1) เมาแล้วขับ

การดื่มแอลกอฮอล์แล้วขับขี่ จะทำให้ผู้ขับขี่มีอาการมึนเมา การตัดสินใจช้าลง และไม่สามารถควบคุมรถได้ อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง นอกจากนี้การดื่มแอลกอฮอล์ขณะขับขี่ ยังถือว่าผิดกฎหมาย มีโทษทั้งจำและปรับอีกด้วย

อาการมึนเมาของแอลกอฮอล์ ส่งผลต่อความสามารถในการขับขี่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น

• การมองเห็นและการรับรู้ลดลง
• การตัดสินใจช้าลง
• ปฏิกิริยาตอบสนองช้าลง
• ความสามารถในการควบคุมรถลดลง

อุบัติเหตุบนท้องถนน โดยเกิดจากสาเหตุการเมาแล้วขับมากที่สุด อาจทำให้เสียชีวิตได้ เมาไม่ขับจะดีที่สุด!

2) นอนน้อย

การขับรถในขณะที่รู้สึกง่วงนอน อาจทำให้ผู้ขับขี่มีอาการเบลอ ขาดสมาธิ และอาจเผลอหลับใน เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน หากคุณรู้สึกง่วงขณะขับรถ ควรหาที่จอดรถที่ปลอดภัย เช่นจุดพักรถ ปั๊มน้ำมัน และพักงีบให้หายง่วงก่อน โดยอาการง่วงนอนขณะขับรถนั้นอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำงานหรือเรียนหนัก เป็นต้น ทั้งนี้อุบัติเหตุจากการหลับใน มักเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัวและรุนแรง ดังนั้นผู้ขับขี่ควรเตรียมตัวให้พร้อมก่อนขับรถ เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง ผู้โดยสาร และผู้ร่วมทางคนอื่นได้เช่นกัน

3) ไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร

การไม่ปฏิบัติตาม กฎหมายจราจร เช่น การฝ่าไฟแดง ขับรถเร็วเกินกำหนด ขับรถย้อนศร การไม่คาดเข็มขัดนิรภัย และพฤติกรรมอื่นๆ ที่ละเมิดกฎจราจรบนท้องถนน ถือเป็นพฤติกรรมที่เสี่ยงทำให้การจราจรติดขัด และเกิดอุบัติเหตุตามมา ดังนั้นผู้ขับขี่ควรปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่น

4) ใช้มือถือขณะขับขี่

การใช้มือถือขณะขับขี่ เป็นสาเหตุทำให้ผู้ขับขี่ละสายตาจากถนน เบี่ยงเบนความสนใจจากถนน ทำให้ล่าช้าในการขับรถแบบต่อเนื่อง การละสายตาจากถนนเพียงไม่กี่วินาที อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุตามมา ดังนั้นคุณควรหลีกเลี่ยงการใช้มือถือขณะขับรถ หรือหากจำเป็นต้องใช้ควรจอดรถข้างทางให้ปลอดภัยก่อน

5) ใจร้อนชอบแซง

ความใจร้อนชอบแซง หรือ แข่งกับรถคันอื่นๆ มักทำให้ผู้ขับขี่ขับรถโดยขาดความระมัดระวัง ไม่คำนึงถึงความปลอดภัยทั้งตนเองและผู้อื่น อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุ รถติด ดังนั้นผู้ขับขี่ควรขับรถด้วยความใจเย็น ไม่แซงรถอื่นหากไม่จำเป็น

เพราะอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ หากรู้ตัวเองว่ามีพฤติกรรมเสี่ยง ควรปรับเปลี่ยนสไตล์การขับขี่จะดีที่สุด แล้วอย่าลืมซื้อประกันรถยนต์ คุ้มครองรถจากอุบัติเหตุบนท้องถนน ทั้งค่ารักษาพยาบาลผู้ขับขี่ ผู้โดยสารบนรถ เพิ่มความอุ่นใจมากขึ้นแนะนำ ประกันรถยนต์ชั้น 2+ เบี้ยสุดคุ้ม ราคาคุ้มค่า! คุ้มครองทั้งอุบัติเหตุแบบมีคู่กรณี รถสูญหาย และ รถไฟไหม้ ทำให้ผู้ขับขี่อุ่นใจแม้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน

The post 5 พฤติกรรมขับขี่ทำให้เสี่ยงอุบัติเหตุ appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

อาการข้อเท้าพลิก ข้อเท้าแพลง

อาการข้อเท้าพลิก ของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน บางรายก็สามารถเดินได้ตามปกติ หรือบางรายก็ไม่สามารถเดินได้เลย ซึ่งอาการข้อเท้าพลิก ข้อเท้าแพลงจะมีลักษณะตามนี้ 

• มีอาการเจ็บปวดข้อเท้า โดยเฉพาะเวลากดหรือลงน้ำหนักลงที่ข้อเท้า
• มีอาการข้อเท้าบวม ข้อเท้าอักเสบ 
• มีอาการข้อเท้าฟกช้ำ หรือมีรอยช้ำเลือด
• มีอาการข้อเท้ายึดตึง
• มีอาการปวดเจ็บเท้ามาก ไม่สามารถเดินได้

ระดับความรุนแรงข้อเท้าพลิก ข้อเท้าแพลง

กรณีผู้บาดเจ็บที่มีอาการข้อเท้าพลิก ข้อเท้าแพลง โดยขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นๆ ซึ่งทางการแพทย์ได้แบ่งระดับความรุนแรงข้อเท้าพลิก ออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่

