1. ทำความสะอาดเบาะและพรม

ถ้าหากว่ารถของคุณ เบาะนั่งเป็นแบบผ้าสักหลาด หรือแบบผ้ากำมะหยี่ และพรมปูพื้นที่ชอบอมฝุ่น แถมยังโดนน้ำไม่ค่อยได้ ก็ให้ใช้เครื่องดูดฝุ่น ดูดตามซอกตามมุมต่างๆ ที่เข้าถึงได้ยาก เพราะฝุ่นก็มักจะไปรวมตัวกันอยู่จุดนั้น หรือใช้เทปกาวเหนียวๆ แปะไปตามจุดต่างๆ ของเบาะนั่ง หรือพรม แล้วก็ดึงขึ้นมา แค่นี้ เศษฝุ่นก็ติดออกมาด้วยแล้ว หรือจะใช้ลูกกลิ้งกำจัดขน หรือแปรงปัดขนก็ย่อมได้

2. ทำความสะอาดระบบแอร์

ระบบแอร์ถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะต้องหมุนเวียนอากาศทั้งภายในรถ รวมถึงรับอากาศด้านนอกเข้ามา และเป็นแหล่งรวมเชื้อโรค เชื้อรา อีกด้วย ให้คุณลองตรวจดูช่องแอร์ ดูกรองอากาศแอร์ ว่าสกปรกมากน้อยหรือยัง ถ้าพบว่าเริ่มมีฝุ่นติดมาก ก็ควรเปลี่ยนกรองอากาศอันใหม่ ซึ่งในปัจจุบันก็มีกรองอากาศ ที่สามารถกรองอนุภาคฝุ่นเล็กระดับ PM 2.5 ได้
หรือถ้าไม่ได้ล้างตู้แอร์มานาน ก็ลองขับรถเข้าร้านแอร์รถยนต์ ถอดตู้แอร์ออกมาล้างทั้งชุดเลย เพื่อความชัวร์ในความสะอาด แต่อาจจะยุ่งยากหน่อย และต้องแวคน้ำยาแอร์ใหม่ เปลี่ยนไดเออร์แอร์ใหม่ และเปลี่ยนวาล์วความดัน แต่ก็แลกกับความสะอาดมากกว่าการล้างแบบไม่ต้องถอดตู้แอร์

3. ราวจับ ที่เปิดประตู ก็สำคัญ

จุดที่มีการสัมผัสบ่อย เช่น พวงมาลัย ก้านไฟเลี้ยว ที่เปิดประตูนอกรถ-ในรถ ตัวล็อคเข็มขัดนิรภัย คันเกียร์ ปุ่มต่างๆ หรือบริเวณเบรกมือ และราวจับบนหลังคา อาจจะเป็นแหล่งสะสมเชื้อโชคชั้นดี ควรหาน้ำยาฆ่าเชื้อโรค มาเช็ดตามบริเวณจุดดังกล่าว เพราะเราไม่รู้ว่า ก่อนที่คนๆ นั้น จะมานั่ง ไอจามหรือใช้มือจับอะไรมาบ้าง

4.ล้างรถหน่อยก็ดี

คราบความสกปรกบนตัวรถ ไม่ว่าจะเป็นคราบฝุ่น คราบไคล ขี้นก หรือสิ่งสกปรกต่างๆ เป็นแหล่งสะสมเชื้อโชคได้เป็นอย่างดี ถ้าหากว่ารถคุณเริ่มสกปรกเมื่อไหร่ ก็จัดการล้างรถให้สะอาด นอกจากจะดูดีแล้ว ยังดูไม่สกปรก เหมือนแหล่งรวมเชื้อโรคอีกด้วยครับ

และสำหรับใครก็ตาม ที่ตอนนี้กำลังอยากขายรถ ก็สามารถขายรถคันเดิมกับทาง CARRO ได้ง่ายๆ เพราะเรารับซื้อรถของคุณ ที่ CARRO Express เพียงแค่คลิก https://th.carro.co/sell-car/express หรือสามารถ Inbox มาขอรายละเอียดได้ที่ Facebook Carro Thailand ได้ครับ
 

The post 4 เคล็ดไม่ลับ ไล่ฝุ่นและไวรัสในรถ กับ CARRO appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

• ราคารถที่ถูกกว่ารถมือหนึ่ง ตั้งแต่หลักแสนบาทไปจนถึงหลายแสนบาท
• และยังมีให้เลือกมากมายหลายรุ่น ตามความต้องการของคุณ

งานนี้แฟรงค์ได้รับคำแนะนำจาก Mr.Carro ผู้เชี่ยวชาญด้านรถยนต์มือสอง จาก Carro ขอแนะนำวิธีการดูรถมือสอง ดูอย่างไร ให้ได้รถคุณภาพ ถูกใจ คุ้มค่าคุ้มราคากันครับ
หากคุณจะเลือกรถมือสองสักคัน ถ้าอยากได้รถเปิดตัวใหม่ หรือรถยนต์ที่จำหน่ายมานานปีลึก ๆ  เราขอแนะนำรถตลาดเป็นหลัก เพราะซื้อง่ายขายคล่อง มีศูนย์บริการให้เข้าได้ หรืออู่นอกก็ซ่อมได้ ยิ่งรถมือสองปีลึก ๆ บางรุ่น เวลาหาอะไหล่ ไม่ง่ายเหมือนรถมือสองปีใหม่ ๆ นะครับ

วิธีเลือกรถมือสองแบบเจาะลึก

1. ดูตัวถังภายนอกให้ครบ

ดูวิธีดูรถแบบพื้นฐานก็ต้องเริ่มมองจากตัวถังภายนอก ดูว่าตัวรถสมดุลกันทั้งสองฝั่งหรือไม่ มีร่องรอยของการทำสี มีรอยคลื่น มีสีปูดพอง หรือตัวถังผุหรือไม่ ดูร่องรอยการเฉี่ยวชน หรือดูได้จากคานหน้า ถ้าคานหน้าเดิม จะต้องมีสติกเกอร์ต่าง ๆ มาจากโรงงาน ดูรอยอาร์ค รอยตะเข็บ ดูช่องไฟของฝากระโปรงหน้า ประตูรถ หรือฝากระโปรงท้าย รวมไปถึงขอบกระจกทุกมุมก็ต้องเช็คให้ดี เพราะหลายคันน้ำชอบเข้ามาตามจุดนี้ เป็นต้น

2. ดูห้องโดยสาร

ส่วนห้องโดยสารภายใน ก็ดูว่าสภาพเบาะนั่ง ยางขอบประตู สมบูรณ์หรือไม่ พรมปูพื้นรถเคยมีน้ำเข้ามาหรือเปล่า สภาพแผงคอนโซล มีแตกหักหรือไม่ ฟังก์ชั่นต่างๆ ในรถ ใช้งานได้ครบทุกจุดหรือไม่ รวมไปถึงระบบแอร์ ที่เปิดแล้วเย็นหรือไม่ เป็นต้น

