1. วัดอาซากุสะ หรือเซ็นโซจิ (SenSou-ji)

เริ่มจากวัดอาซากุสะ หรือวัดเซ็นโซจิกันก่อนเลย ถือเป็นวัดในโตเกียวที่มีชื่อเสียงโด่งดัง หากเราเดินเข้ามาบริเวณประตูทางเข้าวัด ก็จะเห็นโคมไฟสีแดงขนาดใหญ่  ซึ่งชาวบ้านแถวนั้นมักเรียกที่นี่กันว่า “วัดโคมแดง” จากตำนานเคยเล่าว่ามีสองพี่น้องได้มาหาปลาแถวแม่น้ำสุมิดะ แล้วเหวี่ยงแหไปเจอกับรูปปั้นพระโพธิสัตว์ หลังจากนั้นไม่นานชาวบ้านก็สร้างวัดนี้ขึ้นมา พร้อมกับประดิษฐานรูปปั้นของพระโพธิสัตว์ พร้อมกับสถาปัตยกรรมเจดีย์ 5 ชั้น บอกเลยว่าอลังการสุดๆ หรือใครที่อยากเสี่ยงเซียมซีทำนายดวง ก็สามารถมาขอพรจากเจ้าแม่กวนอิมได้ 
เวลาทำการ : เปิดทุกวันจันทร์ – อาทิตย์ เวลา  06.00 – 17.00 น. (เข้าชมฟรี)
การเดินทาง : เพียงนั่งรถไฟใต้ดิน Ginza line มาลงที่สถานี Asakusa Station แล้วเดินต่ออีกหน่อย 5 นาทีก็ถึงวัดเซ็นโซจิ

2. วัดนันโซอิน (Nanzoin Temple)

อีกหนึ่งวัดญี่ปุ่นที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ก็คือ “วัดนันโซอิน” ที่จังหวัดฟุกุโอะกะ (Fukuoka) เป็นวัดที่เหมาะกับการขอพรอย่างยิ่ง เพราะวัดแห่งนี้มีพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์อันดับ 1 ของโลกตั้งอยู่บริเวณหุบเขา  รายล้อมไปด้วยธรรมชาติต่างๆ ทั้งต้นไม้ ภูเขา และหินกระจายไปทั่วทางเดิน บรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบมาก บริเวณภายในจะมีประติมากรรมเทพเจ้าแห่งโชคลาภ หากใครที่ต้องการขอพรเรื่องธุรกิจ หรือค้าขาย ก็สามารถเข้ามาที่วัดแห่งนี้กันได้  นอกจากนี้ยังมีศาลเจ้าให้นักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมอีกด้วยนะ
เวลาทำการ : เปิดทุกวันจันทร์ – อาทิตย์ เวลา 09.00 – 17.00 น. (เข้าชมฟรี)
การเดินทาง : แนะนำให้นั่งรถไฟสายซาซากูริ มาลงที่สถานี Nanzoin – mae Station แล้วเวลาเดินอีกประมาณ 3 – 5 นาที

3. วัดคิโยะมิซุ หรือวัดน้ำใส (Kiyomizudera Temple)

เมื่อเดินทางมาเที่ยวญี่ปุ่นแล้ว ก็ต้องลองมาที่ “วัดคิโยะมิซุ” กันก่อน โดยเป็นวัดในเกียวโตที่ตั้งอยู่บนยอดเขาโอโตวะ ภายในจะมีสถาปัตยกรรมโบราณที่หาชมได้ยาก พร้อมจุดชมดอกซากุระ และใบไม้สีแดงตระการตา  อันนี้เราสามารถเดินขึ้นไปยังตัวอาคารเก่าแก่ เพื่อถ่ายรูปวิวสวยๆ ข้างบน ตรงบริเวณภายในวัดยังมีน้ำตกให้นักท่องเที่ยวดื่มอีกด้วย  แต่ไม่ต้องกังวลไปนะ เพราะทางเจ้าหน้าที่จัดเตรียมกระบวยรองน้ำสำหรับฆ่าเชื้อแล้ว เชื่อกันว่าหากใครดื่มน้ำจากสายธารแห่งนี้ จะช่วยให้มีสุขภาพเเข็งแรง และอายุยืนยาว 
เวลาทำการ : ให้บริการทุกวัน เวลา 6:00 - 18:00 (ค่าชมผู้ใหญ่ 300 เยน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมต้นและชั้นประถม 200 เยน)
การเดินทาง : ลงจากสถานี Kiyomizu-Gojo Station [ Keihan Railway Line] หลังจากนั้นเดินประมาณ 20 นาที

4. วัดโคโตะกุอิน (Kotokuin Temple)

สำหรับคนที่กำลังหาพิกัดเที่ยวญี่ปุ่นไหว้พระขอลูกให้สมหวังดั่งใจ ต้องลองมากันที่ “วัดโคโตะคุอิน” ณ. เมืองคามาคุระสักครั้ง ซึ่งบริเวณวัดแห่งนี้จะเป็นที่ตั้งของ “พระใหญ่ไดบุตสึ”  ที่มีความสูงประมาณ 13.35 เมตร ตรงด้านในพระพุทธรูปจะมีช่องเล็กๆ ให้เข้าชมด้านหลัง เพียงจ่ายเพิ่มแค่ 20 เยนเท่านั้น  ก็สามารถมาขอพรกันได้ แต่แฟรงค์แนะนำให้ลองมาเที่ยวในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี เพราะบรรยากาศรอบๆ จะมีดอกซากุระเบ่งบาน เหมาะกับการถ่ายรูปอย่างยิ่ง เขาเล่ากันว่า คนไทยส่วนใหญ่นิยมมาขอพรกันเยอะมาก
เวลาทำการ : เปิดให้บริการทุกวัน แบ่งตามช่วงเดือน ได้แก่ เมษายน – กันยายน เปิดเวลา 08.00 – 17.30 น. ส่วนตุลาคม – มีนาคม เปิดเวลา 08.00 – 17.00 น. (เข้าชมวัดผู้ใหญ่คนละ 200 เยน ถ้าต้องการเข้าชมด้านหลังจ่ายเพิ่มเพียงแค่ 20 เยน)
การเดินทาง : เดินทางจากสถานี JR Tokyo นั่งรถไฟสาย JR Yokosuka Line มาลงที่สถานี JR Kamakura แล้วต่อรถไฟ Enoshima Electric Railway ลงสถานี Hase และเดินต่อไปอีกประมาณ 650 เมตร จนถึงปลายทาง

5. วัดโทไดจิ (Todaiji)

จปทริปด้วยสถานที่ไหว้พระญี่ปุ่นกับ “วัดโทไดจิ” ที่ตั้งอยู่ในเมืองนารา อีกหนึ่งวัดเก่าแก่ในตำนานที่มีวิหารไม้ประดิษฐานของหลวงพ่อโต  และมีเสาต้นหนึ่งในอาคารหลักเพื่อให้คนมาลอดตรงช่องกลางเสา เชื่อว่าใครที่สามารถลอดผ่านช่องนี้ไปได้จะมีสุขภาพเเข็งแรง ความพิเศษของวัดนี้ก็ยังมีจุดชมวิวสวยๆ ให้เยี่ยมชม แต่อาจจะต้องเดินขึ้นบันไดไปหน่อยนะ ส่วนบริเวณรอบๆ เราก็จะพบสระน้ำขนาดใหญ่ และกวางนาราขามานอนอาบแดด  เหล่านักท่องเที่ยวจึงชอบมาถ่ายรูปกับเจ้ากวางสวยๆ เป็นจำนวนมาก และยังมีร้านขายของที่ระลึกให้ซื้อเป็นของฝากกลับบ้านด้วย
เวลาทำการ : เปิดทำการทุกวัน แบ่งตามช่วงเดือน ได้แก่ เมษายน-ตุลามคม เปิดเวลา 07.30 - 17.30 น. และพฤศจิกายน-มีนาคม เปิดเวลา 08.00 - 17.00 น. (ค่าเข้าชมอาคารหลักผู้ใหญ่ 800 เยน และเด็ก 400 เยน)
การเดินทาง : ขึ้นจากสถานีรถไฟ JR นารา (JR Nara Station) แล้วนั่งรถซิตี้บัสไปลงที่ป้าย “ไดบัตสึเด็น คะสุงะไทฉะ มาเอะ (Daibutsuden Kasugataisha-mae)” ใช้เวลาเดิน 5 นาที จากป้ายรถบัส หรือลงจากสถานีรถไฟคินเท็ตสึ นารา (Kintetsu Railway Nara Station) แล้วเดินต่อประมาณ 20 นาที
หลังจากเช็กพิกัดไหว้พระในญี่ปุ่นบ้างแล้ว เชื่อว่าเพื่อนๆ จะต้องอิ่มบุญอิ่มใจแน่นอน แต่ก่อนจะออกเดินทางมายังญี่ปุ่น เพื่อนๆ ก็อย่าลืมซื้อประกันเดินทางกับ Frank.co.th ให้คุ้มครองตลอดทริปนะ เวลาไม่สบายหรือบาดเจ็บขณะเดินทาง เราจะได้มีคนคอยช่วยดูแลค่ารักษาพยาบาลด้วย จะมากจะน้อยก็ขึ้นอยู่กับแพ็คเกจที่คุณเลือก รับรองว่าคุณจะได้สนุกกับการเที่ยวญี่ปุ่นมากขึ้น