• ระดับที่ 1 จะมีการยืดหรือข้อเท้าพลิกเอ็นฉีกเพียงเล็กน้อย อาจจะมีอาการข้อเท้าบวมและกดเจ็บบริเวณที่ข้อเท้าพลิก แต่ยังสามารถเดินลงน้ำหนักได้ตามปกติ มักจะหายภายใน 2 สัปดาห์หลังจากเข้ารับการรักษา
• ระดับที่ 2 มีลักษณะข้อเท้าพลิกเอ็นฉีกบางส่วน (ไม่เกินร้อยละ 50) ผู้บาดเจ็บจะเริ่มมีอาการเจ็บปวดข้อเท้ามากกว่าระดับแรก เดินลงน้ำหนักได้ไม่ค่อยดีนัก และมักจะหายภายใน 4-6 สัปดาห์หลังจากเข้ารับการรักษา
• ระดับที่ 3 เป็นอาการรุนแรงและอันตราย เนื่องจากข้อเท้าพลิกเอ็นฉีกทั้งหมด บางรายข้อเท้าหัก มีอาการปวดเท้ามากและมีเลือดคลั่ง จะต้องรีบเข้ารับการรักษาหรือผ่าตัด 

วิธีการรักษาข้อเท้าพลิก ข้อเท้าแพลงเบื้องต้น

หลังจากพบว่าประสบอุบัติเหตุ ข้อเท้าพลิก ข้อเท้าแพลง อย่างแรกผู้บาดเจ็บจะต้องเรียนรู้วิธีปฐมพยาบาลข้อเท้าพลิกก่อน เพื่อจะได้รีบทำการรักษาก่อนนำส่งโรงพยาบาล ทั้งนี้วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นกรณีหกล้ม แล้วข้อเท้าพลิกให้รีบทำตามขั้นตอน ดังนี้ก่อน

• ผู้บาดเจ็บจะต้องพยายามไม่เคลื่อนไหวข้อเท้าที่พลิก เพราะเราไม่ทราบว่าข้อเท้ากระดูกหัก หรือเอ็นฉีกขาดมากน้อยแค่ไหน
• ให้นำไม้มาวางประคบแล้วใช้ผ้าพันแทนเฝือกไปก่อน หากจำเป็นต้องเคลื่อนที่ให้ใช้เปล หรือไม้เท้าเพื่อเป็นตัวช่วยพยุงในการเดิน

• กรณีข้อเท้าพลิกให้ประคบด้วยน้ำเเข็ง หรือแผ่นเจลเย็นตรงบริเวณที่เกิดอาการข้อเท้าพลิก โดยประคบครั้งละ 20-30 นาที จะช่วยลดอาการเจ็บปวดหรืออาการข้อเท้าบวม (หลังจากพ้น 48 ชั่วโมงไปแล้วให้ใช้ประคบร้อนสลับกับประคบเย็นได้)
• หาหมอนหรือเก้าอี้มาเป็นตัวช่วย เพียงนำมาหนุนขาให้สูงขึ้น จะช่วยให้อาการข้อเท้าบวมลดน้อยลง
• สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการปวดเจ็บข้อเท้ามาก แนะนำให้ทานยาแก้ปวดและพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อบรรเทาอาการปวด แต่ไม่ควรใช้ยาหม่องหรือครีมนวด  เพราะจะทำให้หลอดเลือดขยายตัวและมีอาการบวม
• หากปฐมพยาบาลข้อเท้าพลิก ข้อเท้าแพลง แต่ผู้บาดเจ็บมีอาการไม่ดีขึ้น เช่น ปวดข้อเท้ารุนแรง มีรอยเลือดฟกช้ำ หรือไม่สามารถลงน้ำหนักที่ข้อเท้าได้ เราควรรีบไปพบแพทย์เพื่อเช็กดูอาการทันที เพราะอาจจะกระดูกหักร่วมด้วย หรือสามารถอ่าน วิธีปฐมพยาบาลกรณีกระดูกหัก เพิ่มเติมกันได้

หมายเหตุ : การใช้ผ้าพันแผลควรพันในแรงตึงที่พอดี ไม่แน่นหรือหลวมเกินไป แล้วอย่าพันเป็นวงๆ เพราะจะทำให้ข้อเท้าบวมมากขึ้นกว่าเดิม แนะนำให้พันเป็นเลข 8 หรือพันไขว้ เพื่อประคองข้อเท้าเอาไว้ให้พอดี

การป้องกันตัวเองจากข้อเท้าพลิก

อย่างที่รู้กันดีว่า “อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกเวลา”  ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุภายในบ้าน หรืออุบัติเหตุนอกบ้าน เราก็สามารถป้องกันตัวเองกรณีข้อเท้าพลิกได้ ถ้าเรารู้จักวิธีป้องกันตัวเองแล้วก็จะช่วยไม่ให้ร่างกายบาดเจ็บ หรือเกิดภาวะเเทรกซ้อนอื่นๆ ตามมา ซึ่งวิธีป้องกันตัวเองจากอุบัติเหตุข้อเท้าพลิก ข้อเท้าแพลง ดังต่อไปนี้

• ระมัดระวังตัวก่อนออกกำลังกาย หรือเล่นกีฬาทุกครั้ง
• ไม่เล่นกีฬาผาดโผด หรือเสี่ยงภัย
• สวมใส่ถุงเท้าและรองเท้าที่เหมาะสมกับประเภทกีฬา
• ไม่ควรวิ่ง หรือทำกิจกรรมบนพื้นผิวที่ขรุขระ
• หลีกเลี่ยงการเดินทางในที่มืด เพราะจะมองไม่เห็นทาง
• ไม่อยู่ในบริเวณที่สูง เช่น ปีนต้นไม้ ปีนบันได เป็น
• หากรู้สึกเมื่อย เหนื่อยล้าให้หยุดพักทันที
• พยายามไม่ใส่รองเท้าส้นสูง เพราะมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุข้อเท้าพลิกได้ง่าย
• บริหารกล้ามเนื้อและข้อเท้า เพื่อให้ร่างกายเเข็งแรงและให้กล้ามเนื้อยืดหยุ่น แต่สำหรับผู้ที่ประสบอุบัติเหตุข้อเท้าพลิกหลังจากข้อเท้า และเส้นเอ็นที่ไม่มีอาการบวม หรืออาการเจ็บปวดลดลงแล้ว สามารถบริหารกล้ามเนื้อข้อเท้าได้ แต่จะต้องทำตามคำแนะนำของแพทย์ที่ถูกต้องเท่านั้น

