ข้อมูลที่เตรียมลงทะเบียนเกษตรกร คือ 

• หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน
• หมายเลขโทรศัพท์มือถือ
• บัญชีเงินฝากธนาคาร

การลงทะเบียนเกษตรกร และตรวจสอบสถานะเกษตรกร

หากใครยังไม่แน่ใจว่าตัวเองลงทะเบียนเป็นเกษตรกรแล้วหรือไม่ สามารถตรวจสอบสถานะเกษตรกรได้ที่ http://farmer.doae.go.th เพื่อตรวจสอบสถานะการขึ้นทะเบียนเกษตรกรก่อนรับเงินเยียวยาเกษตรกร
พอหลังจากวันที่ 15 พ.ค. 63 เป็นต้นไป ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส) จะเปิดให้ลงทะเบียนเยียวยาเกษตรกรผ่านที่ www.เยียวยาเกษตรกร.com  ซึ่งเกษตรกรจะได้รับเงินเยียวยาในช่วงโควิด 19 เข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรง แบบไม่ต้องเปิดบัญชีใหม่ หรือใครที่ไม่มีบัญชีกับ ธ.ก.ส. ก็สามารถเลือกบัญชีเงินฝากธนาคารใดก็ได้เช่นกัน บอกเลยว่าทำไม่ยาก! แต่คุณจะต้องกรอกข้อมูลสำคัญให้ถูกต้องและครบถ้วน ตามขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้

1. เข้าเว็บไซต์ลงทะเบียนเกษตรกร

ขั้นตอนแรกให้ลงทะเบียนเกษตรกร 2563 ไปยังที่ www.เยียวยาเกษตรกร.com แล้วคลิกที่ปุ่มเกษตรกรแจ้งช่องทางการรรับเงินโอน แต่ขอย้ำก่อนว่า! อันนี้เป็นเว็บไซต์หลักเพื่อตรวจสอบเช็คเงินเยียวยาเกษตรกร ข้อมูลเบื้องต้น และแจ้งช่องทางการโอนเงินของเกษตรกรเท่านั้น ไม่ได้ตรวจสอบของการช่วยเหลืออื่นของรัฐเช่น การลงทะเบียนเยียวยาผู้ประกอบอาชีพอิสระ (www.เราไม่ทิ้งกัน.com) หรือโครงการอื่นๆ อย่างใด

2. ยอมรับเงื่อนไขและข้อตกลง

ต่อมาให้เราติ๊กที่เครื่องหมายช่อง “ข้าพเจ้ายอมรับเงื่อนไขและข้อตกลง” ทั้งนี้ผู้ใช้บริการควรอ่านเงื่อนไขอย่างละเอียดก่อน จากนั้นคลิกที่ปุ่มถัดไป

3. ตรวจสอบหมายเลขบัตรประชาชน

แล้วให้ตรวจสอบเช็คเงินเยียวยาเกษตรกรตามหมายเลขบัตรประชาชนของผู้ลงทะเบียน เช่น กรอกหมายเลขบัตรประชาชน 13 หลัก และรหัสความปลอดภัย (ตามที่ปรากฎบนหน้าเว็บไซต์) เสร็จแล้วคลิกที่ปุ่มถัดไป

4. ยืนยันข้อมูลอีกครั้ง

หลังจากนั้นระบบจะให้ยืนยันข้อมูล โดยเราจะต้องกรอกหมายเลขบัตรประชาชน ชื่อ-นามสกุลตามบัตรประชาชน เบอร์ติดต่อ และอย่าลืมกรอกเลขบัญชีธนาคารเงินฝากรับโอน แล้วกดปุ่มถัดไป

5. ระบบสรุปข้อมูลทั้งหมด

เมื่อเรากรอกข้อมูลครบถ้วนและถูกต้อง ระบบจะสรุปข้อมูลทั้งหมดของผู้ที่ต้องการรับเงินเยียวยาเกษตรกร  เพื่อให้ตรวจสอบยืนยันข้อมูล หรือแก้ไขข้อมูลก่อนลงทะเบียนเกษตรกรนั่นเอง

6. ตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว

สุดท้ายระบบแจ้งว่า “ท่านได้แจ้งช่องทางการรับเงินโอนแล้ว” และจะได้รับเงินเข้าบัญชีตามที่ท่านแจ้งไว้ตามเงื่อนไขที่โครงการกำหนด โดยจะมีเครื่องติ๊กถูกสีเขียวเป็นการยืนยันว่าท่านลงทะเบียนเกษตรกรช่วงโควิด 19 เรียบร้อยแล้ว

เงื่อนไขการลงทะเบียนรับเงินเยียวยาเกษตรกร

• ผู้ที่ขึ้นทะเบียนจะต้องประกอบการเกษตร อาจจะเป็นอาชีพหลักหรืออาชีพรองก็ได้ ครัวเรือนเกษตรกรผู้ขอเงินเยียวยาเกษตรกรจะต้องเป็นผู้ประกอบการเกษตร เป็นอาชีพหลัก หรืออาชีพรองก็ได้
• ครัวเรือนเกษตรกร 1 ครัวเรือน จะมีตัวแทนมาขอขึ้นทะเบียนได้เพียง 1 คน ในการพิจารณาว่าครัวเรือนใดขอขึ้นทะเบียนซ้ำซ้อนหรือไม่ เจ้าหน้าที่จะต้องชี้แจงรายละเอียดให้เกษตรกร ผู้ขอขึ้นทะเบียนรับทราบตามนิยามที่กําหนด
• ผู้รับเงินเยียวยาเกษตรกรจะต้องบรรลุนิติภาวะ และมีสัญชาติไทย กรณีที่เป็นนิติบุคคล จะต้องมีการมอบหมายผู้แทนมาขึ้นทะเบียน

หมายเหตุ : ครัวเรือน หมายถึง บุคคลเดียวหรือหลายคนที่อาศัยอยู่ในบ้านหรือสถานที่เดียวกัน และจัดหาหรือใช้สิ่งอุปโภคบริโภคอันจำเป็นแก่การครองชีพร่วมกัน

ใครบ้างมีสิทธิ์ได้รับเงินเยียวยาเกษตกร 15,000 บาท

คำตอบ : เกษตรทุกกลุ่ม พืช ประมง และปศุสัตว์ที่ขึ้นทะเบียนเป็นเกษตรกรกับหน่วยงานนั้นๆ และได้ปรับปรุงทะเบียนปี 2562/2563
เห็นไหมล่ะ? ว่าไม่ยากอย่างที่คิดเลย เพียงทำตามขั้นตอนลงทะเบียนเยียวยาเกษตรกรที่เพนกวิน Frank แนะนำข้างต้นเท่านั้น สะดวกสบาย ทำเองได้ที่บ้าน และปลอดภัยในช่วงไวรัสโควิด 19  ระบาดอีกด้วย หากท่านมีสิทธิ์เกษตรกรตามข้อตกลงดังกล่าว ก็จะได้รับเงินเยียวยาเกษตรกรครัวเรือนละ 15,000 บาท  (เดือนละ 5,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน)
หลังจากเช็คเงินเยียวยาเกษตรกร ตรวจสอบสถานะเกษตรกรแล้ว ก็อย่าลืมนึกถึง Frank.co.th ประกันภัยที่รวดเร็ว เรียบง่าย และจริงใจกับคุณด้วยนะ เพราะเราจะดูแลลูกค้าทุกท่านเป็นอย่างดี พร้อมช่วยเหลือทุกเรื่องประกันภัย ให้ครอบคลุมทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ไม่ว่าจะอนาคตจะเป็นอย่างไร คุณก็อุ่นใจมากขึ้น
 

The post วิธีลงทะเบียนเกษตรกร เงินเยียวยาโควิด 19 appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

เมื่อลูกจ้างต้องว่างงานจากเหตุโควิด-19 แบ่งออก 2 กรณีดังนี้

1. กรณีว่างงานเนื่องจากเหตุสุดวิสัย (ปรับเพิ่มจากเดิม 50% เป็น 62%)

งานใครใครก็รัก แต่เมื่อสถานการณ์โควิดลุกลาม ทำให้หลายบริษัทรวมถึงร้านค้าหลายร้านสั่งปิดเป็นการชั่วคราว ทำให้พนักงานหลายคนต้องหยุดงานแล้วอย่างนี้ ประกันสังคมจะช่วยดูแลพนักงานที่เป็นผู้ประกันตนยังไงบ้าง?