The post เช็กอิน! สถานที่ไหว้พระขอพรยอดฮิตในญี่ปุ่น appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

1. ชินจูกุ (Shinjuku)

ต้องขอยกให้ย่าน “ชินจูกุ (Shinjuku)” แหล่งช้อปปิ้งโตเกียวชื่อดังเป็นอันดับหนึ่ง เนื่องจากมีร้านอาหารและห้างสรรพสินค้า เพื่อเอาใจขาช้อปสุดๆ ได้แก่ ศูนย์รวมแฟชั่นเสื้อผ้า กระเป๋า และเครื่องสำอางค์ รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้ายอดนิยม  มีสินค้าออกมาจำหน่ายครบครันและไม่แพงอีกด้วย ส่วนที่ใครพอมีเวลาเหลือหน่อยสามารถเดินเล่นตอนกลางคืนได้ พร้อมเปิดให้บริการสถานที่เที่ยวบันเทิงอย่างร้านคาเฟ่ ร้านคาราโอเกะ บาร์ และตลาดนัดกลางคืนตามโซนต่างๆ แบบครบครัน
อ่านเพิ่มเติม : 10 กิจกรรมน่าทำที่ญี่ปุ่นเดือนเมษานี้

วิธีการเดินทาง : 

ให้เดินทางมาลงสถานีรถไฟชินจูกุ ซึ่งเป็นสถานีหลักของย่านชินจูกุ โดยจะมีทางออกหลายทางเลย แต่ถ้าเป็นย่านที่เต็มไปด้วยศูนย์การค้า แหล่งช้อปปิ้ง และสถานที่เที่ยวบันเทิง แนะนำให้ออกทางฝั่งทิศตะวันออกของสถานีชินจูกุ (East Exit) แล้วเดินต่อประมาณ 3-5 นาที

ที่พักสบายๆ หลังเที่ยวชินจูกุ :

Booking.com


 

2. ชิบูย่า (Shibuya)

อีกหนึ่งย่าน “ชิบูย่า (Shibuya)” แหล่งช้อปปิ้งญี่ปุ่นยอดฮิตที่เต็มไปด้วยร้านค้าตลอดทาง หากคุณได้มาเยือนในย่านนี้แล้ว ก็ต้องลองมาเดินเล่นกันที่ “ถนนเซ็นเดอร์ไก” ศูนย์กลางถนนคนเดินที่มีแฟชั่นสวยๆ แบบสไตล์ญี่ปุ่น  และมีห้างสรรพสินค้าเล็กๆ ให้เลือกช้อปตามใจชอบ นอกจากนี้คุณยังสามารถเดินตามซอกเล็กซอกน้อยของถนนแห่งนี้ เพื่อช้อปสินค้าจำพวกเบ็ดเตล็ดอีกด้วย หรือลองแวะถ่ายรูปเช็กอินตรงถนนห้าแยกชิบูย่าที่มีถนนหลายสายตัดกัน ซึ่งเป็นจุดสังเกตหลักว่าคุณได้มาเยือนชิบูย่าแล้ว

วิธีการเดินทาง : 

เดินทางง่าย และสะดวกมากๆ เพียงแค่คุณลงสถานีรถไฟชิบูย่า แล้วออกหมายเลข 3 หลังจากนั้นเดินเที่ยวตามถนนเซ็นเดอร์ไกต่อเลย ส่วนเวลาทำการขึ้นอยู่กับแต่ละร้านค้า

ที่พักสบายๆ หลังเที่ยวชิบูย่า :

Booking.com


 

3. ฮาราจูกุ (Harajuku)

ใครที่ชื่นชอบการช้อปปิ้ง ไม่ควรพลาดย่าน “ฮาราจูกุ (Harajuku)” ในกรุงโตเกียวอย่างยิ่ง ซึ่งอยู่ห่างไม่ไกลจากชิบูย่าและชินจูกุเลยครับ ถ้าคุณมีโอกาสสักครั้งให้ลองมาเที่ยวเล่นตาม “ถนนทาเคชิตะ” กันก่อน จะมีสินค้าจำพวกแบรนด์เนม และสินค้าแฮนด์เมดของคนญี่ปุ่น  แถมยังมีขนมเครป สายไหม และไอศกรีมหลากหลายรสให้แวะชิมตลอดทาง แต่อาจจะคึกคักหน่อยนะ เพราะนักท่องเที่ยวต่างเข้ามากันจำนวนมาก พร้อมเปิดให้บริการตลอดทั้งวัน
อ่านเพิ่มเติม : เที่ยวญี่ปุ่นเมืองไหนดี? กับ 9 เมืองน่าเที่ยวที่ต้องห้ามพลาด

วิธีการเดินทาง : 

มาลงสถานีฮาราจูกุ (Harajuku) รถไฟ JR สายยามาโนะเตะ (Yamanote Line) ทางออกทาเคชิตะ (Takeshita Exit) ถึงทันที หรือสถานีเมจิจิงกูมาเอะ (Meiji-jingumae "Harajuku") รถไฟโตเกียวเมโทร (Tokyo Metro) สายชิโยดะ (Chiyoda Line) หรือสายฟุกุโทะชิน (Fukutoshin Line) แล้วเดินต่ออีก 2 นาที

ที่พักสบายๆ หลังเที่ยวฮาราจูกุ : 

Booking.com


 

4. อะเมโยโกะ (Ameyoko)

ถ้าเพื่อนๆ คนไหนอยากช้อปสินค้าราคาไม่แพง แนะนำให้มาที่ “ตลาดอะเมโยโกะ” กันเลย อีกหนึ่งย่านขายอาหารขึ้นชื่อ ไม่ว่าจะเป็นอาหารสด อาหารแห้ง ผลไม้ และร้านขายขนมอีกสารพัด  รวมกันกว่า 400 ร้าน เหมาะแก่การช้อปปิ้งโตเกียวอย่างมาก ราคาประหยัดกว่าในห้างด้วย แล้วไม่เพียงแค่นั้นนะ! ที่นี่ยังมีของเล่น ของสะสม หรือโมเดลเก่าๆ ให้เลือกสรรได้ตามใจชอบ รับรองว่าคุณต้องตื่นตาตื่นใจแน่นอน

วิธีการเดินทาง : 

การเดินทางไม่ยากเลย สามารถใช้บริการรถไฟทั้งสาย JR และ Tokyo Metro มาลงที่สถานีอุเอะโนะ สำหรับใครที่มา JR ก็ออกที่ Central Exit  ซึ่งจะอยู่ฝั่งตรงข้ามของถนน แต่ถ้าเป็น Metro ออกทางออก 5B แล้วขึ้นมาก็ถึงทันที

ที่พักสบายๆ หลังเที่ยวอะเมโยโกะ :

Booking.com


 

5. อากิฮาบาระ (Akihabara)

ปิดท้ายด้วยย่าน “อากิฮาบาระ” บ้านเกิดของสาวๆ AKB48 ไอดอลชื่อดังของวง BNK48 ขอบอกเลยว่าใครที่เป็นเเฟนคลับวงนี้อยู่แล้ว พลาดไม่ได้เลย เพราะคุณจะได้สัมผัสกับบรรยากาศแสง สี เสียง ทั้งแหล่งช้อปปิ้งน่ารักๆ ให้แวะก่อนกลับบ้าน รวมถึงสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์มากกว่า 100 ร้าน ยิ่งใครที่ชื่นชอบการ์ตูนอะนิเมะ วิดีโอเกมส์ และของสะสมที่หายาก ก็สามารถมาจับจ่ายใช้สอยกันได้  ราคาไม่แพง
อ่านเพิ่มเติม : 5 สถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่นตามรอย Godzilla

วิธีการเดินทาง : 

เราสามารถเดิน 3 นาที จาก Akihabara Station [JR Yamanote Line, JR Keihin-Tohoku Line, JR Sobu Line] หรือเดิน 5 นาที จาก Suehirocho Station [Ginza Subway Line] เปิดให้บริการเวลา 10.00-22.00 น.