เพราะค่ารักษาพยาบาลไม่ใช่น้อยๆ เราอย่าลืมซื้อประกันอุบัติเหตุจาก frank.co.th ให้ดูแลค่ารักษาเมื่อเกิดอุบัติเหตุกันด้วยนะ ไม่ว่าจะเป็น ข้อเท้าพลิก ข้อเท้าแพลง จากอุบัติเหตุ ประกันก็จะเข้ามาช่วยจ่ายให้ทันที ไม่ต้องสำรองจ่ายเองกว่า 400 แห่งในโรงพยาบาล และยังคุ้มครองทั่วโลกตลอด 24 ชม. อุ่นใจกันไปเลย แต่เราอย่าลืมอ่านเงื่อนไขความคุ้มครองก่อนซื้อประกันอุบัติเหตุนะ เพื่อให้ได้แผนความคุ้มครองที่ตอบโจทย์ และเหมาะกับไลฟสไตล์ของคุณที่สุด
ขอบคุณข้อมูลจาก : bangpakokhospital.com
                                   siphhospital.com

The post ข้อเท้าพลิก ข้อเท้าแพลง วิธีการปฐมพยาบาล appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

1. ใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ

ในช่วงเวลาที่รถติด บางคนก็ชอบเล่นมือถือแก้เบื่อ หรือใช้โทรศัพท์คุยงานขณะขับรถไปด้วย แต่ต้องบอกเลยว่า การใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับขี่มีโอกาสเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุรถชนกัน มากกว่าเมาแล้วขับถึง 4 เท่า!!  เนื่องจากการพูดคุยโทรศัพท์จะทำให้ตัวคุณเสียสมาธิระหว่างการขับรถ และอาจจับถือพวงมาลัยไม่ถนัด แล้วผู้ขับขี่ควรตั้งใจมองดูเส้นทางขณะขับรถ ไม่ควรเล่นเกมส์ ดูหนัง แชทคุย หรือโทรคุย แต่ถ้าคุณจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์มือถือ แนะนำให้จอดรถในที่ปลอดภัยก่อนแล้วค่อยใช้งานมือถือ

เสี่ยงโดนปรับ! ใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ 

ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 หากฝ่าฝืนกฎจะถูกปรับ 400-1,000 บาท  แนะนำใช้เป็นอุปกรณ์เสริมที่ใช้เกี่ยวกับโทรศัพท์แทน เช่น หูฟัง อุปกรณ์ที่วางตั้งโทรศัพท์ ช่วยให้ขับขี่ได้สะดวกและปลอดภัยมากขึ้น

2. เมาแล้วขับรถ

เนื่องจากพ.ร.บ.จราจรทางบกกำหนดไว้ว่า “ห้ามผู้ขับขี่ดื่มแอลกอฮอล์ขณะขับรถทุกชนิด” แต่ยังพบสถิติจำนวนผู้ขับขี่เมาแล้วขับอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญต่างๆ มักเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์และมอเตอร์ไซค์มากที่สุด ทางกฎหมายจึงมีมาตรการเข้มงวดกรณีเมาแล้วขับ หากผู้ขับขี่ฝ่าฝืนกฎและพบปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็น จะมีลงโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000-20,000 บาท หรือโทษทั้งจำทั้งปรับ หรือถูกเพิกถอนใบขับขี่

อ่านเพิ่มเติม : เจอคู่กรณีเมาแล้วขับ งานนี้ประกันจะช่วยเหลือยังไง

3. ง่วงแล้วขับรถ

ถึงแม้คุณจะเผลอหลับใน 3-5 วินาที ก็อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด อันตรายใกล้เคียงกรณีเมาแล้วขับเลย เพราะเราจะไม่รับรู้สติ ยิ่งถ้าคุณขับรถมาด้วยความเร็วเกินกว่า 80-90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อาจส่งผลให้ไม่สามารถควบคุมการเบรกหรือการทรงตัวได้ทันเมื่อโดนชน แล้วไม่ใช่แค่เป็นอันตรายต่อตัวเองอย่างเดียว แต่ยังสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ใช้รถใช้ถนนร่วมกันด้วย

ดังนั้นถ้าคุณรู้สึกง่วงนอน รู้สึกเหนื่อยล้า แนะนำให้จอดรถในจุดพักรถที่ปลอดภัย เพื่อแวะนอนงีบก่อน หรือจะลองดื่มกาแฟ ล้างหน้าล้างตาสักหน่อย สามารถช่วยให้คุณหายง่วงได้

4. ขับรถคร่อมเลนถนน

หากใครที่มีพฤติกรรมชอบขับรถคร่อมเลน ไม่เลือกไปทางซ้ายหรือทางขวาสักเลน ระวังจะเกิดอุบัติเหตุโดยไม่รู้ตัว ตามพ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 กำหนดไว้ว่า การขับรถคร่อมเลนหรือทับเส้นทึบแนวแบ่งช่องรถ โดยไม่ได้เปลี่ยนช่องเดินรถ เลี้ยวรถ หรือกลับรถนั้น จะมีโทษปรับอยู่ที่ 400 - 1,000 บาท  ในปัจุบันนี้มีกล้องคอยตรวจจับถนนทุกเส้นทาง ถ้าคุณไม่อยากเสียค่าปรับฟรีๆ อย่าลืมเคารพกฎจราจรกันนะจ๊ะ

เพื่อนๆ สามารถอ่าน ข้อสอบใบขับขี่ 2566 สำหรับรถยนต์และมอไซค์ เพิ่มเติม มีสัญลักษณ์ป้ายจราจร เครื่องหมายจราจร พร้อมวิธีการขับรถให้ปลอดภัย

