1. ค่าตรวจครรภ์ และฝากครรภ์

ก่อนอื่นคุณแม่มือใหม่ทุกท่าน สามารถเช็กสิทธิประกันสังคมด้วยวิธีง่ายๆ บนเว็บไซต์ SSO E-Service กันได้เลย ทางประกันสังคมจะเพิ่มสิทธิประโยชน์ค่าตรวจครรภ์ และฝากครรภ์ให้กับคนท้อง โดยสามารถเบิกค่าฝากครรภ์ 5 ครั้ง ตามอัตราที่จ่ายจริง ไม่เกินจำนวน 1,500 บาท  ทั้งนี้ผู้ประกันตนสามารถขอเบิกค่าฝากครรภ์จากประกันสังคมได้โดยไม่ต้องรอให้คลอดบุตรก่อน หรือจะยื่นขอรับสิทธิประโยชน์หลังจากคลอดบุตรแล้วก็ได้

การจ่ายเงินในแต่ละครั้งจะแบ่งตามเกณฑ์ดังนี้

• ครั้งที่ 1 อายุครรภ์ ไม่เกิน 12 สัปดาห์ จ่ายตามจริงแต่ไม่เกิน 500 บาท
• ครั้งที่ 2 อายุครรภ์ 12-20 สัปดาห์ จ่ายตามจริงแต่ไม่เกิน 300 บาท
• ครั้งที่ 3 อายุครรภ์ 20-28 สัปดาห์ จ่ายตามจริงแต่ไม่เกิน 300 บาท
• ครั้งที่ 4 อายุครรภ์ 28-32 สัปดาห์ จ่ายตามจริงแต่ไม่เกิน 200 บาท
• ครั้งที่ 5 อายุครรภ์ 32-40 สัปดาห์ จ่ายตามจริงแต่ไม่เกิน 200 บาท

เงื่อนไขการรับสิทธิ์:

• จ่ายค่าประกันสังคมมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 เดือน ภายใน 15 เดือนก่อนใช้สิทธิ์
• กรณีทั้งสามีและภรรยาเป็นผู้ประกันตน ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช้สิทธ์ก็ได้

2. ค่าคลอดบุตร

ผู้ประกันตนสามารถเบิก ค่าคลอดบุตรประกันสังคม 2567  แบบเหมาจ่ายได้ในอัตรา 15,000 บาทต่อการคลอดบุตรหนึ่งครั้ง  เช่น ค่าทำคลอด ค่ายา ค่าห้อง ค่ารถพยาบาล หรือค่าบริการอื่นๆ สามารถเข้าโรงพยาบาลไหนก็ได้ตามที่เลือกลงทะเบียนประกันสังคม หากต้องการเข้าโรงพยาบาลที่ไม่ได้อยู่ในสังกัด อาจต้องสำรองจ่ายไปก่อน แล้วค่อยนำเอกสารมายื่นเบิกที่สำนักประกันสังคมภายหลัง

เงื่อนไขการรับสิทธิ์:

• จ่ายเงินสมทบประกันสังคมแล้ว ไม่น้อยกว่า 5 เดือน และภายใน 15 เดือนก่อนการคลอดบุตร
• กรณีสามีและภรรยาเป็นผู้ประกันตนทั้งคู่ ให้ใช้สิทธิในการเบิกค่าคลอดบุตรฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่จำกัดจำนวนบุตร/ครั้ง
• กรณีสามีและภรรยาเป็นผู้ประกันตนทั้งคู่ให้ใช้สิทธิในการเบิกค่าคลอดบุตรฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง (เลือกว่าใครจะเป็นคนใช้สิทธิ์)

กรณีคลอดบุตรแฝด สามารถเบิกค่าคลอดบุตรประกันสังคมได้ตามปกติ นั่นคือ เหมาจ่าย 15,000 บาท/ครั้ง  เนื่องจากทางประกันสังคมจะนับเป็นรายครั้ง เลือกเข้าโรงพยาบาลตามสิทธิประกันสังคมได้เลย แต่ถ้าคุณอยากเปลี่ยนโรงพยาบาลประกันสังคม ควรแจ้งกับทางประกันสังคมล่วงหน้าไว้ก่อน