3. เช็กห้องเครื่อง

ห้องเครื่องยนต์ ก็เป็นส่วนสำคัญ ดูว่ามีน้ำมันเยิ้มตามฝาสูบ ข้อต่อ สังเกตสีน้ำหล่อเย็นในหม้อน้ำ หรือเช็คว่ามีน้ำดันออกจากหม้อน้ำตอนติดเครื่องหรือไม่ สภาพท่อน้ำ สายไฟ ชุดสายพานต่างๆ ระบบแอร์ สภาพช่วงล่าง เบ้าโช๊คอัพ ดูว่าเป็นอย่างไรบ้าง เป็นต้น

4. อย่าลืมทดลองขับ

เวลาไปทดลองขับ ฟังเสียงเครื่องยนต์ เสียงของระบบแอร์ สภาพยาง ระบบเบรก ช่วงล่างหน้า-หลัง เพลาขับ เมื่อขับแล้ว รู้สึกอย่างไรบ้าง มีหลุดลื่นร่อน หรือเสียงดัง เสียงแปลก ๆ แปร่ง ๆ หรือไม่ ...
ยิ่งถ้าคุณจะต้องใช้รถในพื้นที่กรุงเทพฯ เราขอแนะนำรถเกียร์อัตโนมัติ เพื่อป้องกันอาการเมื่อยเวลาเจอรถติด ๆ แทบทั้งวัน ขับเกียร์อัตโนมัติสบายกว่า แต่ก็ต้องเตรียมเงินไว้ซ่อมเกียร์อัตโนมัติด้วย เพราะรถมือสองหลายคัน เกียร์อัตโนมัติ (โดยเฉพาะเกียร์แบบ CVT) มักเริ่มจะมีปัญหา หลังจากการใช้งานไปหลายปี ซึ่งราคาเกียร์บางรุ่น บางยี่ห้อ ของใหม่ แพงพอ ๆ กับราคาตัวรถเลยก็มี
เอาเป็นว่า ก่อนจะไปดูรถมือสองที่ไหนก็ตาม ลองทำตามวิธีที่ Mr.Carro แนะนำมานี้ รับรองได้ประโยชน์แน่นอนครับผม
Rewrite by Butter Cutter

The post ส่องรถมือสองก่อนซื้อ ดูอย่างไร ให้ได้รถคุณภาพ appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

1. เจ้าชายกบ 

ไม่ใช่นิทานนะครับ แต่ “เจ้าชายกบแห่งเมืองสตุ้ทการ์ด” หรือ “เจ้าชายกบทรงพลัง” เป็นฉายาของรถซุปเปอร์คาร์ Porsche เป็นรถซุปเปอร์คาร์มาจากเยอรมนีจำหน่ายเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1948 คนไทยเราชอบอ่านออกเสียงอยู่หลายแบบเช่นที่เราเคยได้ยินอย่าง พอร์เช่ บ้างก็เรียก ปอร์เช่ หรือพอร์ช จริงๆ เรียกได้หมดนะครับ ไม่ผิด เพราะเป็นการออกเสียงของแต่ละชาติที่แตกต่างกัน

• พอร์เช่อ หรือปอร์เช่ ออกเสียงแบบคนเยอรมัน 
• พอร์ช ออกเสียงแบบคนอังกฤษ และอเมริกัน

บางทีเราก็จะเห็นตามนิตยสาร หรือสื่อที่เกี่ยวกับรถยนต์ใช้คำว่า “เจ้าชายกบ” แทนชื่อ Porsche อาจจะเป็นเพราะไฟหน้ากลมโตราวกับกบนั้นเอง อย่างไรตามมีบางสื่อที่เรียกว่า “ม้าป่าแห่งสตุ๊ทการ์ท” เหมือนกันนะ เอาเป็นว่าอยากเรียกอะไรเลือกตามชอบเลย

2. ม้าลำพอง

เกร็ดความรู้สำหรับคนรักรถถามว่า รถซุปเปอร์คาร์ มียี่ห้ออะไรบ้างคุณต้องไม่พลาดที่จะรู้จักกับฉายาซุปเปอร์คาร์อย่าง “ม้าลำพอง” หรือ Ferrari (เฟอร์รารี่) จำหน่ายมานานตั้งแต่ปี ค.ศ. 1929 รถสปอร์ตเนียบทุกกระเบียดนิ้วจากเมืองมาราเนลโล ประเทศอิตาลี ส่วนที่มาที่ไปของคำว่า ม้าลำพอง หรือชื่อเต็ม ๆ ว่า “ม้าลำพองจากเมืองมาราเนลโล (The Prancing Horse From Maranello)” ดูได้จากโลโก้ของเฟอร์รารี่ครับ เป็นรูปม้ากำลังทะยานอยู่กลางอากาศเห็นชัดเจนฝุด ๆ  
ส่วนประวัติความเป็นมาเว็บไซต์เกี่ยวกับรถยนต์อย่าง motor1.com เล่าเรื่องราวต้นกำเนิด “The Origin Of Ferrari's Prancing Horse” ไว้อย่างน่าสนใจทั้งนี้ Frank ขออนุญาตหยิบมาเล่าบางประโยค

“One day, Ferrari met the parents of the famed World War One pilot Francesco Baracca who’s plane donned a prancing horse on its fuselage. They asked him to put the stallion on his cars for good luck. Enzo obliged and added a yellow backing, a color symbolic of Maranello, to create his emblem.”

แปลเป็นไทยสรุปได้ว่า เอ็นโซ เฟอร์รารี่ ผู้ก่อตั้งเฟอร์รารีได้พบกับพ่อแม่ของนักบินฟรานเชสโค บารัคคา ผู้โด่งดังจากสงครามโลกครั้งที่ 1  และพวกเขาได้ขอให้วางสัญลักษณ์ประจำตัวของฟรานเชสโคที่เป็นรูปม้าป่าไว้บนรถเฟอร์รารี่เพื่อเพิ่มโชคดี เอ็นโซจึงเลือกใช้โลโก้ม้าพร้อมกับพื้นหลังสีเหลืองสัญลักษณ์ของเมืองมาราเนลโล่ (Maranello) จนมาเป็นเฟอร์รารี่ม้าลำพองในวันนี้ 

3. กระทิงดุ

พี่ดุนะหนูไหวหรอ? (555+) เดี๋ยว ๆ เรายังคงคุยกันเรื่องชื่อรถหรูภาษาไทย หรือฉายารถซุปเปอร์คาร์อยู่นะครับ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด เพราะฉายา “กระทิงดุ” เป็นชื่อของรถสปอร์ตหรูสายดุดัน “ลัมโบร์กินี (Lamborghini)” มาจากอิตาลีปัจจุบันอยู่ในเครือโฟล์กสวาเกนกรุ๊ป ความเป็นมาของคำว่า “กระทิงดุ” ดูได้จากโลโก้ครับ เป็นกระทิงที่กำลังสู้อยู่ ไอเดียมาจากการแข่งขันสู้กระทิงในเสปน 
ถึงลัมโบกินีและเฟอร์รารี่จะมาจากอิตาลี ย้ำว่า “อย่าจำกระทิงดุสลับกับม้าลำพอง” เพราะเป็นฉายาของคนละค่ายเลยนะ (555+) และที่สำคัญทั้งสองยี่ห้อเป็นคู่แข่งทางการตลาดกันด้วยแหละ อิอิ แหม่… เล่าไปเล่ามา “อยากได้กระทิงดุไว้ดูแลสักคันจัง”