5. เเซงแบบกระชั้นชิด

ถึงแม้ว่าคุณจะเร่งรีบมากแค่ไหน ก็ไม่ควรแซงหน้ารถคันอื่น โดยเฉพาะการขับรถแบบกระชั้นชิด เนื่องจากการขับรถแซงคนอื่นแบบกระชั้นชิด จะเสี่ยงทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย มีหลายคนที่ชอบจะเอาเปรียบผู้ร่วมทางอยู่เสมอโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่น เมื่อเกิดอุบัติเหตุบนื้องถนนก็ต้องเสียเวลาเคลมอีก ดังนั้นหากผู้ขับขี่ต้องการจะเลี้ยวหรือแซงหน้ารถคันอื่นควรชะลอความเร็วก่อน พร้อมเดินรถไปข้างหน้าให้ห่างกับรถคันที่ต้องการแซงอย่างปลอดภัย แล้วอย่าลืมใช้สัญญาณไฟกระพริบเลี้ยวล่วงหน้า เพื่อส่งสัญญาณให้คันหลังรู้ตัวด้วยว่าคุณกำลังจะเปลี่ยนเลน

6. เปลี่ยนเลนโดยไม่เปิดสัญญาณไฟ

อีกกฎหมายจราจรที่ฝ่าฝืนบ่อยๆ นั่นก็คือ การเปลี่ยนเลนโดยไม่ได้เปิดสัญญาณไฟเลี้ยว ถือเป็นสิ่งที่ผู้ขับขี่ทุกคนจะต้องรู้ไว้ เพราะกฎการเปลี่ยนช่องเดินรถเคยออกข้อสอบใบขับขี่มาแล้วว่า ถ้าผู้ขับขี่ต้องการเข้าช่องเดินรถด้านซ้ายก่อนถึงทางเลี้ยวจะต้องชะลอความเร็ว และเปิดไฟเลี้ยวก่อนถึงทางเลี้ยวไม่น้อยกว่า 30 เมตรทุกครั้ง ช่วยกะเวลาให้รถสามารถเลี้ยวไปได้ และช่วยส่งสัญญาณให้รถคันอื่นเตรียมชะลอรถให้เรา

7. เร่งรถเมื่อเห็นสัญญาณไฟเหลือง

การเจอสัญญาณไฟเหลือง หมายถึงให้ผู้ขับขี่เตรียมตัวที่ชะลอเพื่อหยุดรถ (หลังเส้นหยุดรถ) แต่หลายคนเข้าใจผิดว่าการเห็นสัญญาณไฟเหลืองกระพริบ ควรเร่งความเร็วผ่านแยกไฟแดง หรือบางคนก็กลัวเสียเวลารถติดนานก็เลยเหยียบคันเร่งจนมิดไปซะเลย แต่ทราบไหมว่า? การฝ่าไฟเหลืองนั้นถือว่าผิดกฎหมายจราจรเช่นเดียวกับฝ่าไฟเเดง  เพราะมีโอกาสทำให้เกิดอุบัติเหตุรถชนกันได้ หากใครฝ่าฝืนกฎจะมีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท  เว้นแต่กรณีที่คุณขับรถเลยเส้นบังคับหยุดรถไปก่อนไฟเหลืองจะกระพริบ

8. ขับจี้ท้ายรถคันหน้า

มารยาทในการขับรถ เป็นสิ่งสำคัญของการใช้ถนนร่วมกัน แต่คนส่วนใหญ่ที่อยู่ในสถานการณ์เร่งรีบจะชอบจี้ท้ายไล่รถคันหน้า ลองคิดเล่นๆ กันดูนะว่า หากรถคันข้างหน้าเบรกกะทันหัน เราก็ไม่สามารถเบรกได้ทันอยู่ดี อีกอย่างคือเวลาเกิดอุบัติเหตุเมื่อเคลมประกัน รถที่ชนท้ายคันข้างหน้ามักจะเป็นฝ่ายผิดเสมอด้วย ดังนั้นผู้ขับขี่จะต้องขับรถเว้นระยะห่างจากคันข้างหน้าไม่น้อยกว่า 60 เมตร  หรืออยู่ในระยะห่างที่ปลอดภัยไว้ก่อน

แต่อย่าทิ้งระยะห่างจากรถคันข้างหน้ามากจนเกินไป อาจส่งผลให้การจราจรติดขัด เพื่อป้องกันไม่ให้รถคันอื่นเข้ามาเเซงด้วย

9. เปิดไฟสูงขณะรถสวนกัน

การเปิดไฟสูงจะช่วยทำให้การมองเห็นเส้นทางได้ดีขึ้น แต่ในบางสถานการณ์การเปิดไฟสูงเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำหากไม่จำเป็น ยกตัวอย่างดังนี้

• เปิดไฟสูงขณะรถคันอื่นสวนทางมา
• เปิดไฟสูงขณะขับรถตามหลังรถคันอื่น
• เปิดไฟสูงเพื่อไล่รถคันหน้า

เมื่ออยู่ในเหตุการณ์ที่ขับรถเจอหมอกหนาๆ หรือฝนตกหนัก แนะนำให้ใช้ไฟหน้ารถธรรมดาและเปิดไฟตัดหมอกควบคู่กันดีกว่า การเปิดไฟสูงควรใช้เฉพาะอยู่ในเขตนอกเมืองที่ไม่มีรถสวนทางมา หรือถ้ามีรถสวนทางมาก็ให้เปลี่ยนเปิดไฟหน้ารถตามปกติ และไม่ควรเสียมารยาทด้วยการเปิดไฟสูงเพื่อไล่รถคันที่อยู่ข้างหน้า

อ่านเพิ่มเติม : ไฟหน้ารถ ไฟหรี่ ไฟสูงและไฟท้ายใช้อย่างไรให้ปลอดภัย

10. จอดรถในบริเวณที่ห้ามจอด

“การจอดรถในบริเวณที่ห้ามจอด”  เป็นอีกหนึ่งพฤติกรรมที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เนื่องจากบริเวณที่ห้ามจอดไม่ใช่ที่สำหรับจอดรถเฉพาะทาง บางคนที่เคยจอดรถทิ้งไว้มักถูกเฉี่ยวชนบ่อย บางคนพบรอยขูดขีดไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งไม่รู้ด้วยว่าใครเป็นคนทำ และการจอดรถในที่ห้ามจอดอาจทำให้การจราจรติดขัดด้วย ทางที่ดีให้เราสังเกตป้ายหรือพื้นทางก่อนว่าอนุญาตให้จอดรถหรือไม่ หากใครฝ่าฝืนจอดรถในบริเวณที่ห้ามจอดจะต้องเสียค่าปรับไม่เกิน 500 บาท