• หากนายจ้างไม่ให้มาทำงาน หรือต้องกักตัว 14 วัน ประกันสังคมจะชดเชยกรณีว่างงาน 62% ของค่าจ้าง แต่ไม่เกิน 90 วัน
• กรณีนี้เรียกว่า No Work No Pay ก็คือ หากภาครัฐมีคำสั่งให้หยุดกิจการชั่วคราว แล้วลูกจ้างไม่ได้ทำงาน ไม่ได้รับค่าจ้างจากนายจ้าง ประกันสังคมจะชดเชยกรณีว่างงาน 62% ของค่าจ้าง แต่ไม่เกิน 90 วัน

ทั้งนี้ถ้านายจ้างตัดสินใจหยุดกิจการชั่วคราวด้วยตัวเอง โดยไม่ได้มาจากคำสั่งของรัฐ นายจ้างจะต้องจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างเองในอัตรา 75% ของค่าจ้าง ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานครับ
อ่านเพิ่มเติม : โควิด -19 ระบาดในเฟส 3 จะเกิดอะไรขึ้น และรับมืออย่างไร?

2. กรณีว่างงานเพราะลาออกเอง หรือถูกเลิกจ้าง จากสถานการณ์โควิด 19

แม้จะไม่อยากให้เกิดขึ้น แต่ก็ต้องยอมรับนะครับว่าการระบาดของโควิด 19 นั้นส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจเป็นอย่างมาก หลายกิจการขาดทุนถึงขนาดต้องปิดตัวลง หรือต้องเลิกจ้างพนักงานออกจากงานเพื่อลดต้นทุน แล้วถ้าเราถูกเลิกจ้าง ตกงานจากสถานการณ์โควิด-19  ในฐานะผู้ประกันตนมาตรา 33 จะได้รับการช่วยเหลือ ดังต่อไปนี้

• กรณีว่างงานลาออกเอง ประกันสังคมจะให้เป็นเงินชดเชยจำนวน 45 % ของค่าจ้างเฉลี่ย เป็นระยะเวลาไม่เกิน 90 วัน
• กรณีว่างงานถูกเลิกจ้าง ประกันสังคมจะให้เป็นเงินช่วยเหลือจำนวน 70% ของค่าจ้างเฉลี่ย เป็นระยะเวลาไม่เกิน 200 วัน

หมายเหตุ : ในช่วงที่ไวรัสโควิด 19 แพร่ระบาดถือเป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน ทางประกันสังคมจะช่วยผู้ประกันตนมาตรา 33 กรณีว่างงานด้วยเหตุสุดวิสัย (Covid-19) มีผลตั้งแต่ 1 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป โดยบังคับใช้เป็นระยะเวลา 2 ปี
ในกรณีถูกเลิกจ้าง หรือบริษัทเลิกกิจการ ลูกจ้างจะได้รับการคุ้มครองเงินตามที่กฎหมายคุ้มครองแรงงานระบุไว้ เช่น ค่าชดเชยตามอายุงาน ค่าจ้างในวันหยุดพักผ่อนประจำปีตามส่วนที่จะได้รับ และอื่นๆ โดยถ้าถูกเลิกจ้างหรือตกงานกระทันหันโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ลูกจ้างจะได้รับเงินอย่างน้อย 1 งวดค่าจ้าง

วิธีคำนวณกรณีว่างงานจากการเลิกจ้าง

กรณีว่างงานจากการเลิกจ้าง ประกันสังคมจะชดเชยให้ 70% ของค่าจ้าง แต่ขอย้ำก่อนว่า! ประกันสังคมจะคิดจากฐานเงินเดือนสูงสุด 15,000 บาทเท่านั้น เพื่อความเข้าใจง่ายขึ้น แฟรงค์ขอยกตัวอย่าง ดังต่อไปนี้

• สมมตินาย ก. มีเงินเดือน 12,000 บาท ประกันสังคมจะชดเชยกรณีว่างงานจากการเลิกจ้าง คิดเป็น 12,000 x 70% เป็นจำนวน 8,400 บาท แต่ไม่เกิน 200 วัน
• สมมตินาย ข. มีเงินเดือน 20,000 บาท ประกันสังคมจะชดเชยกรณีว่างงานจากการเลิกจ้าง คิดเป็นฐานเงินเดือนสูงสุด 15,000 x 70% เป็นจำนวน 10,500 บาท แต่ไม่เกิน 200 วัน

และนี่ก็คือสิทธิประกันสังคมของลูกจ้างและผู้ประกันตนที่ควรทราบ เพราะตอนนี้สถานการณ์การระบาดของโรคโควิดนั้นรุนแรงและส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของทุกคนจริงๆ แฟรงค์ก็ขอเป็นกำลังใจให้กับเพื่อนๆ ทุกคนฝ่าฟันวิกฤตินี้ไปด้วยกันนะครับ ส่วนใครทีไม่อยากกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายยามเจ็บป่วย ก็อย่าลืมทำประกันสุขภาพกับแฟรงค์ไว้นะครับ รับรองว่าอุ่นใจทุกการเจ็บป่วยเลยครับ

The post เช็กสิทธิประกันสังคม หยุดงาน ออกจากงาน ตกงาน จาก COVID-19 appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

เบิกค่าตรวจ ค่ารักษาโคโรน่าตามสิทธิประกันสังคมได้ไหม?

คำตอบก็คือ ในกรณีที่หมอวินิจฉัยว่าผู้ประกันตนมีอาการบ่งบอกว่าติดเชื้อ  เช่น มีไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก เจ็บหน้าอก หายใจเหนื่อยหอบ หรือเดินทางกลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยง พร้อมบ่งบอกอาการ  สามารถเข้ารับการตรวจรักษาตามสิทธิในสถานพยาบาลได้ฟรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งผู้ประกันตนต้องตอบคำถามตามความเป็นจริงว่ามีประวัติไปต่างประเทศหรือไม่ เพื่อให้ทางแพทย์ประเมินอาการได้อย่างถูกต้อง ทั้งนี้ประกันสังคมได้จัดเตรียมสถานพยาบาลคู่สัญญากว่า 242 แห่ง และเครือข่ายต่างๆ ให้ทั่วประเทศไว้แล้ว
แต่ในกรณีที่ไปหาหมอที่โรงพยาบาล เพื่อต้องการตรวจเชื้อไวรัสโควิด-19 เอง โดยทางการแพทย์ไม่ได้เป็นผู้วินิจฉัย อันนี้ทางประกันสังคมไม่ครอบคลุมนะ  ยกตัวอย่างง่ายๆ สมมติว่านายเพนกวินไปเที่ยวอังกฤษแล้วเพิ่งเดินทางกลับมาประเทศไทย ยังไม่มีอาการแสดงเชื้อ แต่อยากตรวจเพื่อความสบายใจก็ต้องจ่ายค่าตรวจเชื้อไวรัสโควิด-19 เอง ซึ่งนายเพนกวินจะต้องกักตัวอยู่ที่บ้านภายใน 14 วันเพื่อสังเกตอาการต่อไปด้วย พอเข้าใจกันแล้วเนอะ!!
หมายเหตุ : ลูกจ้าง ผู้ประกันตน เจ็บป่วยแบบไหนเบิกประกันสังคมได้บ้าง? ตามจริงแล้วไม่ว่ากรณีใดก็ตามสามารถเข้าโรงพยาบาลตามสิทธิประกันสังคมที่เลือกไว้ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย และหากเจ็บป่วยฉุกเฉินเราสามารถเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลใดก็ได้ที่ใกล้ที่สุด