ที่พักสบายๆ หลังเที่ยวอากิฮาบาระ : 

Booking.com


 
หากใครที่วางแผนจะมาเที่ยวญี่ปุ่นแล้ว ก็เข้ามาเยือนในกรุงโตเกียวกันได้เลย เพราะที่นี่เต็มไปด้วยแหล่งช้อปปิ้ง และของกินอร่อยๆ ให้เลือกมากมาย สามารถซื้อกลับไปฝากคนที่บ้านได้ครับ นอกจากนั้นที่พักยังมีมากมาย ไม่ต้องกลัวไม่มีที่นอนเลย โดยถ้าใครเป็นลูกค้าของ Frank คุณสามารถใช้สิทธิ Penguin Privilege จองที่พักผ่าน Booking.com ที่ญี่ปุ่นในราคาสุดพิเศษได้อีกด้วย แล้วที่สำคัญก่อนออกเดินทาง เราอย่าลืมซื้อประกันเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นให้อุ่นใจด้วยนะ ไม่ว่าคุณเกิดเจ็บป่วยขณะเดินทาง หรือประสบอุบัติเหตุ ทางประกันจะช่วยดูแลค่ารักษาให้กับคุณ รวมถึงกรณีเครื่องบินดีเลย์ และกระเป๋าเดินทางสูญหายก็อยู่ในความคุ้มครองเช่นกัน เวลาไปเที่ยวไหนก็หายห่วงมากขึ้น
 

The post 5 แหล่งช้อปปิ้งยอดฮิตในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

ดิสนีย์แลนด์ ได้บรรยากาศ ดิสนีย์ มากกว่า

credit : Disneyland

credit : Wikipedia

credit : Disneyland

ดิสนีย์ซี มันส์กว่า แปลกใหม่กว่า

Credit : DisneySEA

สรุป 

ดิสนีย์แลนด์ เหมาะสำหรับครอบครัวที่มีลูกเล็ก ๆ หรือใครที่ยังไม่เคยเที่ยวสวนสนุกของดิสนีย์มาก่อน เพราะจะได้สัมผัสบรรยากาศความเป็นดิสนีย์ ดินแดนแห่งความฝันอย่างเต็มเปี่ยม นอกจากขบวนพาเหรดที่สวยงามตระการตา แถมยังมีเครื่องเล่นจากการ์ตูนอนิเมชั่นระดับไอคอนมากมาย ทั้งซินเดอร์เรลล่าส์ ปีเตอร์แพน สโนว์ไวท์  ฯลฯ เรียกได้ว่าถูกใจคุณหนู ๆ อย่างแน่นอน 
ดิสนีย์ซี เหมาะสำหรับใครที่เคยไปดิสนีย์แลนด์มาแล้ว หรือใครที่ต้องการเล่นสวนสนุกที่โตขึ้นมาหน่อย ต้องการความตื่นเต้น การผจญภัย เหมาะกับวัยรุ่นแบบฝุด ๆ เลยครับ
แต่ถ้าไปถึงญี่ปุ่นแล้วเลือกไม่ได้ แฟรงค์ว่าถ้ามีโอกาส ก็เล่นมันทั้งสองสวนสนุกเลยก็ได้นะครับ เพราะทั้งสองก็มีเสน่ห์และเอกลักษณ์ของตัวเอง สนุกกันคนละแบบ แต่ที่ลืมไม่ได้ยิ่งกว่า ก็คือการมีประกันเดินทางจาก Frank.co.th ไว้รับความคุ้มครองด้วยนะครับ จะได้อุ่นใจ สนุกได้เต็มที่ หรือจะอ่านบทความเลือกประกันเดินทางออกเที่ยวญี่ปุ่นเพื่อประกอบการตัดสินใจก็ได้ครับ

The post เที่ยวโตเกียว “ดิสนีย์แลนด์” หรือ “ดิสนีย์ซี” ฝั่งไหนเหมาะกับทริปคุณ appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

ข้อต้องรู้ก่อนเช่ารถ

1. คิดจะเช่ารถขับเที่ยวญี่ปุ่นจะต้องมีใบขับขี่ไทย และต้องมีใบขับขี่สากลหรือใบขับขี่ระหว่างประเทศ หากไม่รู้ว่าทำใบขับขี่สากลต้องทำยังไงหนอสามารถอ่านบทความทำใบขับขี่สากลที่ไหนได้บ้าง ? ทีมงานแฟรงค์เขียนไว้แล้ว
2. ใบขับขี่ระหว่างประเทศหรือใบขับขี่สากลจะต้องมีอายุไม่เกิน 1 ปี 
3. เตรียมเอกสารเช่ารถ เช่น หนังสือเดินทาง (Passport), เงินเยน/บัตรเครดิต, เตรียมใบขับขี่สากล และใบขับขี่ไทยพกติดตัว ซึ่งเงื่อนไขแต่ละบริษัทฯ ให้เช่ารถเที่ยวญี่ปุ่นจะไม่เหมือนกัน

เข้าใจการเช่ารถขับในญี่ปุ่นมากขึ้น 

อ้างอิงข้อมูลเฟซบุ๊กจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ระบุว่า “กฎหมายญี่ปุ่นระบุให้ทุกคนที่ขับรถในญี่ปุ่นต้องมีใบขับขี่” ซึ่งทางการอนุญาตให้นักท่องเที่ยวไทยที่เดินทางมาเที่ยวญี่ปุ่น สามารถใช้ใบขับขี่ระหว่างประเทศที่ประเทศไทยออกให้ได้ ไม่เกิน 1 ปี 

ใครบ้าง ? ที่ทางการญี่ปุ่นให้ใช้ใบขับขี่สากล

อย่างที่ทราบดีว่า ประเทศญี่ปุ่นเป็นพิกัดที่เคร่งครัดกฎหมายมาก ๆ โดยเฉพาะการขับรถยนต์จะต้องมีใบขับขี่ที่ทางการญี่ปุ่นเท่านั้น!!! ยกเว้นนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้มีชื่อในทะเบียนที่อยู่อาศัยญี่ปุ่นถึงจะใช้ใบขับขี่สากลได้ หมายความว่า นักท่องเที่ยวที่กำลังจะขับรถทัวร์ญี่ปุ่นนั้นจะต้องเตรียมใบขับขี่ไทย ทำเรื่องขอใบขับขี่สากลก่อนออกทริปนะจ้ะ ซึ่งใบขับขี่ระหว่างประเทศจะต้องมีอายุไม่เกิน 1 ปี นับจากวันที่ได้รับใบขับขี่ ดังนั้น เตรียมวันเวลาให้ดี

รู้หรือไม่ ? 

สำหรับคนไทยอาศัยอยู่ในญี่ปุ่นไม่สามารถใช้ใบขับขี่สากลได้นะครับจะต้องใช้ใบขับขี่ที่ทางการญี่ปุ่นออกให้เท่านั้น จึงจะสามารถขับรถยนต์ในญี่ปุ่นได้ หมายความว่า คุณจะต้องดำเนินเอกสารสอบใบขับขี่ที่ญี่ปุ่นนะจ้ะ 

จองเช่ารถเที่ยวญี่ปุ่น

ด้วยข้อดีของการเช่ารถขับเที่ยวญี่ปุ่น คือ ช่วยให้นักท่องเที่ยวเปิดโลกกว้างได้เดินทางแบบไม่ซ้ำใครโดยเฉพาะพิกัดโอกินาว่าและฮอกไกโด เราสามารถเช่ารถล่วงหน้าก่อนเดินทางก็ได้ ยิ่งตอนนี้สะดวกครับมีหลายแห่งให้บริการเช่ารถเที่ยวญี่ปุ่นให้นักท่องเที่ยวเลือกออนไลน์ได้เอง เช่น Orix Rent A Car, Nippon, Europcar ฯลฯ หรือจะเช่าหลังจากลงเครื่องในสนามบินก็ได้ตามสะดวกเลยครับ
สำหรับลูกค้าที่ซื้อประกันภัยออนไลน์กับ Frank ยังมีสิทธิพิเศษเพนกวินพริวิลเลจ (Penguin Privilege) ส่วนลด 7% ใช้เช่ารถ Rentalcars.com

และก่อนเช่ารถเที่ยวญี่ปุ่นอย่าลืมพ่วงประกันภัยรถยนต์ด้วย (ปกติร้านเช่ารถจะบังคับให้ทำอยู่แล้ว) พร้อมกับทำประกันเดินทางรายเที่ยวจากเมืองไทยติดตัวไว้ด้วย สามารถกำหนดวันคุ้มครองได้เอง กำหนดเบี้ยได้ เลือกความคุ้มครองได้เปรียบเทียบเบี้ยประกันเดินทางกับ Frank สิคร้าบ และหากตัดสินใจไม่ถูก อ่านเคล็ดลับการเลือกประกันเดินทางอย่างไร ให้เหมาะกับการไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นทีมงาน Frank เขียนไว้แล้ว เมื่อเรียนรู้ 3 ข้อที่คนไทยต้องทำความเข้าใจก่อนเช่ารถเที่ยวญี่ปุ่นแล้ว แต่ย้ำเลยนะครับ เราจะต้องขับขี่ปลอดภัย เคารพกฎจราจร เช่น 

• ญี่ปุ่นไม่มีเลี้ยวซ้ายผ่านตลอด 
• ห้ามขับเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด
• ยังมีข้อห้ามและกฎหมายน่ารู้อื่น ๆ อีกเพียบ  

อย่าประมาทเด็ดขาดนะครับ ด้วยเส้นทางที่ไม่ชำนาญ เพราะพลาดเพียงเสี้ยววินาทีก็ถึงชีวิตและก่อให้เกิดเหตุร้ายแรงได้ เตือนตรงนี้ครับค่าปรับจราจรและข้อลงโทษรุนแรงมาก!! ห่วงนะถึงบอก 
ขอบคุณข้อมูลจาก : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น - 在東京タイ王国大使館
Content by Butter Cutter