หมายเหตุ : เครื่องหมายห้ามหยุดรถ จะมีลักษณะแถบสีแดงสลับสีขาว หมายความว่า ห้ามหยุดห้ามจอดรถทุกชนิด

ทั้งหมดนี้คือ 10 พฤติกรรมเสี่ยงอุบัติเหตุที่ไม่ควรทำขณะขับรถ  สิ่งสำคัญคุณควรเคารพกฎจรารและมีมารยาทในการขับขี่ เพราะทุกคนต่างใช้รถใช้ถนนร่วมกัน เราต้องคำนึงถึงเพื่อนร่วมทางด้วย เช่น แสดงน้ำใจร่วมกัน ไม่ควรเร่งเครื่องขณะมีคนข้ามทางม้าลาย แสดงคำขอบคุณ และขอโทษต่อเพื่อนร่วมทางหากเราทำผิด ถึงแม้จะฟังดูเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่สามารถสร้างความรู้สึกดีๆ บนท้องถนนได้

สุดท้ายนี้เพื่อนๆ อย่าลืมเตรียม ต่อประกันรถยนต์ กับ bolttech.co.th ที่คุ้มครองรถของคุณจากอุบัติเหตุบนท้องถนน ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุรถชนกัน รถหาย รถไฟไหม้ ภัยธรรมชาติ และความคุ้มครองเสริมอื่นๆ เรามีให้บริการครบวงจรตามที่คุณต้องการ พร้อมให้คำแนะนำเลือกซื้อแผนประกันภัยที่เหมาะสมกับคุณ มั่นใจในการขับขี่มากขึ้น

The post 10 พฤติกรรมที่เสี่ยงอุบัติเหตุบนถนน appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

ขับรถชนคนเสียชีวิตต้องขึ้นศาลไหม

นอกจาก อุบัติเหตุขับรถชนคนจะส่งผลกระทบระยะยาวต่อจิตใจผู้ขับขี่และครอบครัวผู้เสียชีวิตแล้ว แน่นอนว่า ผู้ก่อเหตุจะต้องขึ้นศาลเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายแพ่งและอาญา 
อ้างอิงประมวลกฎหมายอาญาที่เกี่ยวกับความผิดฐานกระทำโดยประมาท มาตรา 291 ระบุว่า “ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 20,000 บาท” ซึ่งจะมีการพิจารณาคดีตามเหตุอีกครั้งตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามกระบวนการยุติธรรมครับ
แนะนำว่า ผู้ก่อเหตุห้ามชนแล้วหนีเด็ดขาด! เก็บหลักฐานทั้งหมดที่มีไว้สู้คดี เช่น ภาพจากกล้องติดรถยนต์ จะต้องแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำ แสดงตัวต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดีที่สุด พร้อมกับบอกเหตุการณ์ตามจริง รวมทั้งแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุดังกล่าวให้ดีที่สุด และชดใช้ค่าเสียหายต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามความสมควรให้กับญาติผู้เสียหาย

ขับรถชนคนประกันจ่ายไหม 

หากคุณมีประกันรถยนต์อยู่แล้ว ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุแล้วมีผู้เสียชีวิตขึ้น จะกลายเป็นคดีอาญาที่ต้องส่งฟ้องศาลทันที ตรงนี้บริษัทประกันจะช่วยประกันตัวผู้ขับขี่ตามทุนประกันที่เราเลือกไว้ครับ 
โดยทั่วไปประกันรถยนต์หรือประกันภาคสมัครใจทุกชั้นจะมีวงเงินประกันตัวผู้ขับขี่อยู่แล้ว แต่ถ้าทุนประกันไม่พอประกันตัว ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเป็นผู้แจ้งว่า “จะต้องหาหลักทรัพย์มาประกันตัวเท่าไหร่ ?”
พร้อมกันนี้ ประกันรถยนต์ยังมีวงเงินคุ้มครองต่อชีวิตบุคคลภายนอกเพิ่มเติมจากความคุ้มครองของพ.ร.บ.รถยนต์ด้วยนะซึ่งจะคุ้มครองตามวงเงินที่ทำไว้ล่ะครับ  
แม้ว่าประกันรถยนต์จะช่วยดูแลเหตุการณ์ เราก็ไม่ควรขับรถอย่างประมาท ไม่หัวร้อนจะดีที่สุด จำไว้ว่า “ยิ่งเร็ว ยิ่งเสี่ยง เลี่ยงได้ก็เลี่ยงครับ” ขับขี่ปลอดภัยใส่ใจเพื่อนร่วมทางดีกว่านะ 
ขอบคุณข้อมูลจาก ปรึกษากฎหมายฟรี
Content by Butter Cutter

The post ขับรถชนคนประกันรถยนต์จ่ายไหม ? appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

คำตอบ คือ ผู้บาดเจ็บ (คนซ้อน) คุณจะต้องขอเอกสาร พ.ร.บ.จักรยานยนต์ของพี่วินมอเตอร์ไซค์เพื่อใช้เบิกเคลมค่ารักษากับโรงพยาบาลครับ ไม่ว่าคุณจะเจ็บแค่ถลอก เจ็บหนัก แขนหัก ขาหัก หรือศีรษะแตก ฯลฯ ต้องใช้เอกสาร พ.ร.บ.จักรยานยนต์ในการเบิกเคลมนะ

ความคุ้มครองของประกันภาคบังคับ หรือพ.ร.บ.จักรยานยนต์ จะมีความคุ้มครองค่าเสียหายเบื้องต้นตามจริงอยู่แล้ว วงเงินคุ้มครองสูงสุด 3 หมื่นบาท 