4. พยัคฆ์ลำพอง

ส่วนรถสปอร์ตซุปเปอร์คาร์ “จากัวร์ (Jaguar)” มาพร้อมความหรูหรา รวดเร็ว ว่องไว มีต้นกำเนิดในเมืองโคเวนทรี อังกฤษ ถูกเปลี่ยนมือบ่อยครั้งครับ แต่ปัจจุบัน (2019) จากัวร์อยู่ภายใต้การบริหารของทาทามอเตอร์ส มีโลโก้คือ “เสือจากัวร์” สัตว์ป่าตระกูลแมว จึงไม่แปลกที่จะถูกเซียนรถเรียกว่า “พยัคฆ์ลำพอง” ครับ

5. ค่ายนางฟ้า

“นั่นก็นางฟ้า นี้ก็นางฟ้า” เป๊ะปังอลังเวอร์ เป็นอีกเกร็ดความรู้สำหรับคนรักรถที่น่าสนใจครับ สำหรับฉายาของค่ายโรลส์-รอยซ์ (Rolls-Royce) ที่สุดแห่งยนตรกรรมจากเกาะผู้ดีอังกฤษ ความเนียบ เฉียบ หรูหรามีระดับ ส่วนใหญ่จะเป็นรถยนต์ของเชื้อพระวงศ์ ผู้มีชื่อเสียง และคนดังเป็นหลัก เพราะด้วยราคาแพงระยับติดอันดับรถแพงที่สุดในโลกปี 2018 บางคนเรียกรถหรูรุ่นนี้ว่า “ค่ายนางฟ้า” หรือบางสื่อก็เรียกว่า “ราชาแห่งยนตรกรรม” แต่ด้วยความโดดเด่นของเครื่องยนต์ที่เงียบกริบทั้งภายนอกและภายในห้องโดยสาร บางคนก็เรียกว่า “ผีร้ายตัวแพง หรือผีสีเงิน (The Silver Ghost)” ฟังแล้วดูสยองขวัญเหมือนกันนะ ฮ่า ๆ 

6. ราชันย์ออฟโรด

เล่าเกร็ดความรู้สำหรับคนรักรถ จะไม่พูดถึงไม่ได้จริง ๆ รถหรูฮัมเมอร์ (Hummer) รถสุดโหดสายดุดันพร้อมลุยทุกสถานการณ์!! จนได้รับฉายาว่า ราชันย์ออฟโรด หรือ “The King of Off Road" จากหลายสื่อที่ขนานนามให้ครับ ดูจากภาพประกอบก็คงจะพอเข้าใจนะครับ ฮ่า ๆ ว่าทำไมฮัมเมอร์ถึงเป็น “ราชันย์” แม้จะเป็นรถเอสยูวีคันโตที่ทหารสหรัฐอเมริกาใช้ แต่งานดีเพราะอึดถึงขนาดที่หลายคนยกให้เป็นรถยนต์ใช้ขับในวันสิ้นโลก หรือใช้สู้กับซอมบี้ (ถ้ามีซอมบี้มีจริงอ่ะนะ) ก็ยังได้ ปัจจุบัน รถฮัมเมอร์เป็นรถโปรดของคนดังระดับโลก เช่น คนเหล็กอาร์ลโนล ชวาสเนกเกอร์ขับ Hummer H1 ตัดภาพมาที่ฝั่งเอเชียกันมั้งนักร้องสาวเกาหลีใต้อดีตสมาชิกวง 2NE1 อย่าง CL (ซี-แอล) เธอเองก็ขับ Hummer H2 คันสีเหลืองสดใสคร้าบบบ  
เป็นอย่างไรบ้างครับ ? ทั้งสนุกและได้เก้บขเกร็ดความรู้สำหรับคนรักรถกันแล้วว่า รถซุปเปอร์คาร์ มียี่ห้ออะไรบ้าง และ 6 รถหรูเหล่านี้มีชื่อภาษาไทยว่าอะไรบ้าง แต่อย่าลืมนะครับมีรถยนต์แล้ว ต้องต่อพ.ร.บ.รถยนต์ พร้อมกับมีประกันรถยนต์เพื่อดูแลทุกการขับขี่นะครับ สามารถเช็กเบี้ยประกันรถยนต์กับ frank.co.th ได้แล้ววันนี้ เช็กปุ๊บรู้ค่าเบี้ยปั๊บภายใน 60 วินาที 
แหล่งข้อมูล : modify.in.th
Content by Butter Cutter

บทความที่คุณอาจจะสนใจ : 

• ใหม่ล่าสุด! 10 รถหรูที่แพงที่สุดในโลกแห่งปี 2018
• รถคลาสสิคระดับตำนานเหล่านี้หรือไม่ ?
• 17 รถหรูดาราฮอลลีวูด เฟี้ยว! จนต้องเหลียวหลัง

The post 6 ฉายาเท่ ๆ ของรถหรูซุปเปอร์คาร์ appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

อย่างที่ทราบดีว่า นอกจากเราจะต้องทำประกันรถยนต์ที่เหมาะกับการใช้งานแล้ว อย่าลืมหมั่นตรวจเช็กสภาพรถประจำปีและต้องตรวจเช็คสภาพรถยนต์เป็นประจำให้พร้อมใช้งานตลอดเวลา รวมทั้งรถคันเก่งของคุณพ่อและคุณแม่ที่บางครั้งท่านอาจจะจอดทิ้งไว้ไม่ค่อยได้ขับขี่เท่าไหร่ อาจจะหลงลืมเช็กสภาพรถ เพื่อให้รถยนต์ของคุณหรือรถครอบครัวมีสมรรถภาพเป๊ะพร้อมขับขี่ปลอดภัยทุกเส้นทาง เราจะต้องหมั่นเช็กสภาพรถยนต์ห้ามละเลยเด็ดขาดครับ ถ้าคุณพร้อมแล้วเก็บข้อมูล How to ตรวจเช็กสภาพรถคันเก่งให้ขับฉิ่ว วิ่งฉลุย มาม๊ะ เราเริ่มกันเลย ! 

1. เช็คสภาพตัวถัง

ถึงเราจะไม่ใช่ช่างผู้เชี่ยวชาญก็ดูแลรถยนต์เช็คสภาพรถได้ แนะนำให้เดินดูรอบคันเลยครับ เน้นใช้สกิลสังเกต ราวกับเล่นเกมจับผิดภาพหรือเกมส์ Photo Hunt ยังไงอย่างนั้น ควรสวมวิญญาณนักสืบเลยครับ!