The post 3 ข้อที่คนไทยต้องรู้! ก่อนเช่ารถขับเที่ยวญี่ปุ่น appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

1. ไหว้พระขอลูกวัดโคโตะกุอิน

หากมีทริปฮันนีมูนหวานดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ในเอเชียกับการทัวร์ญี่ปุ่น คู่รักข้าวใหม่ปลามันสามารถขอลูก ณ วัดโคโตะกุอิน (Kotokuin Temple) บ้างครั้งถูกเรียกว่า วัดโคโตะคุอินก็มี อยู่ที่เมืองคามาคุระ สามารถเดินทางกับรถบัส หรือรถไฟสาย Wnoden ลงสถานี Hase วิ่งเลียบทะเลมาเลย 
เราจะได้สักการะพระใหญ่ไดบุซึสูงประมาณ 13.35 เมตรที่มีอายุกว่า 800 ปี บริเวณวัดร่มรื่นน่าเดินเล่น นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมด้านหลังองค์พระได้ด้วย ต้องเสียค่าเข้าชมวัดผู้ใหญ่คนละ 200 เยน จ่ายเพิ่ม 20 เยนหากต้องการเที่ยวชมหลังพระพุทธรูป และเพื่อช่วยให้คุณเตรียมทริปได้ง่าย เปิดทุกวันครับ แต่ช่วงเวลาเปิดเข้าชมของวัดแห่งนี้จะแบ่งตามเดือนครับ ได้แก่ 

• เมษายน - กันยายน เปิดเวลา 08.00 - 17.30 น.
• ตุลาคม - มีนาคม เปิดเวลา 08.00 - 17.00 น.

จะเห็นได้ว่า ช่วงฤดูใบไม้ร่วงหรือใบไม้เปลี่ยนสี (ตุลาคม-พฤศจิกายน) และฤดูหนาว (ธันวาคม - กุมภาพันธ์) ส่วนเดือนมีนาคมจะเป็นฤดูใบไม้ผลิ วัดจะปิดเร็วขึ้นหน่อยนึง แนะนำว่าเตรียมเวลาให้ดี ซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมมาวัดโคโตะกุอินช่วงใบไม้เปลี่ยนสี หรือชมซากุระเพราะจะสวยงามเป็นพิเศษเลยล่ะ
ส่วนพิธีขอลูกที่วัดโคโตะกุอินนั้นสามารถบนบานศาลกล่าวขอลูกกับพระใหญ่ เห็นว่า คนไหนมีลูกยากก็ได้เจ้าตัวเล็กกลับไทยด้วยทุกรายเชียวนะ เอาเป็นว่า ตั้งใจอธิษฐานให้ดีไหว้พระขอลูกในทริปฮันนีมูนญี่ปุ่นครับ
แผนที่ : 

2. วัดฮาเซะเดระ คัดภาษาญี่ปุ่นเพื่อขอลูกสำหรับคู่รัก

ยังคงแจกพิกัดเดินทางขอลูกพร้อมชมดอกไฮเดรนเยีย เดินเล่นในสวนสไตล์ญี่ปุ่นแบบร่มรื่นกับวัดฮาเซะเดระ (Hasedera Temple) เมืองคามาคุระ แห่งคานากาว่า ค่าเข้าประมาณ 300 เยน เป็นสถานี่เที่ยวในทริปฮันนีมูนญี่ปุ่นเติมความหวานให้คู่รักโดยเฉพาะคู่รักที่มีบุตรยาก สามารถเดินขึ้นไปขอพรเทพให้มีลูกโดยเร็ววัน พร้อมกันนี้คุณไม่ต้องกลัวว่าการขอพรจะแป้ก หรือผิดพลาดคลาดเคลื่อนด้านภาษา เพราะวิธีการขอพรนั้นเราสามารถคัดคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นภาษาญี่ปุ่นซึ่งมี 2 รูปแบบ (แผ่นละ 1200 เยน) ได้แก่ 

• การคัดคำสอนพระพุทธเจ้าแบบ Shakyo คัดแบบเบสิกใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่า ๆ ตามความถนัดของบุคคล
• คัดแบบ Shabutsu เป็นกระดาษขอพรที่ละเอียดสุด ๆ นอกจากคัดคำสอนยังต้องร่างภาพด้วยศรัทธาครับ ประมาณ 2 ชั่วโมงเลยล่ะถึงจะเขียนเสร็จ เอาเป็นว่า เผื่อเวลามาคัดภาษาญี่ปุ่น และไหว้พระขอลูกเลยครับ (ว่าที่) คุณพ่อคุณแม่มือใหม่

โดยผู้ขอพรจะต้องคัดญี่ปุ่นที่นี่เท่านั้น ห้ามนำออกไปทำที่โรงแรมหรือที่อื่นนะครับ ย้ำว่าเขียนโดยพู่กันหมึกซูมิ (Sumi Ink) ภายในห้อง Study Room ที่จัดไว้สไตล์ญี่ปุ่นแท้ ๆ ระหว่างเขียนจะต้องตั้งจิตอธิษฐานด้วยนะครับ ควรเขียนอย่างเบามือนะเพราะว่า กระดาษบางมาก ๆ หลังจากคัดเสร็จสิ้น เราจะต้องกรอกข้อมูลเพิ่ม ได้แก่ พรที่ต้องการ, ประเทศ, ชื่อ และวันที่ที่เราขอพร นำกระดาษใส่ซองวางไว้หน้าพระพุทธรูป เพียงเท่านี้ก็เสร็จพิธีการ  
อย่างไรก็ดี ไม่สามารถถ่ายภาพในบริเวณดังกล่าวได้ จะต้องถอดแจ็กเก็ต รองเท้า และปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัดครับ สำหรับวัดฮาเซะเดระแห่งนี้เปิดทุกวันเวลา 08.00-17.00 น. และมีเครื่องรางของขลังให้บูชาเพียบเลยนะ
แผนที่ : 

3. วัดฟุตะโกะจิ วัดเก่าแก่น่ามาเที่ยวขอพร

แพ็คกระเป๋าตามรอยศรัทธาสถานที่ท่องเที่ยวทริปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์แห่งเกาะคิวชู มาเที่ยววัดฟุตะโกะจิ (Futago-ji) อยู่ใจกลางคาบสมุทรคุนิสะกิ ณ ตั้งอยู่บนภูเขาสูง เป็นวัดเก่าแก่สร้างตั้งแต่ ค.ศ. 718 ในสมัยเอโดะ เป็นพิกัดโปรดของนักท่องเที่ยวทั่วโลกชอบแวะเวียนมาดูต้นเมเปิ้ล พร้อมกับไหว้ขอพรให้มีลูกได้ด้วย และขอพรกับเทพเจ้า แนะนำให้ภาวนาแน่วแน่ 

ร่ำลือกันว่า “มาวัดฟุตะโกะจิ สมหวังเกือบทุกราย” ทั้งนี้ คุณต้องพิสูจน์เอง

สำหรับวัดฟุตะโกะจิเปิดทุกวัน แต่เวลาแตกต่างกัน เช่น เที่ยวช่วงมีนาคมถึงพฤศจิกายน เวลา 08.00 - 17.00 น. และฤดูหนาวระหว่างเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ เปิดเวลา 08.30 - 16.30 น. เอาเป็นว่า เตรียมแพลนฮันนีมูนญี่ปุ่นให้พร้อมขอพรได้เลย
แผนที่ :

สำหรับการไหว้พระขอพรให้มีลูก แฟรงค์ไม่ได้มีเจตนาให้เกิดความงมงายแต่อย่างใด โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะ และเที่ยวญี่ปุ่นก็อย่าลืมเลือกประกันเดินทางอย่างไร ให้เหมาะกับการไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นด้วยนะครับ
ขอบคุณข้อมูล: allabout-japan.com, parentsone.com, jnto.or.th, discover-oita.com
Content by Butter Cutter

The post ท้าพิสูจน์ ! 3 พิกัดเที่ยวญี่ปุ่นไหว้พระขอลูก ให้สมหวังดั่งใจ appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

• เรียนรู้โลกใต้ท้องทะเล ณ อะความารีน ฟุคุชิมะ
• เที่ยวได้ความรู้ในพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติและวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
• ชมสัตว์โลกน่ารักที่สวนสัตว์อุเอโนะ
• ท่องโลกอวกาศ Space Museum TeNQ ณ Tokyo Dome
• ลองเที่ยวแปลกใหม่ที่พิพิธภัณฑ์คัพนู้ดเดิ้ล โยโกฮาม่า
• ชอบฟุตบอล ต้องมาพิพิธภัณฑ์ฟุตบอลญี่ปุ่น
• เต็มอิ่มกับโกเบคาวาซากิเวิลด์

พร้อม ! หรือยัง มาอ่านแพลนเที่ยวฉบับเต็ม ๆ กันโล้ด

1. อะความารีน ฟุคุชิมะ (Aquamarine Fukushima)

