AI จะทำให้เกิดการค้นพบยาใหม่ๆ

แน่นอนครับว่าหาก AI จะทำให้มนุษย์อายุยืนยิ่งขึ้น ก็ต้องเอาชนะ โรคร้าย ที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของมนุษย์ให้ได้ก่อน โดยเชื้อโรคร้าย ไวรัส หรืออื่นๆ ที่เป็นสาเหตุของโรคร้ายนั้นจะมีโครงสร้างที่ซับซ้อนมาก ๆ ครับ และการคิดค้นยารักษาก็ยากมากกว่านั้นอีก โดยข้อดีของ AI คือมีข้อมูลมหาศาลและการประมวลผลที่รวดเร็วกว่ามนุษย์ ทำให้สามารถทำการคำนวณและทดลองสูตรยาใหม่ ๆ ได้รวดเร็วกว่ามนุษย์หลายเท่า แถมยังสามารถวิเคราะห์ผลข้างเคียงของการใช้ยาได้แม่นยำอีกด้วย

นอกจากที่ AI จะทำให้เกิดการค้นพบยาใหม่ ๆ แล้ว ยังสามารถใช้ในการตรวจจับและวินิจฉัยโรคได้อีกด้วยครับ จากรายงานของหนังสือ Nature Medicine ได้มีการทดลองใช้ AI ตรวจหาจุดมะเร็งในปอด ซึ่งผลออกมาพบว่า AI สามารถวินิจฉัยได้แม่นยำเทียบเท่านักรังสีวิทยาที่เชี่ยวชาญเลย นอกจากนั้นการนำ AI รวมเข้ากับอุปกรณ์ เช่น เครื่องวัดความดัน อุปกรณ์ตรวจโรค หรือแม้แต่สมาร์ทวอทช์ ยังทำให้การตรวจหาโรคนั้นทำได้ง่ายขึ้นอีกด้วย ซึ่งข้อดีของการใช้ AI ในการตรวจหาโรคจะช่วยลดต้นทุน และทำให้ผู้ป่วยสามารถรับการรักษาได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพิ่มโอกาสในการหายจากโรคได้มากเลยล่ะครับ

AI จะทำงานอันตรายแทนมนุษย์

ชีวิตของคนเราจะปลอดภัยมากยิ่งขึ้น หลายคนคงได้ยินว่า AI จะเข้ามาแย่งงานมนุษย์ใช่ไหมครับ ซึ่งงานที่ AI จะเข้ามาทำแทนมนุษย์เป็นอันดับแรกก็คือ “งานอันตราย” โดยงานอันตรายในที่นี้ คืองานที่ทำในสภาพแวดล้อมที่มีภาวะเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายต่อชีวิตหรือสุขภาพ เช่น งานเหมือง งานก่อสร้าง งานที่ต้องทำกับเครื่องจักรขนาดใหญ่ งานดับเพลิง กู้ภัย เป็นต้น อย่างที่เราเห็นว่าทุกวันนี้มีการพัฒนา หุ่นยนต์กู้ภัย ที่สามารถวางแผนหาเส้นทาง และเข้าไปช่วยเหลือในที่ ๆ มนุษย์ไม่สามารถเข้าถึงได้ เช่นใต้ซากปรักหักพัง ในพื้นที่ปนเปื้อนรังสี ใต้ทะเลลึก หรือจะเป็นการใช้ AI ในการช่วยวางแผนป้องกันอุบัติเหตุระหว่างทำงาน เช่น หาก AI พบว่าเครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรมมีโอกาสที่จะทำงานผิดพลาด จนอาจเกิดอันตรายแก่มนุษย์ AI ก็สามารถแจ้งเตือนหรือปิดการทำงานของเครื่องจักร ซึ่งทำให้มนุษย์ปลอดภัยในการทำงาน ลดอาการเจ็บป่วยจากการทำงานมากยิ่งขึ้น