• เริ่มตั้งแต่ด้านหน้ารถยนต์ ไฟหน้า (ไฟต่ำ/ไฟสูง) ไฟเลี้ยว เปิดปิดไฟหรี่รถ ไล่ไปถึงด้านหลังรถ เช็กให้หมดอย่าปล่อยไว้
• เช็กกระจกว่ามีรอยร้าว หรือมีอะไรผิดปกติหรือไม่  
• สังเกตอะไหล่ด้านนอก กระจกมองข้าง กันชน ประตูรถ ที่ปัดน้ำฝนสิ่งสำคัญที่ถูกมองข้ามว่ายังใช้งานได้ไหมรีดน้ำจากกระจกรถยนต์ได้อยู่หรือไม่ (ตรงนี้สำคัญมาก)  
• พร้อมกับเช็กเสียงแตรรถว่ายังดังหรือเปล่า เนื่องจากต้องใช้เสียงแตรช่วยในการขับขี่บนท้องถนนเมื่อเจอเหตุจำเป็น เช่น รถตัดหน้า หรืออื่น ๆ 

ตามด้วยการเช็กสภาพยางรถยนต์ด้วยการสังเกต เพื่อป้องกันเหตุที่ไม่คาดฝันบนท้องถนน แฟรงค์เคยกล่าวไว้ว่า “ตรวจยางรถยนต์เหมือนไปหาหมอฟัน” ใช่ครับ เราจะต้องหมั่นตรวจไม่ว่าจะเป็นรถที่ใช้งานบ่อย หรือไม่ค่อยได้ใช้งานก็ต้องตรวจสภาพยาง! วิธีการเช็คสภาพยางรถยนต์คร่าว ๆ ภายใต้ภารกิจเช็คให้ดีว่า “ยางยังดีอยู่ไหม ?” ยางรถแตก มีลายงา มีอะไรผิดแปลกจากเดิม ยางบวม ยางรถแข็งเกินไหม ดอกยางสึกหรือเปล่า และยางมีรอยปริหรือไม่ เช็กลมดันยางที่เหมาะสมกับรถยนต์เป็นประจำก่อนขับขี่
ตามด้วยการเช็กให้ดีว่า มีอะไรติดยางรถไหม สังเกตให้ดีครับ จะช่วยในเรื่องความปลอดภัยของเราในเวลาขับขี่ได้มากเลย 
อย่างไรก็ดี อย่าลืมสลับยางรถยนต์ทุก ๆ 10,000 - 15,000 กิโลเมตร เช็กอายุยางรถยนต์ใช้เป็นเวลานาน 3-5 ปี เราจะต้องนำรถเข้าศูนย์หรือร้านยางรถยนต์ให้ผู้เชี่ยวชาญดูแล หากเพิ่งซื้อรถมือสองมา หรือไม่ทราบว่าเปลี่ยนยางเมื่อไหร่ เราสามารถดูรายละเอียดยางรถยนต์ตัวเลขบนแก้มยางประเมินวันเวลาคร่าว ๆ ได้จ้ะ  
หลังจากเดินรอบ ๆ ตรวจเช็คสภาพรถด้วยตัวเองแล้ว หากเจอจุดไหนของตัวถังและด้านนอกของรถยนต์ที่ผิดปกติควรส่งซ่อมด่วน !!! อย่าปล่อยทิ้งไว้เด็ดขาด

2. เช็กห้องเครื่องยนต์

ไหนบอกว่าเป็นวิธีการตรวจเช็คสภาพรถยนต์ฉบับมือใหม่ ?! ทำไมถึงให้ตรวจห้องเครื่องด้วยละเนี๊ยะ ถึงคุณจะดูเครื่องยนต์ไม่เป็น ซ่อมไม่ได้ แต่อ่านเสร็จคุณจะเช็คสภาพห้องเครื่องรถยนต์ได้คร่าว ๆ ละเด้อ ขั้นตอนเช็กรถด้วยตัวเอง เริ่มจาก จอดรถในแนวระนาบ พื้นไม่เอียงอย่าลืมเตรียมอุปกรณ์ทำความสะอาด เช่น ผ้าแห้ง กระดาษทิชชู่ที่ไม่เป็นขุย เศษผ้า ฯลฯ ห้ามตรวจสภาพตอนรถร้อนหรือเพิ่งจอดหมาด ๆ นะครับ อันตรายมาก

• เริ่มจากง่าย ๆ เช็กสภาพโดยรวมด้วยตาเปล่า สังเกตดูว่าตัวเครื่องยนต์ฝุ่นเขรอะก็เช็ดทำความสะอาดให้ดี ไล่เช็กตามท่อว่ามีรอยรั่วไหม มีรอยหนูกัดสายไฟหรือเปล่า ตรงนี้ไม่ต่างจากการเช็กด้านนอกตัวถังเลยครับ 
• เช็กน้ำมันเครื่อง ว่าระดับอยู่ในตำแหน่งเหมาะสมไหม ด้วยการดึงก้านวัดระดับน้ำมัน (ดึงแล้วเช็ดให้สะอาดก่อนจะเสียบกลับเข้าที่เดิมอีกครั้ง พร้อมกับดึงขึ้นมาดูระดับน้ำมันที่ก้านว่า อยู่ในระดับที่ไม่ต่ำกว่า MIN อยู่แบบไม่น้อยเกินไม่มากไประหว่าง F และ L จะดีที่สุด) ควรเช็ก 1-2 ครั้ง/สัปดาห์
• ดูแลไส้กรองอากาศรถยนต์ด้วยตัวเอง ไม่ต้องเช็กสภาพบ่อย เน้นเช็กทุก ๆ ระยะ 20,000 กิโลเมตรก็ได้ครับ สังเกตว่าส่วนไส้กรองสะอาดไหม ไส้กรองอากาศขาดปริหรือเปล่า ถ้าสกปรกมากแนะนำเปลี่ยนครับ คุ้มกว่า เนื่องจากไส้กรองอากาศที่สกปรกอุดตัน ทำให้รถซดน้ำมันเยอะ เครื่องยนต์เร่งไม่ขึ้น ฯลฯ

หากขับรถทางไกลบ่อย ๆ อย่าลืมเช็กสิ่งเหล่านี้เป็นประจำ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยของคุณและครอบครัว พร้อมกับหมั่นดูแลเครื่องยนต์ด้วย อ่านสิ่งที่ต้องรู้เกี่ยวกับวิธีดูแลเครื่องยนต์ได้ครับบทความดี ๆ มีให้คุณแล้ว