แน่นอนว่า ดินแดนพระอาทิตย์อุทัยที่ถูกล้อมรอบด้วยทะเลเราต้องมาดูสัตว์น้ำให้เห็นกับตาสิครับ และการพาลูกเที่ยวญี่ปุ่นแบบชมปลาชมท้องทะเลคงต้องยกให้พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำอะความารีน ฟุคุชิมะ (Aquamarine Fukushima) ตั้งอยู่ที่เกาะฮนชู เมืองอิวากิ จังหวัดฟุคุชิมะ ซึ่งมีแท็งค์น้ำใหญ่ 2 แห่ง จัดเต็มโลกใต้ทะเล!!! และเมืองนี้ไม่น่ากลัวอย่างที่คิดนะครับ
เหตุผลหลัก ๆ ที่ Frank แนะนำให้เที่ยวพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำอะความารีน ฟุคุชิมะ เพราะสวยงามและมีความใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด เปิดทุกวันเวลา 09.00 - 17.30 น. (ต้องซื้อตั๋วก่อนเวลา 16.30 น. นะครับ) เราจะได้ชมอุโมงค์ปลาสุดอลังการ รับรองว่า เด็ก ๆ ต้องตื่นเต้นกับเหล่าปลาทั้งหลาย พร้อมกับสิงสาราสัตว์น่ารักอีกเพียบ
หากกลัวเที่ยวไม่ครบ กลัวไม่เต็มอิ่ม ด้วยข้อจำกัดของเด็ก ๆ อาจจะเหนื่อย ร้องไห้งอแง ง่วงนอน คุณพ่อคุณแม่ควรเผื่อเวลาพักผ่อนไว้ด้วยครับ ทางอะความารีน ฟุคุชิมะ ได้แนะนำแพลนท่องเที่ยวแบบ Family-oriented recommended course สำหรับนักท่องเที่ยวครอบครัวผู้ต้องการเที่ยวไม่นานใช้เวลาครึ่งวันก็ได้นะ

เริ่มจาก

• เวลา 10.00 น. ซื้อตั๋วเข้าเที่ยวอะควาเรียม ฟุคุชิมะ บุกโซน WAKUWAKU Satoyama Johmon Village ชมความน่ารักของโชว์ให้อาหารนาก และดูเหล่านากว่ายน้ำเพลิน ๆ ใช้เวลา 10 นาที
• เวลา 10.10 น. ใช้เวลา 40 นาทีเดินเที่ยวอะควาเรียมให้ครบไล่ตั้งแต่ชั้น 1 ถึงชั้น 4 ใกล้ชิดกับสัตว์น้ำแห่งแนวชายฝั่งฟุกุชิมะให้เต็มอิ่ม
• เวลา 10.50 น. ฟินกันต่อกับโซนหลังบ้าน ณ Backyard Tour  เข้าได้สูงสุด 8 ท่านต่อรอบ เพื่อเยี่ยมชมหลังบ้านว่าอะควาเรียมนี้เป็นอย่างไร เหมาะสำหรับเด็กโตวัย 7 ขวบขึ้นไป ไม่แนะนำเด็กเล็ก ๆ ให้เข้าเที่ยวโซนนี้นะจ้ะ เพียง 30 นาทีก็เที่ยวครบ  
• เวลา 11.20 น. ลงมาร่วมกิจกรรมเรียนรู้ชีวิตทักษะเอาตัวรอดโซน Fishing experience ใช้เวลา 40 นาที (จ่ายค่าเข้า 100 เยน, เข้าเป็นครอบครัวจ่าย 1,000 เยน) เป็นการจับปลาในบ่อที่เตรียมไว้ และเรียนรู้เกี่ยวกับปลา และกิจกรรมทำครัว Cooking experience ปรุงอาหารด้วยปลาที่เราจับได้ ช่างแปลกใหม่จริงครับ
• เวลา 12.00 น. เที่ยงแล้วใช้เวลา 30 นาทีในการรับประทานอาหารซีฟู้ด ชาร์จพลังกันก่อน ณ ห้องอาหาร Aqua Cross มีเซทอาหารให้น้อง ๆ หนู ๆ ด้วย
• เวลา 12.30 น. กินข้าวเสร็จพาลูกแวะเล่นน้ำที่หาดเล็ก ๆ JANOME Beach และเที่ยวโซน Goldfish House ใช้เวลา 15 นาทีก็เพียงพอครับ  
• เวลา 12.45 น. แวะช้อปปิ้งซื้อของฝากก่อนกลับ เช่น ตุ๊กตาปลานีโม ตุ๊กตาตัวกัปปะ ถุงลายแมวน้ำ และของที่ระลึกอื่น ๆ เพียบ ราคาเริ่มต้นที่  350 เยนถึง 10,000 เยน เตรียมเงินให้พร้อม
• เวลา 13.00 น. เที่ยวชมครบ!! สามารถพาลูกกลับไปพักผ่อนที่โรงแรมได้ หรือจะหาที่เที่ยวเพิ่มเติมก็ได้ตามใจคุณครับ

พิกัดนี้เหมาะสำหรับ : ครอบครัวรักปลา รักน้ำ รักโลกใต้ทะเล เด็กเล็กก็เที่ยวได้เด้อ
เว็บไซต์ทางการ : aquamarine.or.jp
แผนที่ :

2. พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติและวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (National Museum of Nature and Science)

มาถึงที่เที่ยวเปิดโลกกว้างสำหรับเด็กแบบเติมความรู้ทางวิทยาศาสตร์กันครับ ตลอดโซนการจัดแสดงพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติและวิทยาศาสตร์แห่งชาติ หรือ National Museum of Nature and Science ตั้งอยู่ที่สวนอุเอโนะ กรุงโตเกียว สามารถเที่ยวได้ทั้งครอบครัว สามารถถ่ายภาพ และเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่องราวเทคโนโลยี ศึกษาธรรมชาติในพื้นที่จัดแสดงหุ่นจำลองเหมือนจริงสุด ๆ มีทั้งไดโนเสาร์ แมลง หุ่นจำลอง สัตว์น้ำ และมีนิทรรศการให้ดูหลายตึก สามารถใช้เวลาเที่ยวทั้งวันได้เลยครับ
เล่าเน้น ๆ กับไฮไลท์เธียเตอร์ 360 (Theator 360) ตั้งอยู่ที่ Japan Gallery B1F เป็นห้องฉายสารคดีแบบ 360 องศารอบตัว ความยาวประมาณ 10 นาที จะบอกเล่าเรื่องราวจะสลับสับเปลี่ยนไม่เหมือนกันแต่ละเดือน อย่างไรก็ดี คำบรรยายทั้งหมดเป็นภาษาญี่ปุ่นสามารถขอเช่าเครื่องแปลภาษาได้จ้ะ ซึ่งรองรับแค่ภาษาอังกฤษเท่านั้น
พิกัดนี้เหมาะสำหรับ : ทุกวัย โดยเฉพาะเด็ก ๆ ที่ชอบเรียนรู้และรักไดโนเสาร์ต้องร้องกริ้ด
เว็บไซต์ทางการ : kahaku.go.jp
แผนที่ : 

3. สวนสัตว์อุเอโนะ (Ueno Zoological Gardens)

เที่ยวอะควาเรียมดูปลากันแล้ว ท่องโลกวิทยาศาสตร์กันแล้ว เราพาลูกเที่ยวญี่ปุ่นตะลุยสวนสัตว์บ้างดีกว่าที่สวนสัตว์อุเอโนะ กรุงโตเกียว แหล่งรวมสัตว์โลกน่ารักกว่า 400 สายพันธุ์ รวมกว่า 3,000 ชีวิต เป็นสวนสัตว์เก่าแก่ก่อตั้งในปี 1882 เปิดมานานกว่า 137 ปี จึงเป็นสวนสัตว์แห่งแรกในญี่ปุ่น อยู่บนพื้นที่ 14.2 เฮกต้าร์ เปิดตั้งแต่เวลา 09.30 - 17.00 น. ปิดทุกวันจันทร์
สวนสัตว์แห่งนี้ แบ่งเป็นโซนตะวันออก (East Area) มีการจัดแสดงสัตว์ต่าง ๆ เช่น แพนด้าจากเมืองจีน, ช้าง, ไก่ฟ้า, เสือสุมาตรา, ชะนี ฯลฯ และโซนตะวันตก (West Area) เป็นแหล่งรวมสัตว์แอฟริกัน สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ และยังมีสัตว์เล็กน่ารักทั้งกระต่าย หนูตะเภา แพะ ให้เล่นด้วย ซึ่งจะช่วยสร้างความทรงจำดี ๆ ของครอบครัว
พิกัดนี้เหมาะสำหรับ : ครอบครัวคนรักสัตว์ ชอบถ่ายการภาพธรรมชาติ อยากบันทึกความทรงจำกับครอบครัว
เว็บไซต์ทางการ : tokyo-zoo.net
แผนที่ : 