นั่งวินแล้ววินพาล้ม 3 ขั้นตอนเคลมรักษา (มอไซค์ล้มเอง) 

ขั้นตอน 1 ขอเอกสาร พ.ร.บ. จักรยานยนต์ และพาคนเจ็บส่งโรงพยาบาล หรือพาตัวเองไปโรงพยาบาลก่อน

เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นและมีผู้ได้รับบาดเจ็บแน่นอนว่าต้องรีบพาคนเจ็บส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุดใกล้ที่เกิดเหตุที่สุด เพื่อความปลอดภัย ซึ่งค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลจะเริ่มจากความคุ้มครองของพ.ร.บ.ก่อน ถ้าค่ารักษาเกินวงเงินถึงจึงจะเคลมจากสิทธิการรักษาอื่น ๆ ตามลำดับ เช่น

• ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล (Personal Accident Insurance)
• ประกันสังคม (Social Security) หรือประกันกลุ่มสวัสดิการพนักงาน (Group Insurance)
• ซึ่งความคุ้มครองจะเพิ่มเติมขึ้นมา หากมีการรักษาต่อเนื่อง เป็นส่วนเสริมจาก พ.ร.บ.จักรยานยนต์ ล่ะครับ

บทความที่คุณอาจจะสนใจ : เช็คประกันสังคม ด้วยวิธีการชิลที่สุดในโลก

ขั้นตอน 2 แจ้งเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล และยื่นเอกสารการเคลม

เมื่อถึงโรงพยาบาลใกล้ที่สุด จะต้องแจ้งเจ้าหน้าโรงพยาบาลว่า เกิดเหตุอะไรขึ้น เกิดเหตุที่ไหน ทะเบียนรถที่เกี่ยวข้องมีหมายเลขใดบ้าง (ในที่นี้คือป้ายทะเบียนจักรยานยนต์รับจ้างหรือวินมอเตอร์ไซค์)

พร้อมกับยื่นหน้าตาราง พ.ร.บ. จักรยานยนต์ แจ้งใช้สิทธิเบิกเคลมรักษาพยาบาลตาม พ.ร.บ.ตามทะเบียนรถมอเตอร์ไซต์ ทุกโรงพยาบาลจะมีแผนกที่ดูแลการเคลม พ.ร.บ. อยู่แล้ว หลังจากนั้นให้เราไปแจ้งความเพื่อลงบันทึกประจำวัน ใช้ประกอบการเคลมที่บริษัทกลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถจำกัดภายใน 180 วัน (6 เดือน) นับจากที่เกิดเหตุ (โทร.1791) 

กรณีที่ต้องสำรองเงินจ่ายค่ารักษาก่อนให้เตรียมเอกสารใช้ในการเบิกค่าชดเชยที่บริษัทกลางคุ้มครองผู้ประสบภัย ประกอบด้วย

• สำเนาบัตรประชาชน พร้อมรับรองสำเนาถูกต้อง
• สำเนาใบขับขี่ พร้อมรับรองสำเนาถูกต้อง
• สำเนาทะเบียนรถ (ถ้ามี)
• หน้าตาราง พ.ร.บ.
• บันทึกประจำวันจากตำรวจ
• ใบเสร็จค่ารักษาพยาบาล
• ใบรับรองแพทย์
  

ขั้นตอนที่ 3 รับเงินชดเชย กรณีสำรองจ่ายด้วยตนเอง

หลังจากทำทุกอย่างครบ ผู้บาดเจ็บจะได้รับเงินค่ารักษาชดเชย ภายใน 7 วันทำการตามที่กฎหมายกำหนดเอาไว้ ซึ่งประกันภาคบังคับหรือพ.ร.บ. จักรยานยนต์ให้ความคุ้มครองเกือบทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็น ทะเบียนรถขาด, ไม่มีใบขับขี่ และเมาสุราด้วย ดังนั้น ผู้โดยสารทั้งหลายอย่าลืมรักษาสิทธิ์ของตัวเองนะครับ หากนั่งวินแล้ววินพาล้มจนบาดเจ็บหนัก ต้องรักษาตัว ต้องใช้พ.ร.บ.จักรยานยนต์ช่วยเคลมรักษาพยาบาลนะ

และหากเจอเหตุวินพาล้ม และพี่วินดึงดันไม่ยอมให้เอกสาร พ.ร.บ.จักรยานยนต์ใช้เบิกค่ารักษาตัว เราสามารถแจ้งความลงบันทึกประจำวันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ครับ แต่ต้องจำป้ายทะเบียน หากจำชื่อได้ยิ่งดีเลยครับ ตรงนี้เจ้าหน้าที่จะเป็นผู้ดำเนินการให้เอง ย้ำว่า แจ้งความกับ สน.ท้องที่เกิดเหตุนะ

Content by Butter Cutter

The post ทำไงดี ? วินมอไซค์พาล้มจนบาดเจ็บเคลมกับใคร appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

อุบัติเหตุรถชนสุดแปลก แบบนี้ก็มีด้วย !!

1. รถยนต์ถูกรถบัสลากไปทั้งคัน

เริ่มต้นด้วยคลิปแรก เมื่อรถยนต์คันหนึ่งชนท้ายรถบัส แล้วถูกรถบัสลากไปกลางถนน โดยที่คนขับรถบัสไม่รู้ตัว!! แล้วคนขับรถยนต์ก็ยังคงอยู่ในรถเช่นกัน  หากสังเกตดีๆตรงบริเวณล้อหลังของรถยนต์จะยกตัวลอยด้วย จนทำให้คนอื่นต้องเข้ามาช่วยกันดูครับ จากเหตุการณ์ครั้งนี้จะเห็นได้ว่า หากเราขับรถด้วยความประมาท อุบัติเหตุก็ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ ดังนั้นเราจะต้องคอยหัดสังเกตผู้ใช้รถใช้ถนนร่วมกัน  ไม่อย่างงั้นจะเป็นเหมือนแบบในคลิปนี้ครับ

2. เมื่อพยายามจอดรถ แต่มันดันเบรกไม่อยู่ !!