3. เช็คห้องโดยสารรถยนต์

เมื่อตรวจสภาพตัวถังรถยนต์ด้านนอกทั้งเครื่องยนต์เสร็จแล้ว ตามด้วยการเช็กสภาพด้านในห้องโดยสาร เช็กไม่ยากครับ เช่น ดูกระจกมองหลัง กระจกมองข้างว่าสภาพพร้อมใช้งานไหม (มองจากมุมมองคนขับ) พวงมาลัยรถว่ายังใช้งานได้ดีหรือไม่ ติดขัดตรงไหนหรือเปล่า บริเวณจุดพักเท้าคนขับมีอะไรเกะกะหรือไม่ เบรคยังใช้งานได้ดีไหม และหมั่นทำความสะอาดเบาะ พรมรถเสมอ ๆ ถ้าเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ หรือเลี่ยงรับประทานอาหาร ดื่มเครื่องดื่มในรถ เพราะจะทำให้สกปรก เป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคได้ครับ    

4. ทดลองขับขี่ระยะใกล้

หากขับรถทุกวันอยู่แล้ว แน่นอนว่าเราก็สามารถรู้ได้ทันทีว่า รถยนต์คันเก่งของเรามีอะไรผิดปกติ ส่วนคนที่ไม่ค่อยได้ขับ เน้นจอดไว้ที่บ้าน ควรตรวจสอบด้วยการขับระยะใกล้ ๆ บ้าน และสังเกตว่า เบรกเป็นอย่างไร ? ศูนย์ถ่วงล้อตรงหรือไม่ สามารถเช็กได้ด้วยการขับบนพื้นระนาบ ปล่อยพวงมาลัยให้รถไหลไปข้างหน้า พร้อมกับสังเกตว่า รถตั้งลำตรงกับเส้นทางหรือไม่ หากเบี้ยวเกินแนะนำพาเข้าศูนย์หรือหาช่างครับ สำหรับรถเกียร์ออโต้ง่ายเลยครับ 
เป็นยังไงมั้งครับ พอเข้าใจวิธีการดูแลและตรวจเช็คสภาพรถแบบง่าย ๆ กันแล้วใช่ไหม และคงต้องย้ำว่า เรื่องราวที่ Frank เล่ามา เป็นเพียงเคล็ดลับดูแลรถยนต์ฉบับเบสิกพื้นฐานเท่านั้น เหมาะสำหรับคนมีรถคันแรก หรือเพิ่งเริ่มศึกษาเคล็ดลับการดูแลรถยนต์นะครับ และเพื่อให้การขับขี่ปลอดภัยอุ่นใจมากยิ่งขึ้น อย่าลืมต่อ
พ.ร.บ. รถยนต์ พร้อมกับซื้อประกันรถยนต์ด้วยนะครับ 
ยิ่งตอนนี้เช็กเบี้ยประกันรถยนต์กับ frank.co.th ไม่ว่าจะเลือกชั้นไหนแฟรงค์ก็มีให้คุณ รู้ราคาทันทีภายใน 60 วินาที เพียงกรอกรายละเอียดรถยนต์ของคุณ เลือกแผนประกันที่ใช่ ตามด้วยรายละเอียดผู้ขับ และรอเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ รับเอกสารกรมธรรม์ ก็สามารถซื้อประกันรถได้ง่าย ๆ สะดวกขึ้นเยอะแยะเลยครับ  
Content by Butter Cutter

The post ตรวจเช็กสภาพรถด้วยตัวเอง ให้ขับฉิ่ว-วิ่งฉลุย appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

"รถเลขไมล์น้อยหรือเปล่า ?"

เป็นคำถามยอดฮิต เพราะคนซื้อรถมือสอง มักก็อยากได้รถเลขไมล์น้อย เพราะความเชื่อที่ว่า ใช้น้อย ย่อมดีกว่ารถที่ใช้มามาก ๆ หรือถูกขับอย่างโชกโชนนั่นเอง
แต่บางทีก็ไม่เสมอไปซะทีเดียวครับ เพราะบทความนี้เพนกวินแฟรงค์ได้รับคำชี้แนะจาก Mr.Carro จะมาอธิบายให้ฟังว่า "ทำไมซื้อรถมือสอง ถึงอย่าไปสนเรื่องเลขไมล์"
การเลือกซื้อรถมือสองนั้น ต้องใจเย็น ๆ ผมคำนึงถึงในเรื่องสภาพรถเป็นหลัก ซึ่งรวมไปถึงเครื่องยนต์กลไก ช่วงล่าง ส่วนประกอบต่าง ๆ ขับแล้วเป็นไงบ้าง ตรวจสภาพให้ละเอียด ตัวถังมีชน มีผุหรือไม่ ช่วงล่างเสียงดังไหม สุดท้ายก็ขอลองขับนานๆ หน่อย ในสภาพถนนและการจราจรหลายแบบ ก่อนจะตัดสินใจซื้อ

ต้องยอมรับว่าเรื่องซ่อมแซมรถนั้น เป็นอะไรที่คู่กับรถมือสองอยู่แล้ว ไม่มากก็น้อย

เลขไมล์ของรถยนต์ นับตั้งแต่ในอดีตก็มีวิธี "เขี่ยไมล์" ไม่ว่าจะเป็นทั้งไมล์แบบกลไก หรือแบบดิจิตอลในยุคนี้แล้วก็ตาม ช่างไทยทำได้หมด! ตั้งแต่การถอดตัวมาตรวัดระยะทางที่อยู่ด้านหลังเข็มไมล์ออกมา แล้วก็เอาอะไรเขี่ย ๆ ปรับตัวเลข หรือแบบดิจิตอลก็แกะแผงวงจร ปรับตัวเลขใหม่ แค่นี้ก็ทำกันได้แล้ว!
การซื้อรถมือสองที่ดี คือ ควรดู "สภาพรถ" เป็นหลัก (ย้ำอีกครั้ง) พร้อมกับดูหลักฐานการเช็คระยะใน Book Service หรือหลักฐานจากศูนย์บริการ ตรวจสอบกันไปเลยว่ารถที่เราซื้อมา ไมล์แท้หรือเปล่า นี่ถือว่าสำคัญที่สุด และจะยิ่งมั่นใจได้มากขึ้น
แม้ว่ารถมือสองบางคัน เลขไมล์รถจะมาก (บางคันปาเข้าไปหลายแสนกิโลเมตร) ก็ตาม แต่ถ้ามีการดูแลรักษาที่ดี มียกเครื่อง-เกียร์โอเวอร์ฮอลล์ ซ่อมศูนย์ตลอด อะไหล่เปลี่ยนใหม่ตลอด ช่วงล่างดี ข้างในรถสะอาด สวย ราคารับได้ ผมว่ามันก็ดีกว่ารถที่วิ่งน้อย ๆ แต่เจ้าของดูแลรักษาน้อยตามไปด้วย จอดตากแดดตากฝนจนสีซีด แลกเกอร์ลอก เบาะนั่งข้างในแตกลายงา จริงไหมล่ะครับ ...
Rewrite by Butter Cutter

The post ซื้อรถมือสอง อย่าสนเลขไมล์! appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