4. Space Museum TeNQ ณ Tokyo Dome

เพื่อให้การแนะนำครบถ้วนทุกสไตล์เลือกได้ตามความชอบ !! ควรมาเก็บเกี่ยวประสบการณ์พาลูกเที่ยวญี่ปุ่นบุกอวกาศ ณ Space Museum TeNQ ที่โตเกียวโดม (Tokyo Dome) เปิดให้เข้าชมครั้งแรกในปี 2014 ช่วยเติมประสบการณ์ให้ลูกน้อยได้ดีเยี่ยมทีเดียวเชียวล่ะ เพราะทุก ๆ การเดินทางเข้าแต่ละโซนของพิพิธภัณฑ์ทั้งสวย ทั้งได้เรียนรู้จักรวาล และวิทยาศาสตร์กันแบบชิล ๆ ภาพสวยคมชัดแบบ 4K เหมือนได้ท่องอวกาศเลยครับ โซนดีน่าดูต้องยกให้ Theater Sora ทั้งครอบครัวจะได้ดื่มด่ำกับการเยี่ยมชมโลกของเราจากสถานีดวงดา ประมาณ 10 นาที และยังมีโซนจัดแสดงอื่น ๆ

ตลอดทั้งพิพิธภัณฑ์มีให้เลือกฟัง 5 ภาษา ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลี จีน รัสเซีย ฝรั่งเศส และภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน ให้นักท่องเที่ยวอย่างเราเดินเล่นเย็นสบายเด็กเล็กก็เข้าได้ครับ พิพิธภัณฑ์อวกาศ TeNQ วันจันทร์ถึงศุกร์เปิดให้บริการเวลา 11.00 - 21.00 น. ส่วนวันเสาร์อาทิตย์เปิดเช้าหน่อย 10.00 - 21.00 น.

• จ่ายค่าเข้าชม 1,800 เยนสำหรับผู้ใหญ่
• เด็กโตจ่าย 1,500 เยน
• ส่วนเด็กเล็ก 1,200 บาท

น่าเสียดายที่ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพล่ะคร้าบ จึงไม่มีภาพมาบอกเล่า นักท่องเที่ยวจะต้องไปเก็บบรรยากาศด้วยตัวเอง !!
พิกัดนี้เหมาะสำหรับ : คนรักอวกาศ และครอบครัวที่ชอบความแปลกใหม่
เว็บไซต์ทางการ : tokyo-dome.co.jp
แผนที่ :

5. พิพิธภัณฑ์คัพนู้ดเดิ้ล โยโกฮาม่า (Yokohama Cup Noodles Museum)

เที่ยวแบบศึกษาเรื่องราวบะหมี่สำเร็จรูปบ้างครับ สำหรับครอบครัวนักธุรกิจหรือผู้ประกอบการที่ต้องการสร้างแรงบันดาลใจ น่าพาลูก ๆ เที่ยวญี่ปุ่นพิพิธภัณฑ์คัพนู้ดเดิ้ล โยโกฮาม่า ย่านมินาโตะมิราอิ เป็นของบริษัท นิชชิน ฟู๊ด ครับ เรียนรู้ประวัติความเป็นมาของธุรกิจที่เริ่มจากราเมนไก่ แวะทำบะหมี่ของตัวเองถ้วยเดียวในโลก !! ในโซน My CUPNOODLES Factory สามารถเลือกผงซุป เลือกท้อปปิ้ง ใส่เลย เพราะจะมีแค่คุณเท่านั้นที่รู้ว่าบะหมี่ของคุณรสชาติอะไร ตกแต่งวาดรูปกระปุกบะหมี่ได้ด้วยเอาสิ !!
กระซิบว่าถ้วยละ 300 เยนครับ และแวะเล่นสวนสนุกบะหมี่ก็ได้สำหรับเด็กที่มีส่วนสูงไม่เกิน 90 เซนติเมตร นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่น ๆ รอคุณอีกเพียบเลยจ้า
พิกัดนี้เหมาะสำหรับ : ครอบครัวที่ชื่นชอบการเรียนรู้สิ่งใหม่ ชอบทำอาหาร สามารถใช้เวลาร่วมกันได้ทั้งครอบครัวเลยครับ
เว็บไซต์ทางการ : cupnoodles-museum.jp
แผนที่ : 

6. พิพิธภัณฑ์ฟุตบอลญี่ปุ่น (Japan Football Museum)

หากลูกชื่นชอบเตะบอลหรือมีความฝันอยากเป็นดาวเตะลูกหนัง ควรพาลูก ๆ เที่ยวพิพิธภัณฑ์ฟุตบอลญี่ปุ่น หรือ Japan Football Museum เป็นสถานที่รวบรวมทุกอย่างเกี่ยวกับฟุตบอลญี่ปุ่นเลยครับ
พิพิธภัณฑ์ฟุตบอลญี่ปุ่น มีทั้งหมด 3 ชั้น ตั้งอยู่อยู่ในกรุงโตเกียว เดินทางไม่ยากครับ มาถึงแล้วจะได้ดื่มด่ำกับฟุตบอล ฟุตบอล และฟุตบอล อาทิ โซนบอกเล่าเรื่องราวฟุตบอลโลก หรือ 2002 FIFA World Cup ที่เคยจัดในญี่ปุ่นมาก่อน มีทั้งล็อกเกอร์รูม ของใช้ของนักฟุตบอลในยุคนั้น นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวเจลีก (J.League)
รับรองว่า ทั้งคุณพ่อคุณลูกจะฟิน ๆ กับเรื่องราวของนักฟุตบอลญี่ปุ่นจะสร้างแรงบันดาลใจให้ลูก ๆ สำหรับใครที่อยากตามรอยพี่เจ ธนาธิป หรือเมสซี่เจ ก็ต้องมาเที่ยวให้ได้
พิกัดนี้เหมาะสำหรับ : คนรักฟุตบอล ครอบครัวรักฟุตบอล ต้องไม่พลาด
เว็บไซต์ทางการ : web.archive.org
แผนที่ : 

7. โกเบคาวาซากิเวิลด์ (Kawasaki Good Times World)

ยังคงอยู่กับการพาลูกเที่ยวญี่ปุ่นที่จังหวัดเฮียวโกะครับ แวะชมโชว์เคสเทคโนโลยียานยนต์ของคาวาซากิตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันให้ได้ศึกษาประวัติความเป็นมาอันยาวนานกว่า 100 ปีของคาวาซากิ เช่น มอเตอร์ไซค์ เครื่องบิน เรือรบ รถไฟ หุ่นยนต์ High-Performance Robots และอื่น ๆ ที่เป็นเทคโนโลยีสุดล้ำ ณ โกเบคาวาซากิเวิลด์ เปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 10.00 - 17.00 น. (ปิดทุกวันจันทร์)
ทีเด็ดต้องเห็นกับตาตัวเองอย่างชินคันเซ็นรุ่นแรกที่วิ่งให้บริการถึงปี 2008 พร้อมกับโซนจัดแสดงมอไซค์เจ๋ง ๆ ในโซน Motorcycle Gallery มีกิจกรรมให้ทดลองขับขี่มอไซค์ในสนามแข่ง เหมือนการเล่นเกมครับ คุณไม่ต้องกลัวว่าจะบาดเจ็บ เล่นได้เฉพาะผู้ที่มีส่วนสูง 140 เซนติเมตรขึ้นไปครับ ที่สำคัญอย่าลืมช้อปปิ้งของฝากกลับไทยก็ได้ด้วย แนะนำเสื้อยืดลาย Kawasaki เป็นอะไรที่เท่สุด ใส่ทั้งครอบครัวให้รู้ไปเลยว่า “ครอบครัวเราหัวใจนักบิด”
พิกัดนี้เหมาะสำหรับ : ครอบครัวผู้รักการขับขี่เป็นชีวิตจิตใจ และยังเป็นแฟนพันธุ์แท้คาซาวากิมาเถอะครับ คุ้มจ่ายค่าเข้าชม 600 เยนสำหรับผู้ใหญ่ และ 250 เยนสำหรับเด็ก ๆ
เว็บไซต์ทางการ : www.khi.co.jp
แผนที่ :

หลากหลายไหมครับ ? กับพิกัดพาลูกเที่ยวญี่ปุ่นแบบได้ความรู้ที่ frank.co.th เล่ามาข้างต้น

หลังจากเตรียมแพลนพาลูกเที่ยวญี่ปุ่นแล้ว อย่าลืมเลือกประกันเดินทางให้เหมาะกับการไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นด้วยนะครับ หากคุณสงสัยว่าจะเลือกประกันการเดินทางสำหรับการเดินทางกับครอบครัวอย่างไรดี? ถาม Frank ได้ครับ เพราะเรามีบริการประกันการเดินทางให้เลือกสรรคุ้มครองผู้ซื้อประกันตั้งแต่อายุ 1 - 70 ปี
และถ้าต้องการข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจซื้อ เรายินดีให้คำตอบคุณ โทร 02-106-5800 (วันจันทร์-ศุกร์ 09.00 - 18.00 น.) หรือจะแชทถามเฟซบุ๊ก frank.co.th หรือไลน์แอดก็ได้นะ  
Content by Butter Cutter