กลุ่มเสี่ยงที่เข้าข่ายติดเชื้อไวรัสโควิด 19

อย่างที่แฟรงค์บอกว่า ทางการแพทย์จะตรวจเชื้อและรักษาให้ทันที เมื่อผู้ประกันตนเข้าข่ายติดเชื้อไวรัสโควิด 19 ตามเกณฑ์เบื้องต้น  ดังต่อไปนี้ 

• ตัวเองหรือบุคคลใกล้ชิดมีประวัติเดินทางไปยังกลุ่มประเทศเสี่ยง  ได้แก่ จีน ฮ่องกง มาเก๊า ไต้หวัน สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อิตาลี และอิหร่าน 
• มีอาการเป็นไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก เจ็บหน้าอก และหายใจเหนื่อยหอบ
• มีญาติใกล้ชิดป่วยเป็นไข้หวัด และไม่สบาย
• มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วย หรือสัตว์ที่ตายแล้ว

รวมถึงอาการแทรกซ้อนอื่นๆ อย่างเช่น ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ขึ้นอยู่กับอาการแสดงออกของแต่ละคนด้วย หรือมีประวัติการเดินทางไปยังในสถานที่เสี่ยงภัยมาก่อน ได้แก่ สนามมวย สถานบันเทิง ทำงานสัมผัสกับกลุ่มนักท่องเที่ยว เป็นต้น หากทางแพทย์วินิฉัยว่าคุณเป็นกลุ่มเสี่ยงติดเชื้อโควิด 19 ก็สามารถเข้ารับการตรวจเชื้อโควิด และรักษาตามสิทธิประกันสังคมได้เลย

ติดเชื้อโควิด 19 ต้องหยุดรักษาตัว จะได้รับเงินชดเชยไหม?

ถ้าไม่มีงานก็ไม่มีเงินใช่ไหมล่ะ?! หากเราตรวจพบเชื้อไวรัสโควิด-19 แล้วทางแพทย์ให้คำสั่งหยุดพักรักษาตัว เราเองก็ใช้สิทธิวันลาครบตามกฎหมายไปแล้ว ทางประกันสังคมจะช่วยจ่ายเงินทดแทนให้ในอัตรา 50% ของค่าจ้างให้ด้วย (คิดจากฐานอัตราเงินเดือนสูงสุดของผู้ประกันตนแต่ละมาตรา) โดยไม่เกิน 365 วันใน 1 ปี  แต่ทั้งนี้ก็อย่าลืมเช็คสิทธิประกันสังคมกันก่อนนะ  
พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ประกันสังคมจะช่วยจ่ายค่าตรวจเชื้อไวรัสโคโรน่า ค่ารักษาพยาบาล และค่าจ้างในวันที่ลาป่วยให้  กรณีพบว่าผู้ป่วยมีอาการเป็นไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก เจ็บหน้าอก และหายใจเหนื่อยหอบ รวมถึงเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยงตามดังกล่าว ยิ่งถ้าตรวจเร็วมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเซฟตัวเองเร็ว แถมไม่แพร่เชื้อไวรัสไปสู่คนรอบข้างอีกด้วย

มีประกันสังคมแล้ว จำเป็นต้องทำประกันโคโรน่า (Covid 19) เพิ่มด้วยไหม?

แนะนำให้คุณเช็กตัวเองก่อนว่าจำเป็นต้องทำไหม? ถ้าเรามีสิทธิประกันสังคมสำหรับค่ารักษาพยาบาล Covid 19 อยู่แล้วก็อาจจะไม่จำเป็นเท่าไหร่ แต่ถ้าคิดว่าอยากทำประกันโคโรน่าเพื่อความสบายใจ หรืออยากได้รับความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลเพิ่มเติม ก็สามารถซื้อประกันโคโรน่ากับบริษัทประกันอื่นเพิ่มเติมได้ โดยขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละคนว่าชอบแผนประกันแบบไหน

ขอบคุณแหล่งที่มา : www.sso.go.th

The post เบิกประกันสังคมค่าตรวจเชื้อไวรัสโควิด-19 ฟรีไหม? appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

การระบาดในเฟส 3 คืออะไร?

การระบาดแต่ละเฟสที่เราได้ยินกันทุกวันนี้ เป็นการแบ่งระดับของการระบาดเพื่อให้ง่ายต่อการสื่อสารและวางแผนรับมือครับ โดยสามารถแบ่งได้ ดังนี้
การระบาดของโควิด-19 ในเฟสที่ 1 : มีผู้ติดเชื้อที่เดินทางมาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง โดยในเฟสนี้ จะตรวจพบผู้ติดเชื้อในบริเวณจุดคัดกรองที่สนามบิน แต่จะตรวจพบเฉพาะผู้ป่วยที่แสดงอาการก่อนเข้าประเทศแล้วเท่านั้น ส่วนผู้ป่วยที่ยังไม่แสดงอาการจะตรวจไม่พบ
การระบาดของโควิด-19 ในเฟสที่ 2 : มีผู้ติดเชื้อจากคนที่เดินทางมาจากต่างประเทศแต่ไม่แสดงอาการ ในเฟสนี้ จะมีผู้ป่วยในประเทศเพิ่มขึ้น โดยส่วนมากคือคนรอบๆ ตัว หรือเคยติดต่อกับผู้ป่วยที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ โดยในเฟสนี้ ยังสามารถตรวจสอบได้ว่าผู้ติดเชื้อแต่ละคนได้รับเชื้อมาจากใคร
การระบาดของโควิด -19 ในเฟสที่ 3 : มีการระบาดในวงกว้างในประเทศ ผู้ป่วยคือคนในประเทศที่ไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศ หรือไม่ได้ติดต่อกับคนที่เพิ่งกลับจากต่างประเทศเลย ในเฟสนี้จะไม่สามารถตรวจสอบได้แล้วว่าผู้ติดเชื้อติดมาจากใคร 
โดยการระบาดของโควิด-19 ในเฟสที่ 3 นี้จะมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากในระยะเวลาอันสั้น และหลังจากนั้นจะมีผู้ติดเชื้อลดลง ซึ่งไม่ว่าอย่างไร ประเทศไทยก็ต้องเข้าสู่การระบาดในเฟสที่ 3 อย่างแน่นอน และเมื่อเข้าสู่การระบาดในเฟสที่ 3 แล้ว เราในฐานะประชาชนคนไทยจะต้องรับมืออย่างไร