1 ดูแลรถให้ดี

เป็นเรื่องธรรมดา ที่ใครๆ ก็อยากของดี (ถ้าได้ราคาถูกด้วย ก็ยิ่งดี แต่ก็คงจะหายาก) เป็นรถที่สภาพใหม่ พร้อมใช้งาน ดังนั้นคุณควรนำรถไปตรวจเช็ก ซ่อมแซม เปลี่ยนในส่วนที่สำคัญๆ หรือชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่ใกล้พังแล้ว เปลี่ยนถ่ายของเหลวต่างๆ พร้อมทำความสะอาดทั้งคัน ก็จะทำให้รถของคุณดูน่าสนใจมากขึ้น และสามารถขายได้ไวมากขึ้นแล้ว

2 เช็กราคารถมือสอง

ก่อนจะลงขายรถ ควรเช็กราคารถมือสองรุ่นที่คุณใช้อยู่ว่า ราคาตลาด สูง-ต่ำ ประมาณเท่าไหร่ ประเมินจากปีรถ สภาพรถ โดยเช็กจากเว็บไซต์ขายรถยนต์มือสอง เช่น เว็บ Carro เพื่อเปรียบเทียบกับรถรุ่นเดียวกัน ปีเดียวกัน ของคันอื่นๆ หรืออาจใช้วิธีเอารถเข้าไปเต็นท์รถเพื่อตีราคา (ถ้าคุณไม่อยากเสียเงินกับค่าประเมินราคารถ สามารถส่งรูปรถมาให้ Carro ตีราคาก่อนได้ Free! คลิกได้ที่ลิงค์นี้ > th.carro.co/sell-car/express)
ถ้าเป็นรถตลาด สภาพดี และเป็นสีที่ได้รับความนิยม เช่น สีขาว สีบรอนซ์เงิน สีทอง ใช้เวลาไม่นาน ก็ขายได้แน่นอน

3 ข้อมูลรถ

ขณะที่คุณลงขายรถ ในบอกตามสภาพจริงไปเลย ว่าตรงไหนดี ตรงไหนเสีย มีชนมาบ้างหรือไม่ วิ่งมามากน้อยแค่ไหน เพื่อให้ผู้ซื้อรับได้ในระดับนึง และที่สำคัญเลยข้อมูลของรถ เช่น ยี่ห้อ รุ่นย่อย ปี (รายละเอียด ถ้าไม่รู้ ดูได้จากในเล่มทะเบียน) และรถยังติดไฟแนนซ์อยู่ไหม? ติดอยู่เท่าไร จะทำให้การขายรถเป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้น

4 เอกสาร

คุณควรเตรียมเอกสารสำคัญ เพื่อให้กับผู้ซื้อได้มั่นใจว่าเป็นรถถูกกฎหมาย เช่น มีเล่มทะเบียนที่ถูกต้อง (ถ้ากรณียังผ่อนไม่หมดสามารถใช้สำเนาเล่มทะเบียนแทนได้) พ.ร.บ. , เอกสารประกันภัยรถยนต์, ภาษีรถยนต์ประจำปี แต่ถ้าภาษีรถยนต์ขาด ก็ควรบอกให้ผู้ซื้อได้ทราบก่อนซื้อขายรถกัน

เอกสารของคุณที่ต้องเตรียมไว้ ได้แก่

• สำเนาบัตรประชาชนที่ยังไม่หมดอายุ (เพื่อจะได้โอนรถไปยังเจ้าของใหม่ได้)
• สำเนาทะเบียนบ้าน และสุดท้าย ต้องมีเอกสารการโอนรถให้ผู้ซื้ออย่างถูกต้อง

5 ถ่ายรูปรถให้เป๊ะ

เมื่อจบทุกขั้นตอนแล้ว ก็ควรหามุมสวย ๆ ถ่ายรูปรถ เพราะรูปภาพที่ได้องค์ประกอบดี มุมต่างๆ ดูสมส่วนและสวยงาม ทำให้คนอยากซื้อรถ ตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้นนั่นเอง เช่น มุมด้านหน้า มุมด้านใน มุมด้านข้าง และมุมมองเฉพาะให้คนซื้อตัดสินใจง่ายขึ้น
ถ้าลองทำกันครบแล้ว ก็รีบลงขายรถในช่วงนี้ แล้วไปหาซื้อรถคันใหม่ได้ที่งาน Motor Show 2019 กันเลยครับ!
ขอบคุณข้อมูลจาก th.carro.co
Rewrite by Butter Cutter

The post 5 วิธีขายรถคันเก่า ทันซื้อคันใหม่ในช่วง Motor Show 2019 appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

1. การบำรุงดูแลรักษารถยนต์

เริ่มต้นง่าย ๆ เพียงแค่นำรถเข้าอู่ เช็กระยะ และตรวจสภาพรถเบื้องต้น แต่สำหรับใครที่ไม่มีเวลานำรถไปเข้าอู่ สามารถเช็กได้ตามขั้นตอนนี้

• เช็กแบตเตอรี่ ตรวจสภาพแบตเตอรี่ และน้ำกลั่นให้อยู่ระดับที่กำหนด หรือเช็กจะว่าแบตเตอรี่ใกล้เสื่อมหรือยัง อยากรู้วิธีเช็ก อ่านต่อที่นี้ th.carro.co/blog/car-battery
• เช็กลมยาง ควรเช็กขณะที่รถยังไม่ได้ใช้งาน ถ้าลมยางอ่อนผิดปกติ ควรตรวจสอบก่อนว่า มีตะปูตำ หรือมีรอยบาดไม่ ดูสภาพยางด้วยตา ดูที่ผิวยางว่ามีรอยแตกเล็กๆ หรือไม่ หรือถ้าดอกยางมีการสึกมาก ควรเปลี่ยนยางเส้นใหม่ เพื่อความปลอดภัยขณะขับขี่
• เช็กระดับน้ำมันเครื่อง อุ่นเครื่องยนต์จนถึงอุณหภูมิทำงานแล้วค่อยดับเครื่อง และเช็กระดับน้ำมันเครื่อง โดยใช้ก้านวัดระดับน้ำมันเครื่อง
• เช็กระบบไฟส่องสว่าง และไฟสัญญาณต่าง ๆ เปิดไฟทั้งหมด ดูว่าทำงานตามปกติหรือไม่ มีหลอดไฟไหนไม่ติดหรือไม่ ถ้าพบว่ามีไฟหลอดไหนไม่ติด ควรเปลี่ยนให้อยู่สภาพพร้อมใช้งาน