The post 7 พิกัดพาลูกเที่ยวญี่ปุ่น ทั้งเจ๋ง ! ทั้งได้ความรู้ ! appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

1. ถ่ายรูปกับดอกซากุระ

พลาดไม่ได้เลย!! สำหรับใครที่มาทัวร์ญี่ปุ่นช่วงเมษาจะต้องมาถ่ายรูปกับ “ดอกซากุระ” ให้ได้ เพราะเป็นช่วงเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ อากาศเริ่มอบอุ่น เหมาะกับการถ่ายรูปมาก โดยจุดชมดอกซากุระที่ดีที่สุด คือ คูเมืองชิโดริกะฟูจิ และ แม่น้ำเมกุโระ เราจะได้เห็นดอกไม้สีชมพูดูสบายตา สะท้อนแม่น้ำให้บรรยากาศโรแมนติคสุดๆ ไม่ใช่เพียงแค่ดอกซากุระเท่านั้น ยังมีดอกไม้สายพันธ์ุอื่นอีกด้วย จะเดินชมวิวก็ดี หรืออยากจะล่องเรือถ่ายรูปก็เก๋ไปอีกแบบ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ช่วงต้นเดือนมีนาคมถึงกลางเดือนเมษายน 

2. ชมดอกไม้ไฟสุดตระการตา

นับว่าเป็นเทศกาลประจำฤดูร้อนของญี่ปุ่นเลยทีเดียว จะมีการจัดงานแสดงโชว์ดอกไม้ไฟสุดอลังการ ขอบอกเลยว่ามีหลายที่น่าสนใจมาก !! ส่วนใครที่เที่ยวญี่ปุ่นเดือนเมษายน ขอแนะนำให้ลองมาชม “เทศกาลดอกไม้ไฟที่โอมาการิ” ก่อน โดยจะตั้งอยู่ใกล้ริมฝั่งแม่น้ำโอโมโนะที่ไหลผ่านลงสู่ทะเลญี่ปุ่น งานนี้ไม่ได้มีกันบ่อยๆนะ เพราะจะจัดแค่ปีละครั้งเท่านั้น ซึ่งจะเปิดในช่วงเดือนเมษายนก่อนวันจัดงานจริงในเดือนสิงหาคม จึงทำให้บรรยากาศคึกคักเป็นพิเศษ มีทั้งแสงสีบนท้องฟ้า ร้านอาหารข้างทาง เกมส์ต่างๆ แถมยังแสดงดนตรีสดให้ชมกันอีกด้วย หรือจะใส่ชุดยูกะตะเดินเล่นสบายๆ หามุมสวยๆถ่ายรูปได้เช่นกัน

3. สนุกกับโตเกียวดิสนีย์แลนด์

“โตเกียวดิสนีย์แลนด์” เป็นที่เที่ยวญี่ปุ่นในฝันของเหล่าหนูๆเลย เพราะที่นี่จะออกแบบเครื่องเล่นสไตล์การ์ตูนดิสนีย์แบบคลาสสิค มีทั้งบ้านมิกกี้เม้าส์ , เรือเป็ดโดนัลดั๊ก , บ้านต้นไม้ของชิปและเดลล์ , เครื่องเล่นรถไฟเหาะ , ปราสาทซินเดอเรลล่า , ล่องเรือแคนู หรือสำรวจเกาะทอมซอว์เยอร์บริเวณกลางแม่น้ำ ส่วนในยามค่ำคืนก็ยังมีกิจกรรมสนุกๆ การแสดงโชว์ของเหล่าการ์ตูนดิสนีย์ อย่างเช่น  Toy Story , Cinderella , Mickey Mouse , Donald Duck และตัวละครอื่นอีกมากมาย  มารวมตัวกันเดินขบวนพาเหรด เต้นรำ พร้อมกับส่งเสียงร้องเพลงกันอย่างคึกคัก และมีแสงไฟระยิบระยับ เสมือนเข้าสู่โลกแห่งจินตนาการเลย ไม่เพียงแค่นั้นยังมีแสดงละครเวทีอีกด้วยนะ แค่คิดก็ฟินแล้วใช่ไหมล่ะ?! ถือว่าโอกาสที่ดีในช่วงปิดเทอมของเด็กๆที่คุณพ่อคุณแม่จะพามาเที่ยว โดยที่นี่จะแบ่งเป็นโซนขนาดใหญ่ มีกิจกรรมให้เลือกเล่นเพลินตลอดทั้งวัน
 

4. ชมดอกวิสทีเรียในศาลเจ้า

ถ้าเราเดินทางไปยังกรุงโตเกียวก็สามารถเข้ามาไหว้ “ศาลเจ้าคาเมโดะเทนจิน” ได้ อีกหนึ่งศาลเก่าแก่ที่คนนิยมมาเที่ยวกัน จุดเด่นจะมีสะพานโค้งสีแดงตรงกลางสระน้ำ และมีจุดชมดอกวิสทีเรียที่กำลังบานสวยงาม ส่วนกลิ่นของดอกวิสทีเรียก็จะหอมอ่อนๆทั่วบริเวณศาลเจ้า เราก็จะได้เห็นทั้งดอกสีม่วงตระการตา พร้อมกับดื่มด่ำบรรยากาศสุดโรแมนติก ซึ่งเราสามารถเข้ามาเยี่ยมชมได้ในช่วงเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคม และทางศาลเจ้าก็ยังมีจัดเทศกาลเฉลิมฉลอง เพื่อสร้างความคึกคักให้แก่ชาวนักท่องเที่ยวด้วย
 

5. ขับจักรยานรอบเมือง

เมื่อสายผจญภัยมาทัวร์ญี่ปุ่น ต้องลองขับจักรยานชมเมืองกันสักครั้ง เพราะเราจะได้สัมผัสความงามทางธรรมชาติและบรรยากาศรอบนอกของญี่ปุ่นไปพร้อม ๆ กัน แนะนำให้ลองมาที่ “ชิมะนะมิไคโด”  โดยเส้นทางนี้จะมีความยาวมากกว่า 70 กิโลเมตร มีทะเลและเกาะสองข้างทางสวยงามสุด ๆ และมีจุดพักชมวิวให้นักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปเล่น ส่วนใครที่ไม่มีจักรยานก็ไม่ต้องกังวล ที่ชิมานามิไกโดเราสามารถเช่าจักรยานได้นะ มีมากถึง 14 จุด และยังมีเส้นทางลาดชันที่ชวนท้าทายความสามารถของเหล่านักปั่นมืออาชีพ
 

6. ร่วมเทศกาลอินุยามะ

เหล่านักท่องเที่ยวที่ทัวร์ญี่ปุ่นเมษานี้ สามารถเข้าร่วมงาน “เทศกาลอินุยามะ” ได้ จะเป็นการบวงสรวงตุ๊กตาไขลาน หรือตุ๊กตาคะระคุริ แด่ศาลเจ้าฮะริซึนะ ซึ่งจะมีการแสดงคนบังคับตุ๊กตาให้เคลื่อนไหวร่ายรำ และเล่นละครกันอย่างสนุกสนาน พร้อมกับเสียงขลุ่ย กลอง รวมทั้งเสียงร้องเพลงของผู้คนที่เข้ามาเยี่ยมชม ถ้าอยู่จนถึงช่วงเย็นเราก็จะเห็นขบวนแห่ที่เปล่งแสงโคมลอยญี่ปุ่นมากถึง 365 ดวง ส่องสว่างไปรอบเมืองปราสาทอินุยามะ โดยกิจกรรมนี้จะจัดขึ้นระหว่างวันเสาร์ถึงอาทิตย์ในสัปดาห์ที่ 1 ของเดือนเมษายน หรือใครอยากชมดอกซากุระบานเต็มที่ก็มาได้ในพิกัดนี้ เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่น่าสนใจไม่แพ้กันเลย
 

7. นั่งชมหิ่งห้อยสุดโรแมนติก

อย่างที่บอกว่าเดือนเมษายนเหมาะเป็นช่วงที่น่าเยือนโตเกียวมากที่สุด ด้วยอากาศที่ปลอดโปร่งและผ่านหน้าฝนไปแล้ว ที่เที่ยวญี่ปุ่นหลายแห่งจึงได้มีการจัดชมหิ่งห้อยมากเป็นพิเศษ สำหรับคู่รักคนไหนอยากจะมาโรแมนติก ขอแนะนำเลยให้มานั่งชมหิ่งห้อยยามค่ำคืน เพราะนอกจากจะได้มีความสุขไปกับการชมแสงหิ่งห้อยแล้ว ยังได้เพลิดเพลินกับบรรยากาศญี่ปุ่นแท้ๆอีกด้วย
 