ต่อมาเป็นคลิปวิดีโอที่เจ้าของรถยนต์คันหนึ่ง ต้องการจะเลี้ยวเพื่อนำรถไปจอด แต่โชคร้ายดันเบรคไม่อยู่ เลยทำให้รถปีนขึ้นบันไดบ้าน และชนรถของคนอื่นอีกหลายคัน ถือว่าเป็นอุบัติเหตุรถยนต์สุดแปลก แบบไม่น่าเกิดขึ้นจริงๆ จนทำให้เจ้าของบ้านต้องออกมาดูกันเลยครับ เป็นยังไงบ้างล่ะ?! จะจอดรถทั้งที มันอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับใครบางคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมือใหม่หัดขับ ก็ต้องหมั่นฝึกท่าจอดอยู่บ่อยๆ เพราะว่ามันจะช่วยนำไปประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตจริง และยังปลอดภัยต่อผู้ใช้ถนนร่วมกันด้วย

3. เบี่ยงรถชนกัน บนกลางถนน

ถือเป็นอีกหนึ่งอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด เพราะมาจากความโกรธแท้ๆครับ สำหรับรถมอเตอร์ไซค์กับรถยนต์คันหนึ่ง กำลังตอบโต้กันบนท้องถนน โดยในคลิปเริ่มจากคนขับมอเตอร์ไซค์ได้ใช้ขาของเขาไปยันรถยนต์ของผู้เสียหาย จนเป็นเหตุให้เจ้าของรถยนต์คันดังกล่าวโกรธมาก จึงพยายามจะเบี่ยงรถของตัวเอง เพื่อไปชนรถมอเตอร์ไซต์ แต่กลับทำไม่สำเร็จ และเสียหลักไปชนรถคันอื่นแทนครับ ดังนั้น การเรียนรู้มารยาทในการขับขี่ก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะนอกจากจะไม่ทำให้ตัวเองเสียหายแล้ว ยังไม่ทำให้ผู้อื่นเดือนร้อนเหมือนกัน

4. ขับรถไม่พ้น จนตกกลางช่อง

พลาดไม่ได้เลยครับ !! กับคลิปวิดีโอสุดโด่งดังทั่วโลก เมื่อมีผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นเจ้าของรถยนต์คันสีดำ กำลังขับรถเข้าร้านน้ำมันแห่งหนึ่ง แต่ดันขับไปตกร่องซะงั้น เพราะเดินรถผิดตำแหน่ง ถึงแม้ว่าพนักงานจะพยายามห้ามแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถหยุดรถคันดังกล่าวได้ จนทำให้รถตกลงไปในช่องเล็กๆ แล้วก็ได้ถูกเผยแพร่ออกมาเป็นคลิปสุดแปลก แบบน่าไม่เชื่อ งั้นเราลองมาดูคลิปกันเลยดีกว่า !!

5. รถไหลชนกันนับสิบ เพราะพายุหิมะ

มาถึงอีกหนึ่งคลิปที่สร้างเสียงฮือฮาไม่เเพ้กันเลยครับ สำหรับเหตุการณ์รถชนกันนับสิบ !! เพราะมาจากพายุหิมะ จึงทำให้รถทั้งหมดไถลลื่นมาชนกัน ซึ่งบางคันก็ไม่สามารถควบคุมรถของตัวเองได้ หรือบางคันก็จอดทิ้งไว้แล้วไหลลงมา เรียกว่าเสียหายหลายคันเลยทีเดียว นอกจากคลิปนี้จะเตือนภัยอุบัติเหตุบนท้องถนนแล้ว ยังเตือนภัยเรื่องของธรรมชาติอีกด้วย ถ้าหากคุณอยากขับรถอย่างปลอดภัย ก็ควรศึกษาเส้นทาง และสภาพภูมิอากาศของช่วงนั้นให้ดีเช่นกัน  นะครับ

6. หลบรถสามล้อ พุ่งข้ามเกาะกลางถนน

ลองมาชมคลิปต่อมา ที่สามารถเตือนภัยทุกคนได้เป็นอย่างดี จะเป็นสถานการณ์ที่รถยนต์สีขาวคันหนึ่งพยายามขับแซงรถคันอื่น แต่ดันไปเจอกับรถมอเตอร์ไซต์ที่กำลังขับอยู่ข้างทาง เลยจำเป็นต้องหักหลบ !! แต่โชคร้ายซ้ำซ้อนไปเจอกับรถสามล้ออีกคัน จึงทำให้เสียหลักพุ่งข้ามเกาะถนนไปอีกฝั่งครับ จากคลิปนี้ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าเราไม่ขับรถเร็ว และมีมารยาทในการขับขี่ร่วมกัน เราทุกคนก็จะปลอดภัยและไม่เป็นเหตุให้ผู้อื่นเดือดร้อนนั่นเอง

7. สัตว์วิ่งตัดหน้ารถ ชนกระจายหลายคัน

ใครจะไปคิดล่ะ?! ว่าสัตว์ตัวเล็กๆ เดินข้ามถนน จะทำให้เกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ได้ แต่มันก็เกิดขึ้นจริงจากคลิปวิดีโอนี้ครับ ซึ่งเหล่าสัตว์ป่ากำลังเดินออกมาจากพุ่มไม้ เพื่อข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้าม แต่มีสัตว์ตัวหนึ่งที่ข้ามถนนไม่ทัน จึงทำให้รถยนต์ต้องเบรคกระทันหัน เป็นเหตุให้รถที่ตามมาอีกสองคันชนท้ายเต็มๆ และไม่เพียงแค่นั้นนะ !! ยังมีรถบรรทุกพุ่งเข้ามาชนรถยนต์ของผู้เสียหายทั้งหมดเลยครับ กลายเป็นคำถามที่หลายคนสงสัยว่า สำหรับกรณีสัตว์วิ่งตัดหน้ารถ จนเกิดอุบัติเหตุคนได้รับบาดเจ็บ แล้วใครจะเป็นฝ่ายผิดชอบล่ะ? อันนี้ตามกฎหมายได้กล่าวไว้ว่า ห้ามบุคคลใดเลี้ยงสัตว์บริเวณทางหลวง ไม่ว่าจะจูง ไล่ต้อน หรือปล่อยสัตว์ เพื่อกีดขวางการจราจร หากฝ่าฝืนผู้เลี้ยงสัตว์จะต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายครับ
แต่ก็ใช่ว่าคนขับรถไม่ผิดเสมอไปนะ หากเห็นว่ามีสัตว์ป่ากำลังข้ามถนนในระยะที่สามารถเบรคได้ แต่ขับรถด้วยความเร็วสูง ก็ถือว่าเป็นความประมาทของผู้ขับรถ  ดังนั้น ฝ่ายคนขับก็จะต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายเช่นกัน 