2. จัดระเบียบภายในรถ

หลายคนอาจลืมดูแลรถของตัวเองไป ดังนั้น ไหน ๆ ก็ตรุษจีนปีใหม่แล้วได้ฤกษ์เก็บกวาด และจัดระเบียบข้าวของภายในรถครั้งใหญ่ไปเลย ซึ่งเริ่มต้นจากเก็บของที่ไม่จำเป็นออกไป และอะไรที่ไม่ใช้แล้ว ก็นำไปทิ้ง ถ้าอยากให้เป็นระเบียบมากขึ้น ก็หาอุปกรณ์เสริมมาใส่ไว้ในรถ เช่น กล่อง หรือตะกร้า ที่มีฝาปิดใส่สัมภาระของคุณได้
หลังจากเคลียร์ของแล้ว ก็ดูดฝุ่นสักหน่อย หรือถ้าใครไม่มีเครื่องดูดฝุ่น หรือไม่อยากทำเอง ก็ไปเข้าร้านล้างรถที่มีบริการดูดฝุ่นให้ เพียงเท่านี้ก็สะอาดเอี่ยมอ่องแน่นอน และช่วยประหยัดน้ำมันได้ด้วย

3. ล้างรถ

ถ้าใครไม่อยากเสียเงินเอารถไปล้างที่ร้านอัดฉีด หรือร้านล้างรถ ก็สามารถทำความสะอาดรถด้วยตัวเองได้ง่ายๆ ที่บ้าน และแนะนำว่าไม่ควรล้างรถกลางแดด เนื่องจากแสงแดดจะทำให้น้ำ และน้ำยาแห้งเร็วจนเช็ดรถไม่ทัน อาจทำให้เกิดคราบบนสีผิวรถได้ รวมถึงทำให้คนล้าง อาจจะเป็นลมแดดจนหน้ามืดซะก่อน เพราะอย่างที่รู้กันว่า แดดเมืองไทยร้อนแรงขนาดไหน ฮาๆ
ดังนั้น ควรล้างรถในที่ร่ม และใช้วิธีเช็ดหรือเป่ารถให้แห้งหลังจากล้างเสร็จ เพื่อป้องกันความชื้นและสนิมนะจ๊ะ

4. ขายรถเพื่อซื้อคันใหม่

ข้อนี้อาจจะไม่สามารถใช้ได้กับทุกๆ คน คงต้องเป็นจังหวะชีวิตพอดีที่อยากจะเปลี่ยนรถคันใหม่ ด้วยเหตุผลประกอบการซื้อหลาย ๆ ข้อ เช่น รถเล็กไปสำหรับครอบครัว, รถเก่ามากแล้ว อยากเปลี่ยนรถใหม่, รถใหม่มีคุณสมบัติล่อตาล่อใจ และอื่นๆ แต่สิ่งสำคัญเลย ก่อนจะซื้ออยากให้คิดให้รอบคอบที่สุด และคำนวณเงินในกระเป๋าให้ดีตลอดการผ่อนรถใหม่ เพราะระยะการผ่อน มันไม่ใช่แค่ 10 เดือน หรือ 1 ปี
เอาล่ะ ถ้าใครตัดสินใจจะซื้อรถคันใหม่ แต่ยังไม่รู้ว่าจะขายรถคันเก่าที่ไหน สามารถมาขายได้ที่นี่นะคะ> (th.carro.co/sell-car/express) รวดเร็ว และรับรองได้เงินไปดาวน์รถคันใหม่ ทันตรุษจีนแน่นอนจ้า
ขอบคุณข้อมูลจาก Carro
Rewrite by Butter Cutter

The post ตรุษจีนปีนี้ มาอัพเกรดรถคันเก่าให้เป็นคันใหม่ด้วย 4 วิธีนี้ appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

ถ้าหากถามว่าสีไหนซื้อมาขายไปได้มากที่สุดละก็ สำหรับประเทศไทยนั้น

• สีขาวคือสีที่ขายดีที่สุดเลยละค่ะ เรียกได้ว่ามากถึง 25% 
• ส่วนสีรองลงมาคือ
  • สีดำ
  • สีเทา
  • สีบรอนซ์เงิน

คนเราเลือกสีรถด้วยเหตุผลอะไร ? 

เพราะอะไรถึงเป็นเช่นนั้น … ว่าแล้วเรามาลองยกตัวอย่างง่าย ๆ ดูนะคะ สมมติว่า คุณมีรถรุ่นท็อปที่เล่นสีเฉพาะรุ่น ประหนึ่งว่ารถรุ่นนี้ต้องสีนี้แสดงว่าเป็นรุ่นที่ท็อปที่สุดแล้ว ยกตัวอย่างเช่น สีเหลือง เป็นต้น แต่พอคุณมาขาย คนที่เขาจะพิจารณาซื้อรถจากคุณนั้น นอกจากจะต้องดูสภาพรถยนต์ การใช้งาน ปีรถยนต์แล้วละก็ เขาก็จะต้องพิจารณาจากสีรถยนต์ด้วย ซึ่งคนที่จะมาซื้อรถยนต์ต่อจากคุณนั้น จะต้องเป็นคนที่เขามีไลฟ์สไตล์และชอบสีรถแบบเดียวกับคุณเลย เรียกได้ว่าต้องเป็นเนื้อคู่กันจริง ๆ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่รถสีดังกล่าว อาจจะต้องใช้เวลานานกว่าสีพื้นฐานปกติทั่วไป

รถมือสองในเมืองไทย "สีขาว" คือสีที่ขายดีที่สุด

เช่นเดียวกันกับ ประเทศต่าง ๆ ในแถบทวีปเอเชีย ผลสำรวจเปิดเผยเช่นเดียวกันว่า

• คนเอเชียส่วนใหญ่นิยมใช้รถสีขาวมากถึง 47%
• รองลงมาเป็นสีดำ 14 เปอร์เซ็นต์
• และเรียงลงมาเป็นสีเทา สีบรอนซ์ทอง บรอนซ์เงินตามลำดับกันลงมา

แต่อย่างไรก็แล้วแต่ ถ้าหากคุณเป็นคนหนึ่งที่ใช้รถยนต์เป็นระยะเวลานานละก็ ไม่ต้องสนใจเรื่องราคาขายค่ะ เอาที่เราชอบ เอาที่เราสบายใจ เพราะเงินผ่อนเป็นของเรา อนาคตอีกหลายปีข้างหน้า สีรถยนต์ของเราอาจจะกลายเป็นสียอดฮิต หายากก็เป็นได้ ใครจะรู้จริงไหมล่ะ
หรือใครที่ตัดสินใจอยากขายรถมือสอง แต่ไม่ทราบว่าที่ไหนจะให้ราคาที่ดีที่สุด ที่ Carsome ให้คุณ ขายรถง่ายๆ สะดวกรวดเร็ว สามารถขายได้แม้คุณจะนั่งอยู่ที่บ้าน ได้เงินไว แถมเรื่องเอกสารเราก็จัดการให้ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม!
Rewrite by Butter Cutter

The post รถมือสองสีไหนขายดีที่สุด ? appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

เงินเดือนเท่าไหร่ ? ซื้อรถ (มือสอง) แบบไหนถึงจะเหมาะ ?