วิธีการรับมือเมื่อเข้าสู่การระบาดในเฟสที่ 3

1. ไม่เข้าร่วมสถานที่ที่มีคนจำนวนมาก เนื่องจากไวรัสโคโรน่ามีระยะฟักตัวค่อนข้างนาน แม้ติดเชื้อแล้วก็อาจยังไม่แสดงอาการทันที ทำให้ผู้ป่วยยังอาจใช้ชีวิตตามปกติ ซึ่งการไปยังสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน จะเพิ่มความเสี่ยงในการสัมผัสกับผู้ป่วยที่ยังไม่แสดงอาการ
2. Social Distancing เนื่องจากโรคโควิด-19 สามารถติดต่อได้ผ่านการจาม ไอ และเชื้อยังเข้าสู่ร่างกายผ่านเยื่อบุต่างๆ ดังนั้นเมื่อประเทศไทยเข้าสู่การระบาดในเฟสที่ 3 เราควรทำการ Social Distancing หรือการเว้นระยะและลดการสัมผัสกับบุคคลอื่นให้มากที่สุด โดยวิธีการก็อย่างเช่น

• ลดการใช้ขนส่งสาธารณะที่มีคนหนาแน่น
• เว้นระยะห่างจากคนอื่นอย่างน้อย 2 เมตร
• ใช้นโยบายทำงานที่บ้าน (Work from home) เพื่อลดความเสี่ยงของพนักงานระหว่างมาทำงาน

มีคนสงสัยว่า ระหว่างโรคโควิด-19 ระบาดในเฟส 3 เรายังสามารถออกนอกบ้านได้หรือไม่ หรือต้องขังตัวเองอยู่แต่ในบ้าน แฟรงก์ขอบอกเลยว่า เรายังสามารถออกนอกบ้านได้อยู่ครับ ไม่ได้ห้ามขนาดนั้น แต่ต้องเว้นระยะห่างและลดการสัมผัสจากผู้อื่นด้วยนะครับ
3. ล้างมือและลดการใช้มือสัมผัสใบหน้า อย่างที่บอกไปนะครับว่าเชื้อโควิด-19 เข้าสู่ร่างกายได้ผ่านทางเยื่อบุต่างๆ ซึ่งการใช้มือขยี้ตา จับจมูก จับปาก อาจทำให้เชื้อเข้าสู่ร่างกายได้ ดังนั้น หมั่นล้างมือด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์ และไม่ใช้มือขยี้ตาหรือสัมผัสใบหน้า
4. กินของร้อนหรืออาหารปรุงสุกใหม่ ใช้ช้อนส่วนตัว 
5. ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด และเลือกรับข่าวเฉพาะจากแหล่งที่เชื่อถือได้

คำถามสำคัญ “โควิดระบาดในเฟส 3 ต้องกักตุนอาหารหรือไม่” 

แฟรงก์ต้องบอกเลยครับ ว่าไม่จำเป็นต้องกักตุนอาหาร เพราะโควิด-19 ไม่ได้ติดต่อผ่านทางอากาศแบบที่หลายคนกลัว ออกนอกบ้านได้ไม่ต้องห่วงขนาดนั้น แถมประเทศไทยก็ยังมีร้านอาหารอุดมสมบูรณ์  ไม่ต้องห่วงเรื่องอาหารการกินเลยครับ แต่จะสำรองอาหารแห้งไว้ที่บ้าน เพื่อจะได้ทำอะไรกินที่บ้าน เลี่ยงการออกไปข้างนอกก็ดีครับ

และนี่ก็คือวิธีการรับมือเมื่อโรคโควิด-19 เมื่อระบาดในเฟส 3 แม้ตอนนี้รัฐบาลยังไม่ได้ประกาศออกมา แต่สถานการณ์ก็ต้องบอกเลยครับว่าประเทศไทยใกล้เข้าสู่เฟส 3 แบบสุดๆ เลย ดังนั้น เราควรเตรียมตัวให้พร้อม และควรทำประกันสุขภาพไว้ดูแลด้วยนะครับ

The post โควิด -19 ระบาดในเฟส 3 ต้องรับมืออย่างไร? appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

1.ต้องกักตัวอย่างน้อย 14 วัน

เนื่องจากไวรัสโควิด-19 มีระยะฟักตัวในร่างกายค่อนข้างนาน แม้รับเชื้อมาแล้ว ก็อาจไม่แสดงอาการทันที ทำให้ทางสาธารณสุขได้ออกมาแนะนำคนที่เพิ่งเดินทางกลับจากต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มเสี่ยง ให้หยุดงาน หรือหยุดเรียนเพื่อกักตัวดูอาการอย่างน้อย 14 วัน โดยในช่วงระยะการกักตัวนี้ควรอยู่แต่ในบ้านเพื่อป้องกันการแพร่กระจาย และงดพบเจอกับคนอื่นๆ ด้วยนะครับ

2. สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา

โรคโควิด-19 สามารถติดต่อได้ผ่านการจามหรือไอ ดังนั้น เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ ระหว่างกักกันเพื่อดูอาการที่บ้าน ก็ต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาด้วยนะครับ ส่วนวิธีการสวมหน้ากากอนามัยให้ถูกต้อง สามารถดูได้ที่นี่เลยครับ นอกจากนั้น เมื่อไอหรือจาม ให้ใช้กระดาษทิชชู่เพื่อลดการฟุ้งกระจายด้วยนะครับ

3. หมั่นล้างมือ

เนื่องจากเชื้อโควิด-19 สามารถมีชีวิตอยู่บนพื้นผิวต่างๆ ได้เป็นระยะเวลานาน ดังนั้นการล้างมือบ่อยๆ จะช่วยฆ่าเชื้อโรคที่เราอาจไปสัมผัสติดมาได้ครับ โดยเราสามารถใช้ได้ทั้งสบู่ ทิชชูเปียกหรือเจลล้างมือก็ได้ครับ แต่ต้องล้างบ่อยๆ และไม่เอามือไปสัมผัสกับจมูก ปาก ตา โดยไม่จำเป็นด้วยนะ

4. งดใช้ของร่วมกับผู้อื่น หรือสัมผัสกับผู้อื่น

บางครอบครัวอาจมีคนในครอบครัวที่เพิ่งเดินทางกลับจากต่างประเทศ เมื่อกลับมาถึง ในระหว่างกักตัว เราควรที่จะแยกห้องและของใช้ของคนที่เพิ่งเดินทางกลับออกจากสมาชิกครอบครัวคนอื่นๆ ด้วยนะครับ นอกจากนั้น ควรงดเว้นการสัมผัสหรือติดต่อกับสมาชิกครอบครัวคนอื่นๆ หรือเว้นระยะห่างให้มากกว่า 4 เมตรเสมอนะครับ

5. หากจำเป็นต้องออกข้างนอก ไม่ควรใช้รถสาธารณะ

จริงๆ แล้วในระหว่างกักตัวเราไม่ควรออกไปข้างนอกเลยนะครับ แต่หากมีความจำเป็นต้องเดินทางออกไปข้างนอก การใช้รถสาธารณะอาจเป็นการแพร่กระจายเชื้อได้ ดังนั้น ให้สวมหน้ากากอนามัย และใช้รถส่วนตัวครับ

6. ถ้ามีอาการ รีบไปพบแพทย์ทันที

ถ้าระหว่างกักตัว ร่างกายเริ่มแสดงอาการป่วย ไอ มีน้ำมูกไหล ปวดเมื่อยตามตัว หรืออาการแบบไข้หวัดใหญ่ ให้เรารีบไปพบแพทย์โดยด่วนครับ และต้องแจ้งประวัติตามความจริงนะครับ ห้ามปกปิดประวัติว่าไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศมาก่อนนะ

และนี่ก็คือข้อควรทำระหว่างกักตัวกลุ่มเสี่ยงโรคโควิด-19 ซึ่งแฟรงค์ก็อยากให้ใครที่มีประวัติเดินทางไปต่างประเทศมาลองนำปฏิบัติตามนะครับ เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเองและคนรอบข้าง

The post กักตัวกลุ่มเสี่ยงโรคโควิด-19 หลังจากกลับจากต่างประเทศ ต้องทำอย่างไรบ้าง appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

โรคติดต่ออันตรายคืออะไร?