AI จะเข้ามาดูแลชีวิตประจำวัน

AI นั้นอัจฉริยะมาก ๆ ครับ และ AI ก็เข้ามาทำให้ทุกอย่างอัจฉริยะขึ้น ไม่ว่าจะเป็น เทคโนโลยีเพื่อสุขภาพที่ใกล้ตัวอย่าง นาฬิกาอัจฉริยะ (Smart Watch) ที่มีฟังก์ชันในการดูแลสุขภาพ ทั้งวัดชีพจร วัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เตือนรอบประจำเดือน หรือจะใหญ่กว่านั้น อย่าง บ้านอัจฉริยะ (Smart Home) นั่นเอง ที่เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกอย่างภายในบ้าน ถูกควบคุมด้วย AI ประโยชน์ก็อย่างเช่น เจ้าของบ้านจะสามารถสั่ง เปิด ปิด ไฟได้โดยไม่ต้องเดินไปที่สวิตช์ เพียงแค่สั่งการด้วยเสียง หรือใช้เซนเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว ลดความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุภายในบ้านได้

ไม่ใช่แค่ทำตามคำสั่งของเจ้าของบ้านได้นะครับ AI ยังสามารถคิดได้เองเพื่อดูแลคุณภาพชีวิตของเจ้าของบ้าน เช่นควบคุมเครื่องปรับอากาศเพื่อให้อุณหภูมิภายในบ้านให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ดีต่อสุขภาพ ล้ำไปกว่านั้นนะครับ AI สามารถวิเคราะห์และคาดการณ์เหตุการณ์ได้ เช่น หาก AI พบว่า มีผู้สูงอายุเข้าไปในห้องน้ำนานกว่าปกติ AI สามารถคาดการณ์ได้ว่าผู้สูงอายุอาจเกิดอุบัติเหตุลื่นล้มในห้องน้ำ และจะทำการแจ้งไปยังคนในครอบครัว หรือเบอร์ฉุกเฉินให้อัตโนมัติ ทำให้ผู้สูงอายุสามารถใช้ชีวิตได้โดยลำพังอย่างปลอดภัย แถมมีคุณภาพชีวิตและสุขภาพที่ดีอีกด้วย

AI ทำให้การเดินทางปลอดภัย

รู้หรือไม่ครับ ว่าอุบัติเหตุบนท้องถนน คือสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของโลก จากรายงานขององค์กรอนามัยโลก แต่ละปี มีคนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนกว่า 1.35 ล้านคน ยิ่งในประเทศไทย ก็มีอุบัติเหตุบนท้องถนนเกิดขึ้นทุกวัน ทั้งรถชนรถ รถชนมอไซค์ รถชนคน โดยเฉลี่ยแล้ว มีคนไทยเสียชีวิตจากการเดินทางบนท้องถนนถึง 24,000 คนต่อปี หรือ 66 คนต่อวันเลยทีเดียว

ด้วยเหตุนี้ ทำให้ นี่ถือว่าเป็นจุดเด่นที่เห็นภาพชัดที่สุดของ AI ในชีวิตประจำวันเลยครับ เชื่อว่าทุกคนต้องเคยเห็นข่าว รถยนต์ไร้คนขับ กันมาบ้าง การที่รถยนต์สามารถขับเคลื่อนได้เองอย่างปลอดภัยนั้น ก็เพราะมี AI สั่งการควบคุมนั่นเองครับ ซึ่ง AI จะทำงานร่วมกันกับเซนเซอร์รอบคันรถ เพื่อตรวจดูสภาพการจราจร ความเร็วของรถโดยรอบ เส้นถนน เพื่อวางแผนและควบคุมให้รถวิ่งอย่างปลอดภัย โดยความฉลาดของ AI นั้นถึงขนาดสามารถคาดการณ์อุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้าได้เลย โดยดูจากความเร็วของรถคันอื่น ทิศทางการขับขี่และคำนวนความเสี่ยงขึ้นมา พร้อมทั้งสั่งการให้รถของเราหยุดทันก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุขึ้นอีกด้วยครับ โดยคาดกันว่า หากเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับนี้สมบูรณ์และใช้กันอย่างแพร่หลาย อุบัติเหตุบนท้องถนนจะลดลงเกิน 90% อย่างแน่นอน

