฝุ่นตามที่กำหนด เพื่อให้เครื่องฟอกอากาศทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 
พอเห็นประโยชน์ของเครื่องฟอกอากาศแล้วใช่ไหมล่ะ?! เพื่อสุขภาพตัวคุณเองและคนในครอบครัว การทำประกันสุขภาพเผื่อไว้ก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เราก็สามารถซื้อประกันสุขภาพในราคาเริ่มต้นหลักพัน แต่คุ้มครองสูงสุดไปจนถึงหลักแสนเลยล่ะ เผื่อไว้ยามฉุกเฉินก็สามารถนำเงินสำรองมาจ่ายค่ารักษาได้ ก็จะช่วยทำให้คุณใช้ชีวิตได้อย่างอุ่นใจ หรือสามารถเพิ่มความคุ้มครองอื่นๆ อย่างเช่น ประกันโรคร้ายแรงก็ทำได้เช่นกัน แล้วที่สำคัญเพื่อนๆ ก็อย่าลืมหันมาดูแลสุขภาพตัวเองกันด้วยนะจ๊ะ
 

The post เครื่องฟอกอากาศภายในบ้าน ดีต่อสุขภาพอย่างไร? appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

พื้นลื่น

เป็นอุบัติเหตุที่มักเกิดขึ้นบ่อยที่สุด เพราะเราต้องใช้ชีวิตเคลื่อนที่ไปมาอยู่ภายในบ้านเป็นประจำ หากพื้นบ้านของเราเป็นพื้นขัดมันหรือปูกระเบื้องด้วยแล้วก็จะเพิ่มความเสี่ยงทำให้ลื่นได้ง่ายขึ้น รวมถึงพื้นห้องน้ำก็เป็นสถานที่ที่มีโอกาสลื่นล้มบ่อยเช่นกัน เมื่อคุณอยู่ในบ้านควรเดินอย่างระมัดระวัง อย่าวิ่งในบ้าน เมื่อทำของเหลวหกลงบนพื้นก็อย่าปล่อยไว้ ให้หาผ้ามาเช็ดหรือทำความสะอาดทันที และถ้าจะให้ดีควรหาซื้อรองเท้าเดินในบ้านมาใส่ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงลื่นล้มในบ้านได้
 

ไฟดูด

ไฟดูดเป็นอุบัติเหตุในบ้านที่อันตรายถึงชีวิต อุปกรณ์ในบ้านส่วนใหญ่มักเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า หากไม่ได้มาตรฐานหรือใช้งานมานานอาจเกิดไฟฟ้าลัดวงจรได้ ต้องจำไว้เสมอว่าตอนมือเปียกน้ำอย่าเสียบปลั๊กไฟ และที่สำคัญหากบ้านของคุณมีเด็กเล็กก็ยิ่งต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเพราะเด็กอาจซุกซนเอามือแหย่เข้าไปในรูปลั๊กไฟได้เช่นกัน ควรจะติดตั้งฝาครอบปลั๊กไฟเพื่อกันอันตรายจากเด็กด้วย นอกจากนี้หากบ้านของคุณติดตั้งอุปกรณ์ตัดไฟก็จะช่วยลดปัญหาไฟดูดได้ หมั่นตรวจอุปกรณ์ไฟฟ้าบ่อย ๆ และติดตั้งสายดินให้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าแรงสูง
 

น้ำร้อนลวก

น้ำร้อนลวกเป็นอุบัติเหตุในบ้านที่เกิดขึ้นเป็นประจำและเกิดขึ้นได้ทุกวัยไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ส่วนมากเกิดจากความไม่ระวัง และหากคุณชอบเข้าครัวทำอาหารรับประทานเองด้วยแล้ว ก็มีโอกาสที่จะโดนน้ำร้อนลวกหรือน้ำมันกระเด็นใส่บ่อยครั้ง สำหรับวิธีปฐมพยาบาลเมื่อโดนน้ำร้อนลวกคือล้างแผลด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำเหลือแล้วซับด้วยผ้าให้แห้ง จากนั้นทายาปฏิชีวนะที่แผล หากแผลสาหัสก็ต้องรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที
 

พลัดตกจากที่สูง

เป็นอีกหนึ่งอุบัติเหตุในบ้านที่เกิดจากความประมาท ไม่ว่าจะเป็นการตกบันได การตกจากระเบียง ตกจากเก้าอี้ขณะเก็บของหรือทำคามสะอาด ตกจากบันไดพับขณะเปลี่ยนหลอดไฟ ซึ่งจะทำให้คุณได้รับบาดเจ็บหนัก และอาจถึงขั้นเสียชีวิตหรือพิการหากอวัยวะส่วนสำคัญได้รับการกระแทกอย่างรุนแรง ทางแก้ก็คือต้องมัดระวังให้มากขึ้น และไม่เสียงทำงานบ้านที่อันตรายจนเกินไป
 

สะดุดสิ่งของ ของหล่นใส่

หลายคนคงเคยมีประสบการณ์เดินเตะหรือสะดุดสิ่งของที่ตั้งอยู่ในบ้าน ตลอดจนทำสิ่งของหล่นใส่เท้าขณะเคลื่อนย้าย ซึ่งอาการบาดเจ็บก็จะมีตั้งแต่ได้รับแผลฟกช้ำเล็กน้อย ไปจนถึงเกิดบาดแผลเลือดออก ดังนั้นเวลาเคลื่อนย้ายสิ่งของต้องทำด้วยความระมัดระวังเสมอ และหมั่นเก็บของให้เป็นระเบียบ อย่าวางเกะกะ เพราะคุณอาจเดินสะดุดได้
 

ของมีคมบาด

มีดทำครัว คัตเตอร์ กรรไกร ล้วนเป็นของมีคม ที่ทำอันตรายให้กับคุณได้ถ้าไม่ระมัดระวังให้ดีพอ ของมีคมทั้งหลายควรเก็บให้เป็นระเบียบหลังจากใช้งานแล้วทุกครั้ง และไม่ควรนำไปวางรวมกับสิ่งของอื่น ๆ เพราะถ้าเรารื้อหาของอาจมีโอกาสถูกบาดได้ ส่วนเวลาใช้งานของมีคมเหล่านี้ก็ต้องระมัดระวังให้ดีเช่นกัน
จากอุบัติเหตุภายในบ้านที่เกิดขึ้นทั้งหมด ล้วนมีสาเหตุจากความประมาททั้งสิ้น แม้ว่าเราจะระมัดระวังแค่ไหนการเกิดอุบัติเหตุก็ยังคงมีโอกาสเกิดขึ้นได้อยู่เช่นกัน และการเกิดอุบัติเหตุหนัก ๆ บางครั้ง อาจต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษา ซึ่งคุณต้องรับภาระจ่ายค่ารักษาพยาบาลที่แสนแพงด้วยเช่นกัน เพื่อความอุ่นใจของคุณลองหาประกันอุบัติเหตุดีดีสักตัวคุ้มครอง ก็จะเป็นการแบ่งเบาภาระค่ารักษาพยาบาลได้อีกทางหนึ่ง
ขอบคุณข้อมูลจาก :  gurubaan, shera, theasianparent

The post อุบัติเหตุในบ้าน ความเสี่ยงที่ไม่ควรมองข้าม appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.