โรคติดต่ออันตราย คือคำที่ใช้เรียกโรคติดต่อที่มีความรุนแรงสูงสุดและสามารถแพร่ไปสู่ผู้อื่นได้อย่างรวดเร็ว ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 โดยโรคที่จะถือว่าเป็นโรคติดต่อร้ายแรงนี้ ต้องมีคุณสมบัติ 3 ข้อ ดังนี้
1.มีความรุนแรงสูง (ทั้งเรื่องของอัตราการเสียชีวิต หรือผลกระทบต่อเศรษฐกิจ)
2.ไม่มียารักษา
3.ไม่มีวัคซีน 
ซึ่งในอดีต โรคซาร์สและโรคเมอร์สที่เป็นโรคจากไวรัสโคโรน่าเช่นเดียวกับโรโควิด-19 ก็ถูกขึ้นบัญชีโรคติดต่ออันตรายเช่นเดียวกัน และเมื่อพิจารณาแล้ว จริงๆ แล้วโรคโควิด-19 นั้นเข้าเกณฑ์ทั้งสามข้อมาตั้งนานแล้วครับ แต่สาเหตุที่ทางกระทรวงสาธารณสุขเพิ่งประกาศให้โรคโควิด-19 อยู่ในบัญชีโรคติดต่ออันตรายก็เพื่อเตรียมรับมือกับ การระบาดในระยะที่ 3 หรือการระบาดที่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มอย่างรวดเร็ว และ ติดต่อกันเป็นวงกว้าง อย่างที่ประเทศจีน เกาหลี หรือญี่ปุ่นเป็นอยู่ในตอนนี้ครับ

ทำไมต้องประกาศให้โควิด-19 เป็นโรคติดต่ออันตราย

อย่างที่บอกไปครับว่าการประกาศให้โรคโควิด-19 เป็นโรคติดต่ออันตราย ก็เพื่อเตรียมรับมือกับการระบาดในระยะที่ 3 เพราะเมื่อขึ้นบัญชีเป็นโรคติดต่ออันตรายแล้ว คำสั่งของจ้าหน้าที่สาธารณสุขจะกลายเป็นกฎหมายที่ทุกคนต้องปฏิบัติตาม และจะทำให้การดำเนินต่างๆ เพื่อดูแลควบคุมโรคนั้นสามารถทำได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ดังนี้

1.ทำให้เฝ้าระวังได้รวดเร็วขึ้น 

เมื่อประกาศเป็นโรคติดต่ออันตรายแล้ว ผู้ที่เคยติดต่อ สัมผัส หรือพบปะกับผู้ป่วย ทั้ง เจ้าของบ้าน แพทย์ผู้รักษา สถานพยาบาล ผู้ชันสูตร และสถานประกอบการ จะต้องรายงานตัวกับกรมควบคุมโรคใน 3 ชั่วโมง เพื่อรับการตรวจและเฝ้าระวัง

2.เจ้าหน้าที่จะมีอำนาจในการจัดการมากยิ่งขึ้น

ก่อนหน้านี้ การรักษาหรือการตรวจโรคโควิด-19 ในขั้นต่างๆ ถือเป็นขั้นตอนที่ต้องให้ผู้ป่วยให้ความยินยอม แต่เมื่อประกาศเป็นโรคติดต่ออันตราย เจ้าหน้าที่จะมีอำนาจในการสั่งตรวจ รักษา แยกกักกัน และอื่นๆ อันเห็นสมควร ซึ่งผู้ป่วยต้องทำตาม

3.มีมาตรการการป้องกันที่เข้มงวดยิ่งขึ้น

เมื่อประกาศเป็นโรคติดต่ออันตรายแล้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดจะมีอำนาจในการปิดสถานที่สาธารณะ การให้ผู้ป่วยหยุดทำงาน รวมทั้งการห้ามผู้ป่วยเข้าไปในสถานที่ชุมชน ทั้งนี้เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อในที่สาธารณะด้วยครับ

สรุปก็คือ เหตุผลที่ประกาศให้โรคโควิด-19 เป็นโรคติดต่ออันตรายก็เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่การระบาดระยะที่ 3 ครับ  ไม่ได้เป็นเพราะ โรคโควิด-19 มีความรุนแรงขึ้นอย่างที่ใครหลายคนกังวลนะ เพราะเมื่อเทียบกันแล้ว โรคโควิด-19 ยังมีโอกาสรักษาหายได้มากกว่าโรคในตระกูลเดียวกันอย่าง ซาร์ส หรือ เมอร์ส อีกด้วยครับ แต่ก็ใช่ว่าเราจะประมาท ไม่กังวลนะครับ ช่วงนี้เรายังคงต้องสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยงด้วยครับ

The post โรคติดต่ออันตรายคืออะไร ทำความเข้าใจ จะได้ไม่ตระหนก appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

เตรียมอุปกรณ์ก่อนออกเดินทาง

• หน้ากากอนามัย
• แว่นตา
• เจลล้างมือ
• น้ำยาแอลกอฮอล์
• ทิชชูแห้ง และเปียก

** กรณีที่เป็นของเหลวพวกเจล หรือสเปรย์ที่สามารถนำติดตัวขึ้นเครื่องได้ ต้องมีปริมาณไม่เกินอย่างละ 100 มิลลิลิตร หรือ 100 กรัมเท่านั้น แต่ถ้าเป็นของเหลวรวมกันมากกว่า 1 ชิ้น ทั้งหมดต้องมีปริมาณไม่เกิน 1 ลิตร หรือ 1,000 มิลลิลิตร

1. สวมหน้ากากอนามัยที่ได้รับมาตรฐาน

ตั้งแต่คุณก้าวขาออกจากบ้าน อย่างแรกคุณจะต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้ง ขอย้ำเลยว่า! ห้ามลืมสวมใส่หน้ากากเด็ดขาด เนื่องจากละอองฝอยในอากาศอาจจะมีเชื้อไวรัสโคโรน่าปะปนอยู่ เราก็ต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยที่ได้รับมาตรฐาน หรือมีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อโรคต่างๆ  แล้วที่สำคัญอย่าลืมศึกษาวิธีสวมใส่หน้ากากอนามัยให้ถูกต้องกันด้วยนะ

2. ใช้เจลล้างมือเพื่อทำความสะอาด

ไม่ว่าเราจะเดินทางไปเที่ยวไหนก็ต้องผ่านการสัมผัสอยู่แล้ว โดยเฉพาะบริเวณที่สาธารณะ เช่น ประตู ราวบันไดเลื่อน ถาดอาหาร แก้วน้ำ จานชาม เป็นต้น ด้วยเหตุนี้เองเราควรเตรียมเจลล้างมือขนาดพกพา เพื่อทำความสะอาดตลอดเวลา  และพยายามอย่าใช้มือเเกะเกาบริเวณใบหน้าหรือดวงตาด้วย