และนี่ก็คือเหตุผลว่าทำไม AI คือสิ่งที่ทำให้มนุษย์อายุยืนยิ่งขึ้น ต้องยอมรับนะครับว่า AI นั้นฉลาดอย่างมาก และเพนกวิน Frank เชื่อเหลือเกิน ว่าไม่นาน AI จะเข้ามาดูแลชีวิตของเราอย่างแน่นอน แต่ถึง AI จะฉลาดแค่ไหน แต่หากเราไม่ระมัดระวัง อุบัติเหตุก็เกิดขึ้นได้อยู่ดี ดังนั้น ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังกันด้วยนะครับ และถ้าจะให้ดีที่สุด ก็ซื้อประกันอุบัติเหตุกับ frank.co.th ไว้เพื่อดูแลหากเกิดเหตุไม่คาดฝันด้วยนะครับ ดูแลดี รู้ใจ รักคุณยิ่งกว่าใคร Frank ไงจะใครล่ะ รักน้า!

The post หรือ AI คือสิ่งที่ทำให้มนุษย์อายุยืนยิ่งขึ้น appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

LeEco จากเว็ปไซต์ดูหลังออนไลน์เป็นรถไฟฟ้าอัจฉริยะ
วันนี้ frank มีรถยนต์ไฟฟ้าน้องใหม่ไฟแรงมาแนะนำครับ นั่นคือ LeEco ที่กำลังพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า หลายคนอาจจะไม่รู้จัก LeEco LeTV เป็นเว็ปไซต์ดูหนังออนไลน์ หรือ Netflix ฝ่ายจีนที่ซื้อลิขสิทธิ์หนัง ทีวีรายการจากต่างประเทศ และในประเทศมาฉายทางเว็ปไซต์ของตัวเอง แต่ปัจจุบันเติบโตจนได้ผลิตรายการทีวีและภาพยนต์เป็นของตัวเองแล้ว เมื่อประสบความสำเร็จกับเว็ปไซต์ดูหนังออนไลน์แล้ว LeTV จึงเปลี่ยนสายมาผลิต Smart TV และมือถือ Smart Phone และแน่นอนอีกแล้วครับ LeEco ประสบความสำเร็จอย่างมาก จึงทำให้ Jia Yueting ผู้ก่อตั้ง LeEco มั่นใจในความสามารถของทีมงานและตัวเขาเอง จึงเป็นที่มาให้เขาตัดสินใจเข้าแวดวงยานยนต์และจัดตั้งทีมงาน จ้างพนังงานจีน 600 คนและ ทีมงานชาวอเมริกาอีก 200 คนมาพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าของ LeEco เอง

LeEco เข้าแวดวงยานยนต์ด้วยเป้าหมายที่แตกต่าง LeEco ไม่ได้คิดจะผลิตดผลิตรถยนต์ไฟฟ้าไร้คนขับเท่านั้นนะครับ แต่แท้จริงแล้ว LeEco เขายังมีเป้าหมายที่จะผลิต software และระบบควบคุมรถยนต์อีกด้วย ซึ่งในอนาคตเราอาจจะเห็น LeEco ขายระบบภายในรถให้กับบริษัทรถยนต์ต่างๆ Frank ว่าวิธีคิดของ LeEco นี่เท่สุดๆ เลยครับ ถือว่าได้ลงทุนสร้างเพื่อตลาดอนาคตที่ยังมาไม่ถึงเลย

เมื่อเมษายนที่ผ่านมา LeEco ได้ทำก้าวแรกของความฝันให้เป็นจริง โดยการเปิดตัวรถไฟฟ้า ไร้คนขับที่ Motor Expo ในกรุงปักกิ่ง โดยมาพร้อมกับ Design ที่โดดเด่นด้วยความทันสมัยและหรูหรา ด้วยประตูที่เปิดตรงกลางออกสร้างพื้นที่ว่างส่วนกลางให้ดูเหมือน family room แล้วที่ไม่เหมือนใครที่สุดคือยังมีระบบปฏิบัติการที่สามารถขับเองได้จากในรถและบังคับรถได้จากมือถืออีกด้วย แต่น่าเสียดายครับ เพราะเรายังไม่ทราบข่าวว่าเขาจะวางขายรถยนต์อัจฉริยะนี่เมื่อไหร่ แต่ frank ขอจับตาอยู่ดู LeEco ห่างๆ อย่างห่วงๆ จากเมืองไทยนะครับ