3. ค่าสิทธิการลาคลอด

หลังจากตรวจสอบสิทธิประกันสังคม อย่างเช่น ค่าฝากครรภ์ และค่าคลอดบุตร ก็สามารถใช้สิทธิ์ในการลาคลอดได้ คือ ค่าจ้างชดเชยกรณีหยุดงานเพื่อลาคลอด ทางประกันสังคมจะจ่ายในอัตรา 50% ของค่าจ้างเฉลี่ย เป็นระยะเวลา 90 วัน หรือ 3 เดือน  (หากเป็นบุตรคนที่ 3 จะไม่ได้รับสิทธิ์หยุดงานลาคลอด) ตัวอย่างเช่น นางบีกำลังตั้งท้อง (เป็นผู้ประกันตน) มีเงินเดือน 15,000 บาท จะได้รับเงินชดเชยการหยุดงาน 50% ของเงินเดือน นางบีจะได้รับเงินทั้งหมด 7,500 บาทต่อเดือน

เงื่อนไขการรับสิทธิ์:

• จ่ายเงินสมทบประกันสังคมแล้วไม่น้อยกว่า 5 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนการคลอดบุตร
• สิทธิประกันสังคม ลาคลอดใช้ได้เฉพาะฝ่ายหญิงเท่านั้น (ฝ่ายชายไม่สามารถใช้สิทธิ์นี้ได้)
• จ่ายให้ไม่เกินฐานเงินเดือน 15,000 บาท หากเงินเดือนมากกว่ากำหนดจะคิดแค่ 15,000 บาท
• การใช้สิทธิประกันสังคมนี้ จะใช้ได้เฉพาะบุตรคนที่ 1 และคนที่ 2 เท่านั้น
• มีระยะเวลาจ่ายเงินให้ทั้งหมด 90 วัน หรือ 3 เดือน นับรวมวันหยุดราชการ
• กรณีกลับมาทำงานก่อนถึง 90 วัน คุณแม่จะยังคงได้รับเงินสงเคราะห์คลอดบุตร

4. ค่ากรณีแท้งบุตร

กรณีเกิดการแท้งบุตร จะได้รับสิทธิประกันสังคมหรือไม่? คำตอบคือ “คนท้องที่มีสิทธิประกันสังคมสามารถเบิกค่าคลอดบุตรประกันสังคมได้ตามปกติ” ไม่ว่าเด็กจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ ถือว่าเป็นกรณีคลอดบุตร ซึ่งเงินที่ได้มาจากค่าคลอดบุตรเหมาจ่าย และเงินหยุดงานลาคลอดนั่นเอง แต่ต้องตรวจสอบสิทธิประกันสังคมตามเงื่อนไข

เงื่อนไขการรับสิทธิ์:

• จ่ายเงินสมทบประกันสังคม ไม่น้อยกว่า 5 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนแท้งบุตร
• มีอายุครรภ์ไม่น้อยกว่า 28 สัปดาห์ หรือ 7 เดือนขึ้นไป

หลังจากคลอดบุตร ยังได้รับเงินสงเคราะห์บุตรอีกด้วย

สำหรับคุณแม่ที่คลอดบุตรแล้ว อย่าลืมใช้ สิทธิประกันสังคม 2567 เพื่อรับเงินสงเคราะห์เลี้ยงบุตรกันด้วย โดยจะได้รับเงินเหมาจ่ายบุตรละ 800 บาทต่อเดือน บุตรอายุไม่เกิน 6 ปีบริบูรณ์ (จำนวนไม่เกิน 3 คน) ประกันสังคมจะจ่ายเงินสงเคราะห์บุตร

เงื่อนไขการรับสิทธิ์:

• จ่ายประกันสังคม ไม่น้อยกว่า 12 เดือน ภายใน 36 เดือน ก่อนเดือนที่มีสิทธิ์ได้รับประโยชน์ทดแทน
• เป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ยกเว้นบุตรบุญธรรม หรือบุตรซึ่งยกให้เป็นบุตรบุญธรรมของบุคคลอื่น
• ได้เงินสงเคราะห์บุตรตั้งแต่เกิด-อายุครบ 6 ปีบริบูรณ์
• ใช้สิทธิ์ได้คราวละไม่เกิน 3 คน
• หากสามีและภรรยาเป็นผู้ประกันตนทั้งคู่ ให้ใช้สิทธิ์เพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