3. สวมใส่แว่นตาอย่างมิดชิด

นอกจากนี้ถ้าคุณมีแว่นตากันแดด หรือแว่นตาแฟชั่น ก็ต้องเตรียมไว้เช่นกัน แว่นตาจะช่วยป้องกันพวกฝุ่นละอองหรือเชื้อโรคต่างๆ เข้าสู่ดวงตาได้   ถึงแม้ว่าการติดเชื้อผ่านดวงตาจะมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก แต่ถ้าเราป้องกันไว้ก่อนน่าจะดีกว่า

4. ทำความสะอาดบริเวณที่สัมผัส

สำหรับการเข้าห้องน้ำในที่สาธารณะ ถือเป็นจุดเสี่ยงของการติดเชื้อไวรัสโคโรน่าเลย โดยเฉพาะเวลาที่คุณต้องการใช้ห้องน้ำในสนามบิน ก็อย่าลืมพกทิชชู่เปียกและทิชชู่เเห้งไว้สำหรับเช็ดทำความสะอาดชักโครกก่อนทำธุระ  หลังจากเสร็จธุระแล้วค่อยล้างมือด้วยน้ำสบู่ หรือใช้เจลล้างมืออีกครั้ง

5. รับประทานอาหารปรุงสุก และสะอาด

ทราบหรือไม่ว่า? สาเหตุที่เกิดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 มาจากอาหารการกินนั่นแหละ สำหรับการกินอาหารที่ไม่ผ่านการปรุงสุกมาก่อน จะเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคต่างๆ ได้ดี เพราะฉะนั้นเราต้องกินอาหารที่ถูกสุขอนามัย ไม่ควรนำมากินสุกๆ ดิบๆ  แม้ว่าอาหารที่เราอยากจะกินหน้าตาน่าทานแค่ไหน ก็ต้องอดใจให้ได้!
ถ้าคุณไม่อยากเสี่ยงติดโคโรน่าไวรัส อย่าลืมใช้ “หลักกินร้อน-ช้อนกลาง” ด้วยนะ  เพราะการใช้ช้อนกลางจะช่วยป้องกันโรคติดต่อผ่านทางน้ำลายได้ดี  อย่างเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ที่กำลังระบาด รวมถึงเชื้อโรคอื่นๆ ที่ปนเปื้อนมาพร้อมกัน

6. หลีกเลี่ยงอยู่ในสถานที่เสี่ยง

ยิ่งถ้ามีคนพลุกพล่านมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสติดเชื้อไวรัสโคโรน่าได้ง่ายขึ้น หากเราอยากเดินทางไปต่างประเทศแบบสบายใจ แนะนำให้หลีกเลี่ยงอยู่ในสถานที่เสี่ยงติดเชื้อ หรือที่มีคนจำนวนมาก  ซึ่งบริเวณนั้นอาจจะเป็นแหล่งรวมเชื้อโรคต่างๆ ถ้าหากจำเป็นจริงๆ ก็ต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยอย่างมิดชิด แล้วที่สำคัญอย่าลืมเปลี่ยนหน้ากากอนามัยทุกครั้ง

7. อย่าใกล้ชิดผู้ป่วยที่มีอาการไอ จาม เป็นหวัด

หากเราสังเกตเห็นคนที่มีอาการไอ จาม มีไข้ เจ็บคอ หรือเป็นหวัด  ขอย้ำว่า! ให้คุณหลีกเลี่ยงทันที  เนื่องจากผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโคโรน่า หรือไวรัสโควิด 19 จะมีลักษณะใกล้เคียงกับอาการดังกล่าว อย่างกรณีที่เรามีภูมิคุ้มกันต่ำแล้วไปใกล้ชิดกับผู้ป่วย ก็ทำให้มีโอกาสได้รับเชื้อไวรัสได้ง่ายขึ้น ดังนั้น อย่าใกล้ชิดผู้ที่มีอาการป่วยเด็ดขาด

8. ไม่สัมผัสสัตว์ที่ป่วยหรือตายแล้ว

นอกจากนี้เราต้องระวังการสัมผัสสัตว์ที่ป่วยหรือตายแล้วเช่นกัน หากไม่จำเป็นก็อย่าใกล้ชิดกับสัตว์ต่างๆ ที่ไม่มีการป้องกัน  เพราะอาจจะมีเชื้อโรคปนเปื้อน หรือเกาะอยู่บนผิวหนังของสัตว์ได้ เช่น ตลาดค้าสัตว์ สินค้าสัตว์ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่นี้ ก็มาจากตัวค้างคาวในตลาดการค้าสัตว์ ณ.เมืองอู่อั่น ประเทศจีนนั่นเอง

9. ห้ามใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น

สิ่งสำคัญในการป้องกันไวรัสโคโรน่า ก็คือ เราจะต้องไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น  ได้แก่ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ และขวดน้ำ เป็นต้น เนื่องจากเชื้อไวรัสโคโรน่าจะติดต่อผ่านการสัมผัสได้อย่างรวดเร็ว ทางที่ดีเราต้องแยกสัดส่วนของใช้ส่วนตัวเอาไว้เลย

10. หากรู้สึกไม่สบายต้องพบแพทย์ทันที

หากผู้ป่วยได้รับเชื้อโคโรน่าแล้ว โดยปกติจะเริ่มแสดงอาการไวรัสโคโรน่าภายใน 1 วันถึง 2 สัปดาห์หลังจากได้รับเชื้อโรค ในขณะที่คุณกำลังเดินทางไม่ว่าจะอยู่ในประเทศ หรือต่างประเทศ เมื่อพบว่าตัวเองมีอาการป่วยเป็นไข้ ปวดศีรษะ เจ็บคอ และเป็นหวัดต้องไปพบแพทย์ทันที  เพราะเชื้อไวรัสโคโรน่าทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิต อีกทั้งป้องกันไม่ให้แพร่กระจายไปยังผู้อื่นด้วย
กรณีที่เราเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ จะมีเจ้าหน้าที่ในสนามบินให้เราเดินผ่านเครื่องตรวจจับความร้อนของร่างกาย หากพบว่านักท่องเที่ยวมีไข้ ก็จะต้องถูกส่งกลับไปนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลทันที หรือบางประเทศก็จะมีมาตรการให้ตรวจสุขภาพก่อนเข้าเมืองด้วย เพื่อความชัวร์!!

11. มีสติ และเฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลา

เมื่อคุณเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ หรือที่ไหนก็ตาม หากเราอยู่ในสถาการณ์ไม่ปกติจะต้องมีสติอยู่เสมอ และคอยอัพเดตสถาการณ์ต่างๆ ด้วย  อย่ามั่วแต่สนุกจนลืมระวังตัวนะ เพราะเชื้อโรคมันสามารถแพร่กระจายสู่คนได้อย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นเราควรเฝ้าระวังตลอดเวลา

12. ซื้อประกันเดินทางให้ช่วยคุ้มครอง

สำหรับใครที่มีความจำเป็นต้องเดินทางในต่างประเทศ แล้วไม่สามารถยกเลิกการเดินทางได้ อย่างน้อยเราก็ควรซื้อประเดินทางต่างประเทศไว้ก่อนเลย ซึ่งจะมีความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลตรงนี้ให้ด้วย  ขึ้นอยู่กับแผนประกันที่คุณเลือกไว้ แต่ทั้งนี้คุณจะต้องไม่เจ็บป่วยก่อนซื้อประกันเดินทางนะ พอหลังจากยืนยันความคุ้มครองเรียบร้อย ก็จะทำให้เราอุ่นใจในการเดินทางมากขึ้น