เรื่องราวของ LeEco เป็นที่น่าสนใจ เพราะว่าทั้งเป็นการปรับตัวของบริษัทเทคโนโลยีจากเว็ปไซต์ดูหนังเว็ปหนึ่งที่กล้าฉีกแนวทางการทำธุรกิจมาเป็นบริษัทที่พัฒนา software เพื่อรถยนต์ไฟฟ้า แล้วที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ LeEco ตัวแทนผลิตภัณฑ์จากจีนที่ใครหลายคนคิดว่ายังไม่ได้มาตรฐานนั้นจะสามารถเทียบเท่านวัตกรรมจากซีกโลกตะวันตกอย่าง Tesla ได้หรือไม่ นอกจากนั้นยังสามารถเป็นหน้าเป็นตาให้เราชาวเอเชียได้หรือไม่เช่นกัน ปูเสื่อรอคร้าบบบ

The post LeEco รถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะใหญ่ของเอเซีย appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

1.จากรถยนต์ไร้คนขับเราจะเข้าสู่ยุคนวัตกรรมรถหุ่นยนต์แทน

อีกไม่นานเกินรอที่นอกจากรถยนต์จะขับเคลื่อนอันโนมัติ 100% แล้ว เราอาจจะได้เห็น “รถหุ่นยนต์” เป็นจริงขึ้นมาก็ได้ เพราะนอกจากการใส่ข้อมูลการเดินทางที่เราต้องการแล้ว เรายังจะสามารถให้หุ่นยนต์เลือกเส้นทางที่เหมาะสมที่สุดให้เราได้ด้วยตัวมันเอง
ซึ่งในขณะนี้มีรถหุ่นยนต์ต้นแบบเกิดขึ้นแล้วนะครับที่ประเทศอังกฤษ โดย Nissan LEAF ที่กำลังทำการวิจัยอยู่ที่มหาวิทยาลัย Oxford ได้รวมการทำงานของทั้งเซนเซอร์, เรด้า, ภาพถ่ายทางอากาศ, อินเตอร์เน็ตในขณะเร่งด่วน และรวมการทำงานทางวิศวกรรมและการคำนวณทางคณิตศาสตร์เพื่อสร้างภาพเสมือนจริง (Robot’s view) ที่ทำให้การระบุตำแหน่งที่แม่นยำที่สุดที่สามารถระบุตำแหน่งรอบข้างได้ด้วยการใช้เลเซอร์ (3D Structure Vision)ในตอนกลางคืน และ Sterio Cameras ถ่ายภาพในตอนกลางวันซึ่งเจ้าเลเซอร์ที่ว่านี้จะติดอยู่รอบคัน โดยไม่ใช้ GPS เพื่อหลีกเลี่ยงความคลาดเคลื่อนของตำแหน่ง ส่วนการควบคุมก็สามารถใช้จากหน้าจอระบบสัมผัส (Touchscreen) ของ iPad ได้เลย และแน่นอนว่าเป็นรถพลังงานไฟฟ้าเพื่อความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและหลีกเลี่ยงการเกิด Carbon Footprint ให้มากที่สุด
ส่วนอีกแบรนด์ที่น่าสนใจก็คือ Mercedes FO15 ที่ผลิตรถต้นแบบภายใต้คอนเซป “luxury in motion” ที่เป็นลูกผสมระหว่างรถหุ่นยนต์กับรถไร้คนขับนั่นเองครับ

2.ยุคของนวัตกรรมรถหุ่นยนต์ที่สามารถสื่อสารระหว่างกันได้

นอกจากที่รถยนต์จะกลายร่างเป็นรถหุ่นยนต์แล้ว frank คาดการณ์ว่าเจ้ารถหุ่นยนต์ที่ว่านี้ในอนาคต จะสามารถสื่อสารระหว่างกันเองได้ด้วย กลายเป็นระบบการสื่อสารระหว่างรถหุ่นยนต์ที่เราเรียกว่า V2V Technology กันไป สาเหตุที่ต้องมีการสื่อสารระหว่างกันเป็นร้อยๆ ครั้งต่อวินาทีนั้น ก็เพื่อความแม่นยำในการคาดคะเนการขับขี่ของ software และลดการเกิดอุบัติเหตุให้เหลือ 0 ให้ได้นั่นเอง
ซึ่งบริษัทที่ให้ความสนใจในเรื่องนี้ถึงกับออกรถต้นแบบเพื่อทำการทดสอบอย่างจริงจังก็คือ GM (General Motor) นั่นเองล่ะครับ