กรณีได้บุตรแฝด 2 คน จะได้รับเงินประกันสังคมจำนวน 1,600 บาทต่อเดือน ซึ่งจ่ายเงินสูงสุดไม่เกิน 3 คน หากคุณแม่ลืมใช้สิทธิประกันสังคมสำหรับเงินสงเคราะห์บุตร สามารถยื่นย้อนหลังได้ไม่เกิน 1 ปีนับตั้งแต่วันที่ส่งเงินประกันสังคมตามกำหนดเท่านั้น

การเบิกเงินประกันสังคม สำหรับคนท้อง

คุณแม่ที่เป็นผู้ประกันตน สามารถยื่นเรื่องขอรับเงินตามกรณีต่างๆ ข้างต้นได้ที่สำนักงานประกันสังคมทั่วประเทศ ตามสาขาที่สะดวกหรือใกล้บ้าน (ยกเว้นสำนักงานใหญ่กระทรวงสาธารณสุข)  ติดต่อได้ในวันและเวลาราชการ หากไม่สะดวกเข้ามาดำเนินเรื่อง สามารถให้ผู้อื่นยื่นเรื่องแทนได้ แต่จะต้องมีหนังสือมอบอำนาจ และเอกสารต่างๆ มาแสดงด้วย หรือจะยื่นเอกสารผ่านทางไปรษณีย์ได้เช่นกัน

การรับเงินประกันสังคม สำหรับคนท้อง

หลังจากคุณได้ยื่นเอกสารเรียบร้อยแล้ว ทางเจ้าหน้าที่จะตรวจสอบสิทธิประกันสังคม แล้วติดต่อให้คุณมารับเงินภายหลัง โดยคุณสามารถเข้ามารับเงินด้วยตนเอง หรือมอบอำนาจให้ตัวเเทนเข้ามารับได้ที่สำนักงานประกันสังคมทั่วประเทศ หรือจะเลือกโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของคุณได้

สิทธิประกันสังคม จะเป็นเพียงการรักษาพยาบาลขั้นพื้นฐานเท่านั้น ความคุ้มครองอาจจะไม่ได้ครอบคลุมทุกอย่างเสมอไป แต่ถ้าคุณซื้อประกันสุขภาพ จะช่วยเพิ่มความอุ่นใจให้กับคุณมากขึ้น ได้รับความคุ้มครองเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วย อุบัติเหตุ ค่ายา ค่าห้อง และค่าอาหาร บางแผนคุ้มครองผู้ป่วยนอก OPD และยังมีโอกาสเลือกรักษาทางการเเพทย์เฉพาะทาง

ประกันสุขภาพ จึงจำเป็นสำหรับคุณแม่มือใหม่มากๆ หากวันนึงเกิดไม่สบายขึ้นมา ประกันสุขภาพจะช่วยดูแลเรื่องค่ารักษาพยาบาลในอนาคต หากคุณสนใจซื้อประกันสุขภาพเข้ามาเช็กค่าเบี้ยประกัน และเงื่อนไขต่างๆ ได้ที่ bolttech.co.th ซื้อผ่านออนไลน์ได้เลย ไม่ต้องตรวจสุขภาพ มีไว้อุ่นใจกว่าเยอะ

แหล่งอ้างอิง : www.sso.go.th

The post สิทธิประกันสังคมคนท้อง 2567 appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

1.น้องๆ ที่อายุประมาณ 1 เดือน
ด้วยความที่น้องเล็กมาก รวมทั้งการมองเห็น และการได้ยินเสียงยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่นัก เราสามารถเพิ่มพัฒนาการของลูกได้โดยให้คุณแม่ลูกอ่อนหาวัตถุสีสดใสมาแขวนในรถให้ลูกมองไปด้วยในระหว่างที่เราขับรถได้เลยเพื่อเพิ่มพัฒนาการทางการเรียนรู้ ส่วนการร้องเพลงกล่อมลูกน้อยไปด้วยระหว่างขับรถ หรือจะเป็นการชวนลูกน้อยคุยระหว่างที่เราขับรถด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นหรือเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะซึ่งนอกจากทำให้เราขับรถแบบไม่ง่วงไปในตัวแล้ว ยังสามารถเพิ่มพัฒนาการทางการได้ยินการสื่อสารและการจดจำของน้องไปด้วยเลย หรือเมื่อเราจอดรถเพื่อแวะพักระหว่างทาง เรายังสามารถอุ้มน้องลงมาเดินเล่นให้โดนสายลมหรือแสงแดดด้วยก็ยังได้ เพื่อเพิ่มพัฒนาการในด้านการเคลื่อนไหว