เสี่ยงกับไวรัสโคโรน่าหรือไม่? ให้สังเกตอาการดังนี้

• มีประวัติเดินทางกลับจากประเทศเสี่ยง หรือทำงานบริเวณใกล้เคียง
• มีประวัติใกล้ชิดผู้ป่วยที่มีอาการติดเชื้อ
• มีการสัมผัสสัตว์ที่เป็นแหล่งเชื้อโรคมาก่อน
• มีอาการเจ็บป่วย เป็นไข้ ไอ น้ำมูก เจ็บคอ หายใจเหนื่อย

ถ้ามีอาการใกล้เคียงดังกล่าว ถือว่าจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงผู้ป่วยไวรัสโควิด 19 ควรรีบไปพบแพทย์ทันที!!  เพื่อรับการตรวจสุขภาพที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน พร้อมทั้งแจ้งประวัติการเดินทางของคุณ แล้วที่สำคัญอย่าลืมรักษาร่างกายให้อบอุ่น และนอนหลับให้เพียงพอ ก็จะช่วยให้ห่างไกลจากไวรัสโคโรน่าได้

The post วิธีป้องกันไวรัสโคโรน่า (COVID-19) ขณะเที่ยวต่างประเทศ appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

อ่านเร็วๆ

• ล้างมือให้สะอาดก่อน แล้วใช้เจลล้างมือกำจัดเชื้อแบคทีเรีย
• จับห่วงทั้ง 2 ข้าง หันด้านที่มีสีเข้มออกด้านนอก แล้วเอาสีขาวเข้าหาหน้าตัวเอง
• จากนั้นนำสายมาคล้องหูและปรับให้พอดี ไม่ควรให้หน้ากากหลวมเกินไป
• กดตรงส่วนของโลหะให้ชิดกับสันจมูก และพับจีบด้านนอกลง
• เปลี่ยนหน้ากากอนามัยทุกวัน รวมถึงหลีกเลี่ยงผู้ที่มีอาการไม่สบายด้วย

หน้ากากอนามัยมีกี่แบบ ต่างกันอย่างไร?

ถือเป็นเรื่องที่ดีในการสวมใส่แมส หรือใส่หน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันทั้งฝุ่น PM 2.5 และเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่นิยมใช้หน้ากากอนามัย 2 ประเภทด้วยกัน ได้แก่ หน้ากากอนามัยประเภททั่วไป แบบสีเขียวเข้มๆ ที่เราเคยเห็นตามโรงพยาบาล และหน้ากากอนามัย n95 ที่จะผลิตมาเพื่อป้องกันเชื้อโรคขนาดเล็ก โดยจะมีวิธีในการใช้งานแตกต่างกัน ดังต่อไปนี้ 

1. หน้ากากอนามัยทางการแพทย์

แบบแรก หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ (Surgical Mask) ที่ด้านหนึ่งเป็นสีเขียวหรือสีฟ้า จะมีคุณสมบัติป้องกันเชื้อโรคที่ปนมากับละอองน้ำมูก หรือน้ำลายได้เป็นอย่างดี  รวมถึงป้องกันของเหลวซึมไหลผ่าน หลายคนจึงนิยมใส่แมสชนิดนี้มากที่สุด เนื่องจากมีเยื่อกระดาษป้องกันถึง 3 ชั้น แต่ข้อเสียจะไม่สามารถป้องกันไวรัสที่มีอนุภาคขนาดเล็กมากในระดับไมครอน และต้องเปลี่ยนหน้ากากใหม่ทุกครั้งเวลาใช้งาน กล่าวง่ายๆ ก็คือ “ใช้แล้วต้องทิ้ง” นั่นเอง

2. หน้ากากอนามัยแบบ N95

อีกหนึ่งหน้ากากที่นิยมไม่แพ้กัน เพราะหน้ากากอนามัยชนิด n95 จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อโรคได้ดีที่สุด สามารถป้องกันฝุ่น PM 2.5 และเชื้อโรคที่มีขนาดเล็ก 0.3 ไมครอนได้  นอกจากนี้การใส่หน้ากาก n95 ยังมีอายุงานใช้งานนานกว่าประมาณ 2-3 วัน (แต่ทางที่ดีเราควรเปลี่ยนหน้ากากทุกวัน) ซึ่งบางรุ่นจะมีวาลว์ระบายอากาศ เพื่อช่วยในการระบายความร้อนได้ ส่วนราคานั้นก็จะแพงกว่าใส่แมสทั่วไป

การใส่หน้ากากอนามัยที่ถูกต้องและปลอดภัย

พอหลังจากมีเหตุการณ์ทั้งฝุ่น PM 2.5 และเชื้อไวรัสโคโรน่า หลายคนก็เริ่มสงสัยกับวิธีใส่แมสปิดปากที่ถูกต้องด้วย เช่น หน้ากากอนามัยสีเขียวที่เราเห็นทั่วไป บางคนก็ใส่แบบเอาด้านสีเขียวออก หรือบางคนก็ใส่แบบเอาด้านสีขาวออก แล้วจริงๆ เราควรใส่หน้ากากด้านไหนกันล่ะ? แฟรงค์รวบรวมคำตอบมาให้คุณแล้ว

1. วิธีการสวมใส่หน้ากากอนามัยทางการแพทย์

ในกรณีที่มีการระบาดเชื้อโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ หรือไวรัสโควิด-19 ก็มีทางเเพทย์มาอธิบายเกี่ยวกับวิธีการใส่หน้ากากที่ถูกต้องกันด้วย  เพื่อป้องกันทั้งฝุ่น PM 2.5 และเชื้อไวรัสโคโรน่ามากระจายสู่ตัวเรา ซึ่งจะต้องทำตามขั้นตอนอย่างเคร่งครัด ดังนี้

• เริ่มจากล้างมือให้สะอาดก่อน เพื่อป้องกันสิ่งสกปรกปนเปื้อนกับหน้ากาก หากมีเจลกำจัดเชื้อแบคทีเรียด้วยก็ยิ่งดี
• ต่อมาให้สวมหน้ากากอนามัย โดยจับห่วงทั้ง 2 ข้าง หันด้านที่มีสีเข้มออกด้านนอก แล้วเอาสีขาวเข้าหาหน้าตัวเอง
• จากนั้นนำสายมาคล้องหู และปรับให้พอดี แต่ไม่ควรให้หน้ากากหลวมเกินไป เพราะอาจจะทำให้เชื้อโรคเข้ามาได้
• กดตรงส่วนของโลหะให้ชิดกับสันจมูก และพับจีบด้านนอกลง
• ควรเปลี่ยนหน้ากากอนามัยทุกๆ วัน รวมถึงหลีกเลี่ยงผู้ที่มีอาการไม่สบาย ไอ หรือจามด้วย 

** ถ้าหน้ากากอนามัยขาด หรือชำรุดก็ควรเปลี่ยนใหม่ทันที ไม่ควรนำกลับมาใช้ซ้ำอีก!

2. วิธีการสวมใส่หน้ากากอนามัย N95

เมื่อมีผู้คนล้มป่วยจากเชื้อไวรัสโคโรน่า หลายคนก็เริ่มรู้จักป้องกันตัวเองมากขึ้น ด้วยการสวมใส่หน้ากาก n95 เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการป้องกันฝุ่นละออง เชื้อไวรัส เชื้อรา และเชื้อแบคทีเรียต่างๆ ได้เป็นอย่างดี แต่ทั้งนี้เราก็ต้องศึกษาวิธีการใส่หน้ากากที่ถูกต้องเช่นกัน