8. เก็บเกี่ยวสตรอเบอรี่ญี่ปุ่น

ผลไม้แต่ละฤดูกาลของประเทศญี่ปุ่น ก็จะต่างกันขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ เมื่อเรามาทัวร์ญี่ปุ่นเมษานี้เราจะได้เห็นสตรอเบอรี่ที่หวานฉ่ำ และมีขนาดใหญ่ สำหรับคนรักสตรอเบอรี่พลาดไม่ได้เชียวนะ เพราะที่นี่ยังมีฟาร์มสตอเบอรี่ให้เราเก็บกลับบ้านกันด้วย ซึ่งดินแดนแห่งฟาร์มสตรอเบอรี่จะอยู่ที่เมืองชิบะ อยู่ห่างไม่ไกลจากเมืองโตเกียว หากใครอยากลองมาเก็บเกี่ยวหรือชิมกันแบบไม่อั้น ก็เดินทางเข้ามาในฟาร์มได้เลย จะเปิดในช่วงเดือนมกราคมถึงพฤษภาคม  แต่ว่าจะมีฟาร์มอะไรที่น่าสนใจกันบ้างนะ เรามาดูกันดีกว่า

• Dragon Farm : ฟินกับสตรอเบอรี่ 20 ชนิด
• Strawberry Farm Aiba : สตรอเบอรี่หวานฉ่ำ
• Kawatsura Strawberry Farm : กินกันได้แบบไม่อั้น
• Kondo ichigo-en : เก็บสตรอเบอรี่พันธุ์หายาก
• Maruki Ichigo : อิ่มอร่อยทั้งครอบครัว

9. เที่ยวชายหาด Crystal Beach

ซัมเมอร์ทั้งทีจะได้ดีต้องมีทะเล เที่ยวญี่ปุ่นเดือนเมษายนนี้ อย่าลืมมาสัมผัสทะเลสวย ๆ ที่ Crystal Beach กันด้วยนะ รับรองว่าถ้ามาแล้วจะประทับใจอย่างแน่นอน เพราะน้ำทะเลที่นี่ใสมากเหมือนกับคริสตัลเลย โดยหาดนี้จะตั้งอยู่ที่จังหวัดฟุคุอิติดกับทะเลญี่ปุ่น มีหาดทรายสีขาวตัดกับน้ำทะเลอันสวยงาม เหมาะกับการว่ายน้ำ หรือจะเดินเล่นแค่ชมบรรยกาศก็ฟินแล้ว หรือจะรอดูพระอาทิตย์กำลังตกดิน จนถึงมืดสนิทก็จะเห็นแสงดาวบนท้องฟ้า พิกัดนี้จึงเป็นโลเคชั่นโปรดของคู่รักเลย
 

10. ตะลุยช้อปที่ชินจูกุ

มาเที่ยวญี่ปุ่นทั้งทีก็ต้องมาช้อปปิ้งที่ “ชินจูกุ” กันสิ !! อีกหนึ่งสถานที่ย่านใจกลางเมืองของโตเกียว เเหล่งช้อปปิ้งขนาดใหญ่ ที่มีทั้งร้านอาหารชื่อดัง ของกินข้างทาง ห้างสรรพสินค้า รวมถึงสถานบันเทิงยอดเยี่ยมมากมาย  สำหรับใครต้องการเดินทางจากสถานีโตเกียวมายังสถานีชินจุกุก็ได้ไม่ยาก เพียงแค่ใช้บริการรถไฟเร็ว (Rapid) ของ JR Chūō Line ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีก็ถึงจุดหมาย ซึ่งที่นี่จะรวบรวมอาหารทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นซูชิ โซบะ ไก่ฮิวงะโกริ ปลาอิวาชิ ราเม็ง หรือร้านอาหารอินเดีย ไทย ตุรกี ก็มีให้เลือกตามใจชอบ แถมยังได้ช้อปปิ้งซื้อของฝากทั้งขนม เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องสำอางค์ เสื้อผ้า ในราคาสบายกระเป๋าไปฝากเพื่อนๆเช่นกัน
เป็นไงบ้างล่ะ อยากไปเที่ยวญี่ปุ่นช่วงเดือนเมษายนกันแล้วใช่ไหม? แฟรงค์ขอแนะนำเลยว่าต้องมาเที่ยวให้ได้ เพราะกำลังเป็นช่วงที่อากาศเริ่มอบอุ่น และบรรดาดอกไม้ต่างๆก็เริ่มผลิบาน เหมาะกับเช็คอินสุดๆ ตลอดที่เที่ยวญี่ปุ่นยังมีความหลากหลายทั้งบ้านเมืองที่สวยงาม อาหารการกิน ประเพณี และวัฒนธรรม จึงไม่แปลกใจที่คนส่วนใหญ่ต่างก็ชื่นชอบที่นี่ เมื่อคุณพร้อมเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นกันแล้ว เพื่อความสบายใจ ปลอดภัยหายห่วง อย่าลืมซื้อประกันการเดินทาง จาก Frank.co.th กันด้วยนะ หรือสนใจอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ เคล็ดลับประกันการเดินทาง ก็คลิกได้เลย !!
 

The post 10 กิจกรรมน่าทำที่ญี่ปุ่นเดือนเมษานี้ appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

เมืองโอบาระพิเศษอย่างไร ?

ส่วนใหญ่ดอกซากุระนั้นจะผลิบานให้ชมความงามในช่วงปลายเดือนมีนาคมถึงเมษายนของทุกปี ขณะที่ใบไม้เปลี่ยนสีที่จะเริ่มผลัดใบในเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน แม้ว่าฤดูกาลทั้งสองจะไม่ได้อยู่ในช่วงเดียวกัน แต่ที่เมืองโอบาระ มีซากุระอยู่สายพันธุ์ชิคิซากุระ (Shikizakura) สายพันธุ์พิเศษที่จะผลิบานให้ชมความงามกันถึง 2 ครั้งต่อปี

และนี่คือความพิเศษของเมืองโอบาระ เพราะนอกจากในช่วงฤดูใบไม้ผลิแล้ว ยังมีดอกชิคิซากุระก็ยังผลิบานให้ชมความงามกันในฤดูใบไม้ร่วง หรือช่วงปลายตุลาคมถึงต้นเดือนธันวาคมด้วยนะ

เนื่องจากซากุระในเมืองโอบาระเป็นสายพันธุ์หายากมาก โดยผู้ที่ริเริ่มปลูกซากุระสายพันธุ์นี้ คือ คุณหมอซามูไร ฟูจิโมโตะ เก็นเซกิ ได้นำต้นชิคิซากุระที่ได้รับมาจากวัดในนาโกย่ามาปลูกไว้ในเมืองโอบาระ ตั้งแต่ช่วงต้นของศตวรรษที่ 19 เมื่อเวลาผ่านไป ชิคิซากุระ ก็เจริญเติบโตขึ้นและขยายพันธุ์ในเมืองแห่งนี้ ปัจจุบันมีต้นชิคิซากุระกว่า 10,000 ต้น รอให้นักท่องเที่ยวมาชมความงาม

ไฮไลท์น่าเที่ยวโอบาระต้องไปช่วงไหน ?

พูดถึงจุดหมายการเดินทางญี่ปุ่นแห่งนี้นักท่องเที่ยวสามารถชมดอกซากุระในฤดูใบไม้เปลี่ยนสีได้ทุกจุดในเมืองโอบาระ แนะนำว่าไฮไลท์น่าไปคือ ภูเขาซากุระ (Senmi Shikizakura no Sato) เนื่องจากทุกบริเวณของที่นี่รายล้อมไปด้วยซากุระมากมาย ซึ่งผลิบานออกดอกสีชมพูผสมผสานกับใบไม้สีส้มแดงที่กำลังผลัดใบเปลี่ยนสี มองทางไหนก็สวยงามราวกับอยู่ในสรวงสวรรค์
คนรักธรรมชาติอย่าพลาดเทศกาลชมดอกชิคิซากุระ ช่วงพฤศจิกายน คุณจะได้ชมวิวทิวทัศน์ของดอกซากุระแบบเน้น ๆ ท่ามกลางใบไม้เปลี่ยนสีสวย และชมการแสดงสนุกสนาน เลือกชิมร้านอาหารข้างทาง และเลือกช้อปร้านขายของที่ระลึกได้เช่นกัน เรียกได้ว่า โอบาระ ที่แห่งนี้เป็นอีกพิกัดสุดพิเศษเหมาะสำหรับการเที่ยวญี่ปุ่นชม ซากุระและใบไม้เปลี่ยนสี พร้อมกันแบบ 2 in 1 และช่วงเวลาดี ๆ แบบนี้ มีปีละครั้งเท่านั้นนะ

การเดินทาง:

• • นั่งรถไฟไปลงสถานี Toyota-shi
  • ต่อรถบัส Toyota Oiden สาย Obara-Toyota มุ่งหน้าไปยัง Kaminigi ประมาณ 1 ชั่วโมง
  • ลงป้าย Obara-Okusa

อย่างไรก็ดี เพื่อความอุ่นใจสุด ๆ อย่าลืมเลือกประกันเดินทางอย่างไร ให้เหมาะกับการไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นด้วยนะครับ เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้มีประกันไว้ดูแลคุณไงล่ะคร้าบ
ขอบคุณข้อมูลจาก Mushroom Travel

Content By Butter Cutter

The post เที่ยวโอบาระ ญี่ปุ่น ชมซากุระ & ใบไม้เปลี่ยนสี appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.