2.น้องๆ ที่อายุประมาณ 1 ขวบ
สำหรับน้องๆ ที่กำลังอยู่ในช่วงขวบปีแรกนั้น เราควรต้องพกกระเป๋าของเล่นติดรถไว้เลย เช่นลูกบอลนิ่มๆ ที่น้องบีบเล่นได้ หรือตุ๊กตาที่เวลากอดแล้วมีเสียงดัง เพราะน้องๆ จะได้ฝึกการสร้างจินตนาการ การฝึกคิดล่วงหน้า และฝึกการเชื่อมโยงของสิ่งต่างๆ หรือเราอาจจะติดกระจกเงาไว้ในรถเพื่อให้น้องสามารถฝึกมองตัวเอง หรือมองสิ่งที่อยู่ในรถได้เพื่อการทำงานของกล้ามเนื้อตา หรือเราอาจจะเตรียมของเล่นที่มีผิวสัมผัสที่แตกต่างกันออกไปเพื่อให้น้องฝึกการรับรู้จากการสัมผัส หรือการสอนให้น้องรู้จัญาติๆ โดยที่บอกลักษณะลงไปด้วยเช่น คุณอาผมยาว จะทำให้น้องได้ฝึกพัฒนาการด้านภาษาไผด้วยในตัว และเมื่อเราพักรถจอดแวะกลางทางการจูงมือพาน้องลงมาเดินเล่นเพื่อให้เค้าได้ฝึกกล้ามเนื้อขาและการทรงตัวอีกด้วย เห็นไหมครับว่าการเพิ่มพัฒนาการของลูกนั้นทำได้ทุกที่จริงๆ

3.น้องๆ  ที่อายุประมาณ 2 ขวบ
และเมื่อน้องมาอายุได้ 2 ขวบแล้ว เรามาเริ่มเพิ่มพัฒนาการของลูกน้อยด้านความจำกันเถอะฮะ ด้วยการเรียกชื่อสิ่งของให้น้องฟังพร้อมให้น้องดูสิ่งของนั้นไปด้วย แล้วเมื่อเราพูดอีกซ้ำอีกทีก็ให้น้องชี้ว่าคืออันไหน หรือการหาของเล่นแบบที่มีปุ่มให้น้องหมุนเล่นเพื่อฝึกการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กอย่างนิ้วมือ หรือลองให้เค้าหมุนปุ่มวิทยุหรือปุ่มปรับความดังเสียงดูก็ไม่เลวเลย เพราะเค้าจะได้ฝึกความเชื่อมโยงไปในตัวว่าหมุนแล้วเสียงดังขึ้น และเมื่อเราขับผ่านอะไรที่มีสีสันสะดุดตาก็ยังสามารถพูดให้น้องฟังได้ เช่น ตึกสีน้ำเงิน หรือป้ายสีเหลือง เพื่อให้น้องจดจำคำศัพท์ที่ใช้ในการสื่อสาร อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ การมีเครื่องดนตรีที่สามารถกดปุ่มหรือดีดติดรถไว้เพื่อให้น้องเกิดพัฒนาการด้านอารมณ์ได้อีกด้วย

จากเคล็ดลับที่เล่าให้ฟังทั้งหมด ยังมีของเล่นอยู่ชิ้นนึงฮะ ที่ราคาถูกมากและทำให้เกิดพัฒนาการของลูกได้สูงที่สุดด้วย นั่นก็คือ ตัวคุณแม่หรือคุณพ่อเองล่ะครับ การเล่นกับลูก พูดคุยกับเค้า หรือเล่นโดยการสัมผัสตัวของน้อง เช่น จี๋พุงเพื่อทำให้เกิดเสียงหัวเราะนั้นล่ะครับ ทำให้ได้ทั้งพัฒนาการทางอารมณ์ และเรียนรู้การสัมผัสที่อบอุ่นที่เต็มไปด้วยความรักด้วยเลยล่ะครับ ถ้าเพื่อนๆ อยากอ่านเรื่องราวดีๆ เกี่ยวกับครอบครัวเพิ่มเติมคลิ๊กตรงนี้ได้เลยนะครับ

The post เคล็ดลับดีๆ เพื่อคุณแม่ลูกอ่อนเพิ่มพัฒนาการของลูกบนรถ appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.