• อันดับแรกจะต้องล้างมือให้สะอาดก่อน เพื่อกำจัดเชื้อโรคที่ปนเปื้อน
• ใส่หน้ากาก n95 ที่ได้รับมาตรฐานให้เหมาะสมกับใบหน้า มาครอบทั้งจมูกและปากอย่างมิดชิด
• จับสายคล้องเส้นล่างรัดบริเวณใต้ใบหู และอีกหนึ่งเส้นด้านบนให้อยู่เหนือใบหู และกดส่วนที่เป็นโลหะให้กระชับเเน่นกับสันจมูก
• ตรวจสอบให้แน่ใจว่าหน้ากากอนามัยแนบสนิทหรือไม่ ด้วยการเป่าลมก่อน ถ้าหน้ากากพอดีเวลาหายใจเข้าหน้ากากจะยุบตัว ส่วนหายใจออกหน้ากากจะพองตัว
• กรณีที่ใช้งานแล้วแต่ยังไม่ทิ้ง แนะนำให้ทำเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ไว้ หรือเก็บไว้ในถุงผ้าอย่างปลอดภัย (แต่ถ้าใช้แล้วทิ้งควรใส่ถุงพลาสติกมัดปากถุงให้แน่น แล้วทิ้งลงในถังขยะติดเชื้อ)
• อย่าลืมล้างมือทุกครั้งหลังใส่หน้ากาก n95 รวมถึงหลีกเลี่ยงผู้ป่วย ผู้ที่มีอาการไม่สบาย ไอ หรือจาม

ทั้งนี้วิธีใส่หน้ากากอนามัยจะมีรูปแบบการใช้งานที่แตกต่างกัน แนะนำให้ตรวจสอบความมิดชิดของหน้ากากทุกครั้ง กรณีพบว่ามีสารคัดหลั่งจำพวกน้ำมูก น้ำลายเจือปน รวมถึงหน้ากากขาดชำรุด ก็ต้องรีบเปลี่ยนหน้ากากใหม่ทันที นอกจากนี้ ถ้าเราป่วยมีอาการไอ และจามอยู่บ่อยๆ ต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจสอบอาการเบื้องต้นก่อน  

The post วิธีใส่หน้ากากอนามัยให้ถูกต้อง ป้องกันไวรัสโคโรน่า appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

โคโรน่าไวรัสคืออะไร

โคโรน่าไวรัส หรือ coronavirus (CoV) คือเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคปอดอักเสบติดเชื้อ รวมไปทั้งโรคปอดอักเสบรุนแรง พบได้ทั้งในสัตว์และในคน โดยโคโรน่าไวรัสมีหลายสายพันธุ์ ซึ่งสายพันธุ์ที่เคยระบาดรุนแรงก็ได้แก่ ไวรัสซาร์ส (SARS-CoV) ที่เคยระบาดไปทั่วโลกในปี 2002 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตทั่วโลกกว่า 600 คน และไวรัสเมอร์ส (MERS-CoV) ซึ่งมีผู้เสียชีวิตเกือบ 900 คนในปี 2012 ซึ่ง โคโรน่าไวรัส ที่กำลังระบาดอยู่ในช่วงนี้ เป็นสายพันธุ์ใหม่ หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 ซึ่งคาดกันว่าแม้จะมีความรุนแรงไม่เท่าสายพันธุ์ก่อนๆ แต่ก็มีสิทธิที่เชื้อไวรัสจะพัฒนาตัวเองจนมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ดังนั้นต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด 
โดยโคโรน่าไวรัสที่กำลังระบาดอยู่นี้ คาดกันว่าน่าจะมีศูนย์กลางการระบาดที่เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ซึ่งตอนนี้มีก็เริ่มระบาดไปยังเมืองต่างๆ ของประเทศจีน รวมทั้งต่างประเทศแล้ว โดยผู้ติดเชื้อแล้วหลายร้อยราย ซึ่งในประเทศไทยก็มีรายงานผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าแล้วด้วยครับ

โคโรน่าไวรัส ติดต่อทางไหน 

ไวรัสโคโรน่า สามารถติดต่อได้ผ่าน “คนสู่คน” โดยสามาถติดต่อได้หลายทาง เช่น 

• การสัมผัสน้ำมูก 
• น้ำลาย 
• เสมหะของผู้ป่วย 

นอกจากนั้นเชื้อไวรัสโคโรน่า ยังสามารถเข้าสู่รายการได้หลายช่องทาง เช่น เยื่อบุทางเดินหายใจ ตา จมูก ปาก อธิบายให้ชัดเจนก็คือ ถ้าอากาศโดยรอบมีเชื้อไวรัสโคโรน่าลอยอยู่ อาจเกิดจากการที่ผู้ป่วยจามหรือไอออกมา เราสามารถติดเชื้อไวรัสโคโรน่าได้ผ่านทางการหายใจได้เช่นกัน แต่โอกาสจะน้อยกว่าการสัมผัสสารคัดหลั่ง (น้ำมูก น้ำลาย) โดยตรง
คุณอาจสนใจ : โควิด-19 ทำให้ต้องหยุดงาน ออกจากงาน ประกันสังคมช่วยเหลืออย่างไรบ้าง?

อาการไวรัสโคโรน่าเป็นอย่างไร

ต้องบอกว่า เนื่องจากธรรมชาติของเชื้อไวรัสเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว แม้จะเป็นเชื้อตัวเดียวกัน แต่ความรุนแรงในการก่อโรคของแต่ละคนจะแตกต่างกันไปครับ ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยทั้งด้านพันธุกรรม ภูมิต้านทาน สุขภาพ อายุ และประวัติการฉีดวัคซีนของแต่ละคนครับ โดยผู้ป่วยจากไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 นี้ จะมีอาการทางเดินหายใจ มีน้ำมูกไหล ไอ เจ็บคอ ไปจนถึงมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ ไข้สูง ปวดหัว ปวดเมื่อยตามตัว

โคโรน่าไวรัส ป้องกันอย่างไร

แน่นอนว่าไวรัสโคโรน่านั้นอันตรายเป็นอย่างมากเลยครับ ดังนั้น เราควรที่จะป้องกันและดูแลสุขภาพให้ดี โดยวิธีป้องกันไวรัสโคโรน่า สามารถทำได้ดังนี้ครับ

• หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีคนพลุกพล่าน
• สวมหน้ากากอนามัยเสมอเมื่อต้องออกไปยังที่สาธารณะ หรือต้องติดต่อกับผู้ที่มีอาการป่วย
• ไม่ทานเนื้อสัตว์ที่ไม่ปรุงสุก
• ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
• หมั่นล้างมือให้สะอาด และไม่นำมือมาสัมผัสที่ตา จมูก และปากหากไม่จำเป็น
• พักผ่อนให้เพียงพอ
• หากมีอาการไข้ ระบบทางเดินหายใจมีปัญหา ให้รีบไปพบแพทย์โดยด่วน

นอกจาก 7 ข้อควรทำเพื่อป้องกันโคโรน่าไวรัสนี้แล้ว แฟรงค์ก็ขอแนะนำว่าใครที่มีแพลนจะเดินทางไปยังประเทศจีนในช่วงนี้ ถ้าเป็นไปได้ก็ควรเลื่อนวันเดินทางออกไปก่อนนะครับ รอให้สามารถควบคุมโรคได้ก่อนค่อยเดินทางไปจะเป็นการปลอดภัยที่สุด

The post เช็คอาการโควิด-19 ติดต่อทางไหน มีวิธีป้องกันเป็นอย่างไร appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.