3.ยุคของนวัตกรรมยานยนต์ที่มีผู้ช่วยขับอัฉริยะ

ไม่ว่าจะเป็น เทคโนโลยีที่ป้องกันการชนด้วยการเบรกอัตโนมัติอย่างใน Ford หรือ Volvo  การเรียกให้รถมารับเราได้แบบไร้คนขับของ BMW  การค้นหารรถยนต์ที่จอดไว้แบบอันโนมัติของ Chrysler หรือการที่รถสามารถจอดในซองจอดรถด้วยตัวเองของของ Mitsubishi นั้น จะเกิดขึ้นจริงแน่ๆ เพียงแค่รอเวลาเท่านั้นเองว่าจะเป็นเมื่อไหร่ที่จะวางตลาด frank ว่าในอนาคตที่เราเดินทางด้วยรถหุ่นยนต์นั้น เราจะทำกิจกรรมอื่นๆ ไปพร้อมๆ กันได้เลย เช่น นั่งประชุมในรถ ดูแลลูกๆ บนรถระหว่างเดินทาง หรือนั่งทำงานที่ใช้ไอเดียแบบเต็มที่ไดยไม่ต้องกังวลใจเรื่องการขับขี่ หรืออาจไปขั้นแอดว้านซ์ด้วยการทำกับข้าวบนรถเลยก็ได้ ส่วนการควบคุมก็แค่ใช้ Smart Controller ที่เหมือนเราใส่สายรัดข้อมือ หรือนาฬิกาแบบชิวๆ กันล่ะครับ

ส่วนในแง่ของการประกันรถยนต์นั้น ปัจจุบันประกันรถยนต์ก็สามารถปรับเปลี่ยนความคุ้มครองมาตามใจได้ระดับนึงแล้ว สามารถทดลองเช็คเบี้ยประกันได้นะครับ แล้วถ้าเรายิ่งเข้ายุคหุ่นรถยนต์ออกวางตลาดแล้ว ก็ย่อมจะต้องมีการปรับความคุ้มครองให้เหมาะสมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าเบี้ยประกันภัยที่น่าจะปรับลดลงจากการคำนวณทางคณิตศาสตร์เรื่องของความน่าจะเป็นของอุบัติเหตุที่น่าจะลดลง หรือแม้แต่แผนความคุ้มครองใหม่ๆ ที่ออกแบบมาให้เหมาะสมกับการใช้ชีวิตในรถหุ่นยนต์มากขึ้น ถ้า frank ไปสืบทราบข้อมูลมาแล้วล่ะก็ จะรีบมากนะซิบเพื่อนๆ ทันทีเลยล่ะครับ

Credit:  http://www.quertime.com/article, https://www.fastcompany.com/3018608/whats-next-for-car-dashboards

The post อะไรที่เรียกว่านวัตกรรมยานยนต์เขย่าโลกกันบ้าง? appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

1.นวัตกรรมหน้าจอ touch screen ของกุญแจรถ

frank ว่ามันดูไม่ค่อยเหมือนกุญแจรถเลยนะครับ เหมือนว่าเรากำลังถือ Smart Phone เครื่องเล็กๆ อยู่ซะมากกว่า เพราะเจ้ากุญแจรถสุดล้ำนี้แสดงรายละเอียดของรถยนต์ทั้งคันให้เรารู้ได้ มีพลังงานไฟฟ้าเหลืออยู่อีกเท่าไหร่? เลือกได้ด้วยว่าต้องการให้ติดเครื่องรอเลยไหม? เปิดแอร์เพื่อปรับอุณหภูมิในรถรอไว้ที่เท่าไหร่? บอกระยะทางในการขับขี่ได้ด้วย กดไปกดมานึกว่าใช้โทรศัพท์ซะอีกนะเนี่ย