โดยปกติแล้วไฟแนนซ์มักพิจารณาปล่อยสินเชื่อให้ลูกค้าผู้กู้ โดยรายได้ของบุคคลเหล่านี้ ต้องมีรายได้มากกว่า 1-2 เท่า ของค่างวดรถยนต์ ที่ต้องชำระในการผ่อนจ่ายแต่ละเดือน ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 75-85% ตามราคาและสภาพรถ ระยะเวลาในการผ่อนชำระ ก็นานพอๆ กับการผ่อนรถใหม่เลย นั่นคือ 12-72 เดือน

เงินเดือนต่ำกว่า 10,000 บาท

เงินเดือนระดับนี้ อาจจะเป็นเรื่องยากสำหรับการผ่อนรถ ถ้าหากไม่ได้เป็นข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือสะสมเงินดาวน์ไว้มากพอ ...
สำหรับรถมือสองที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้น้อยกว่า 10,000 บาทที่มีให้เลือก ส่วนใหญ่จะเป็นรถมือสอง ซึ่งจะเป็นรถปีที่ต่ำกว่าปี 1998 ลงไป ควรเลือกรถที่เป็นที่นิยมในตลาด ใช้งานง่าย ซ่อมง่าย เทคโนโลยีเครื่องยนต์ ระบบไฟไม่จุกจิก (เพราะถ้าจุกจิก แบบรถยุโรปมือสองปีเก่าๆ บางยี่ห้อ ซ่อมทีค่าซ่อมบาน ขายต่อราคาร่วงหนัก) อย่างเช่น

• Toyota Soluna, Toyota Corolla, Honda Civic หรือ Nissan Sunny เป็นต้น ราคาคันละ 50,000-60,000 บาท
• หรือถ้าสนใจรถกระบะ ก็ควรเป็นพวก Isuzu TFR, Nissan Big M หรือ Mitsubishi L200 ราคาคันละ 50,000-60,000 บาท ก็น่าสนใจนะ

เงินเดือนต่ำกว่า 20,000 บาท

เริ่มขยับขึ้นมาถึงอิสรภาพทางการเงิน (นิดๆ) แต่ก็ยังถือว่า น่าจะตึงตัวอยู่บ้างสำหรับบางคนที่มีภาระในครอบครัว หรือค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เช่น ค่าเช่าหอพัก ค่ากิน ค่าเที่ยว โดยเงินที่ใช้ผ่อนรถต่อเดือน อาจจะน้อยหน่อย แต่ก็ต้องแลกกับระยะเวลาผ่อนที่นานขึ้น และจ่ายดอกเบี้ยมากขึ้น
รถยนต์ที่ควรเลือก ก็อาจจะเป็นรถยนต์ในราคาประมาณ 100,000-300,000 บาท เน้นการใช้งานทั่วไป ซ่อมง่าย เช่น รถ Eco-Car หรือรถ Compact Car อายุไม่เกิน 15 ปี เป็นต้น หากเป็นรถกระบะก็อาจจะได้รถที่ปีเก่าหน่อย เนื่องจากในตลาดรถมือสอง รถกระบะราคาจะตกน้อยกว่ารถเก๋ง

• ตัวเลือกรถในตลาดก็ใหม่ขึ้นมาหน่อย สำหรับเงินเดือนระดับนี้ จะซื้อ Eco-Car มือสอง ก็เหมาะ เช่น Toyota Yaris, Nissan March, Mitsubishi Mirage หรือ Suzuki Swift เป็นต้น
• ถ้าชอบรถเก๋ง 4 ประตู ขอแนะนำ Toyota Vios, Toyota Corolla Altis (โฉมหน้าหมู), Nissan Tiida, Honda Civic (ES) หรือ Mitsubishi Lancer เป็นต้น
• ถ้าอยากเล่นรถกระบะ ลองเลือก Isuzu D-Max (โฉมแรก), Toyota Hilux Tiger, Nissan Frontier หรือ Mitsubishi L200 Strada ดูครับ เพราะรถกระบะยี่ห้อตลาด เวลาซื้อ-ขาย ราคาไม่ตกนัก รวมไปถึงศูนย์บริการที่หาง่าย ราคาอะไหล่ไม่แพงมาก

เงินเดือนต่ำกว่า 30,000 บาท

สำหรับคนที่มีภาระน้อยๆ ก็สามารถที่จะดาวน์รถ ผ่อนรถต่อเดือนได้มากขึ้น รถมือสองที่มีให้หลากหลายมากขึ้น ทางที่ดี ราคาไม่ควรเกิน 500,000 บาท เพื่อกันเงินอีกส่วนหนึ่ง สำหรับไว้ใช้ซ่อม และดูแลรักษารถต่อไป

• แนะนำเลือกรถมือสอง เช่น Toyota Corolla Altis (หน้าแบน), Honda Civic (FD), Mitsubishi Lancer EX หรือ Mazda3 เป็นต้น
• ถ้าใจรักรถกระบะ ก็มีตัวเลือกรถกระบะแบบมีแค็บหลัง หรือแบบ 4 ประตู หรือจะกระโดดไปเล่นรถ SUV หรือ MPV ได้ เช่น Toyota Wish, Toyota Innova หรือ Mitsubishi Space Wagon เป็นต้น

เงินเดือนมากกว่า 30,000 บาท ขึ้นไป

อันนี้เป็นอิสรภาพทางการเงินที่มากขึ้น แต่ถ้าจะอิสระแบบจริงๆ ก็น่าจะเงินเดือนประมาณ 50,000 บาทขึ้นไป พูดกันตามความเป็นจริงแล้วสามารถเลือกรถมือสองได้แทบทุกประเภท ตั้งแต่รถปีเก่าๆ ไปจนถึงรถแบบ SUV, MPV หรือรถกระบะ 4 ประตู ปีใหม่ๆ หน่อย (แต่พวกรถหรูๆ ระดับ Full-Size ราคาแพงๆ หลักล้าน ก็ดูจะต้องผ่อนกันเกินตัวไปหน่อย แต่ถ้าชอบ + ผ่อนไหว ก็ไม่ว่ากัน) ไปจนถึงในราคาที่ไม่เกิน 1 ล้านบาท

หากใครที่กำลังมองหารถมือสองเหล่านี้อยู่ เราขอแนะนำให้มาดูที่ "Carro" (คาร์โร) เพราะมีรถยนต์ให้เลือกหลากหลาย ในราคาที่คุณพึงพอใจ หรือหากคุณต้องการที่จะขายรถมือสองคันเดิม เพื่อไปซื้อรถใหม่ป้ายแดง หรือจะเป็นรถมือสองที่ปีใหม่ขึ้นมา เราก็รับซื้อรถของคุณเช่นกัน พร้อมปิดการขายภายใน 24 ชั่วโมง และรับเป็นเงินสดทันที ...
จะมัวรออะไรอยู่ คลิกเข้ามาดู หรือขายรถได้ที่ Carro เลยครับผม
Content By Butter Cutter

The post เลือกซื้อรถ (มือสอง) ให้เหมาะกับฐานเงินเดือนคุณ appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.