2.กุญแจรถที่เหมือน Wristband ของ Jaquar

ถ้าไม่บอกว่านี่คือกุญแจรถ frank ว่าเราคงนึกว่ามันคือ smart watch ซะมากกว่านะฮะ เป็นอีกนวัตกรรมของกุญแจรถยนต์ของ Jaquar F-Pace Activities Key ที่เราจะไม่มีวันหาไม่เจอเพราะมันอยู่ติดที่ข้อมือเรานั่นเอง..ฮา เหมาะกับคนที่ชอบทำกิจกรรมเยอะๆ  ส่วนการใช้งานก็เพื่อสตาร์ทรถและดับเครื่องนั่นเองครับ เห็นล้ำๆ  แบบนี้กันน้ำด้วยนะฮะ ราคาก็แค่ 400 เหรียญเท่านั้นเอ้ง...ง

3.กุญแจรถ Aston Martin แบบใช้ Crystal แทนลูกกุญแจ

ก็นะ Aston Martin นะฮะ กุญแจรถก็ต้องต่างจากชาวบ้านเค้าซิฮะ นอกจากสุดเก๋ด้วยการใช้แท่งคริสตอลแทนลูกกุญแจแล้ว เวลาใช้งานก็แสนง่าย เพียงแค่วางเจ้าแท่งคริสตอลที่ว่านี้ลงในแผงควบคุมก็เป็นอันใช้ได้แล้วครับ ใช้ในการสตาร์ทรถหรือดับเครื่องยนต์ ซึ่องนอกจากดูหรูหราแล้วยังมีนวัตกรรมซ่อนอยู่อีกด้วย

4.กุญแจรถ McLaren ที่เบาเวอร์จาก Carbon Fiber

ส่วน McLaren เองก็ไม่น้อยหน้า สู้กันด้วยน้ำหนักที่เบาเวอร์ของ Carbon Fiber ที่ได้หายากยิ่งและราคาสูงใช่เล่นเลยซึ่ง frank มองว่าก็เหมาะสมกับนวัตกรรมของ Supercar อ่ะนะครับ ในด้านการใช้งานก็มีปุ่มให้กด 3 ปุ่มเพื่อใช้ในการควบคุมรถยนต์ครับ และแอบบอกเลยว่าเบากว่าคริสตัลเยอะฮะ

5.กุญแจรถยนต์ไร้คนขับ Tesla รุ่น S

ไม่พูดถึงไม่ได้เลยครับกับ Tesla รถยนต์ไฟฟ้าแบบไม่ต้องใช้คนขับกันแล้ว ส่วนกุญแจของเค้าก็เจ๋งใช่เล่นนะฮะ เราสามารถใช้เจ้ากุญแจที่ว่านี้ในการเรียกรถครับ คุณอ่านไม่ผิดครับ เรียกรถมาหาเราถึงที่ได้แล้วนะฮะ ด้วยการทำงานที่เป็นแบบ Semi-remote Distance และต้องไม่มีผู้โดยสารอยู่ในรถนะครับ (เพื่อป้องกันอาชญากรรมและการลักพาตัวครับ) ถืงว่าเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมของโลกอนาคตที่ตอนนี้เราเอามาใช้งานจริงได้แล้วนอกจากล็อกรถน่ะนะฮะ

แค่กุญแจรถนี่ก็ทำให้เราประหลาดใจกันแล้ว และถ้าการพัฒนาเรื่องการขับขี่ การใช้พลังงานทดแทนน้ำมัน ระบบนำร่อง การบอกพิกัด หรือแม้แต่รถยนต์ในโลกอนาคตที่เราไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของแค่สมัครสมาชิกเราก็ใช้รถได้ทุกที่ทั่วโลกแล้ว ชีวิตเราจะน่าอยู่ขนาดไหนกันนะฮะ (รถบนถนนคงจะโล่งน่าดูเลยล่ะครับ) สนใจข้อมูลประเทืองปัญญาล้ำๆ เพื่อเพิ่มรอยหยักสมองกัน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่เลยนะครับ  https://www.bolttech.co.th/blogเทคโนโลยี

Credit: http://www.techinsider.io, http://m.bmw.co.uk

The post เมื่อกุญแจรถยนต์ไร้คนขับกลายเป็นนวัตกรรมสุดล้ำไปซะแล้ว appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.