8. จอดรถอยู่นิ่งๆ แต่มีรถพุ่งมาชน

อย่างที่ Frank บอกว่า เราไม่ควรประมาทแม้แต่วินาทีเดียว ต้องลองไปชมคลิปวิดีโอนี้ดูครับ เพราะขนาดจอดรถมอเตอร์ไซต์อยู่นิ่งๆ เพื่อรอผ่านตรงบริเวณทางกลับรถ แต่ก็มาซวยเพราะมีรถยนต์พุ่งเข้ามาชนอย่างแรง ซึ่งคนขับมอเตอร์ไซต์มีไหวพริบดี จึงสามารถหลบได้ทัน และปลอดภัยครับ โดยส่วนมากสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุรถชนกันนั้น ก็มาจากการขับรถด้วยความเร็วสูงนั่นเอง จนเป็นเหตุให้เราควบคุมรถตัวเองไม่ได้ และเกิดอุบัติเหตุตามมาครับ ดังนั้น สิ่งที่ป้องกันภัยนี้ได้ ก็คือ อย่ามักง่าย และอย่าขับรถเร็วเด็ดขาด รวมถึงฝึกทำตามกฎจราจรอยู่บ่อยๆ ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีขับรถปลอดภัยจากอุบัติเหตุได้ดีครับ

9.  อุบัติเหตุของบนรถบรรทุกร่วงใส่ หรือเสียบทะลุรถ

หากคุณขับรถดีอยู่แล้ว คิดว่าปลอดภัยจริงหรอครับ? ก็ต้องลองมาชมคลิปนี้ก่อน เมื่อมีรถยนต์คันหนึ่งขับรถออกมา เพื่อจะผ่านตรงบริเวณทางแยก ก็มีรถบรรทุกไม้ไผ่คันหนึ่งเบรกกระทันหัน เลยทำให้ไม้ไผ่เกือบทั้งหมดพุ่งมาเสียบรถยนต์ของผู้เสียหาย ราวกับหนังสยองขวัญเลยครับ สำหรับอุบัติเหตุนี้น่ากลัวมากๆ และเราสามารถป้องกันภัยนี้ได้ด้วยการเว้นระยะห่างจากรถบรรทุกคันหน้าให้มากกว่าปกติ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถบรรทุกที่กำลังขนของครับ เพราะเราก็ไม่รู้ว่าจะมีของที่อยู่ด้านหน้าหรือด้านหลังหล่นลงมาที่รถของเราหรือเปล่า ก็ต้องหัดสังเกตเพื่อนที่ใช้รถใช้ถนนร่วมกันอีกด้วย

10. ขับรถชนที่กั้นรถไฟ ไม่รอให้สัญญาณเปิด

เมื่อขับรถฝ่าฝืนกฎจราจร และไม่มีวินัยในการขับรถ ก็จะเป็นเหมือนในคลิปวิดีโอนี้ครับ จะเป็นเหตุการณ์ที่คนขับรถไม่หยุดรอสัญญาณรถไฟ และขับรถพุ่งชนที่กั้นจนเสียหาย ถึงแม้ว่ารถไฟจะยังมาไม่ถึงก็ตาม หากที่กั้นทางกำลังปิดอยู่ หรือมีเสียงเตือนว่ารถไฟกำลังมา เราก็ต้องหยุดรอก่อน ให้ห่างจากรถไฟอย่างน้อย 5 เมตร และมองดูทั้งด้านซ้ายและด้านขวา หลังจากรถไฟผ่านแล้ว จึงจะสามารถเคลื่อนรถต่อไปได้ครับ  ซึ่งการเรียนรู้กฎจราจรก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง จะช่วยทำให้เราปลอดภัยมากขึ้น หรือคุณจะลองศึกษากฎหมายจราจรเพิ่มเติมจาก ข้อสอบใบขับขี่ 2562 ได้เช่นกันนะ ยังมีให้คุณอ่านอีกเพียบ !!
จากทั้งหมดที่เพนกวิน Frank รวบรวม 10 อุบัติเหตุรถยนต์ทั่วโลก ถือเป็นเพียงตัวอย่างเตือนภัยเล็กๆน้อยๆ เท่านั้นนะครับ ซึ่งจะเห็นได้ว่าอุบัติเหตุบนท้องถนนนั้นเป็นเรื่องใกล้ตัวทุกคนมากๆ หากเราเคารพกฎจราจร มีวินัยในการขับขี่ และมีสติอยู่เสมอ ก็จะสามารถป้องกันอุบัติเหตุได้เป็นอย่างดีครับ หรือถ้าคุณอยากเพิ่มความอุ่นใจอีกสักหน่อย ก็สามารถ ซื้อประกันรถยนต์ กับ frank.co.th ได้เช่นกันนะ จะคอยช่วยคุ้มครองเมื่อเกิดอุบัติเหตุไม่คาดคิดกับรถของคุณ รวมถึงดูแลค่ารักษาพยาบาลของผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร และคู่กรณีอีกด้วยครับ ถือว่าช่วยเเบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของคุณได้ดีเลยล่ะ!

The post 10 อุบัติเหตุรถยนต์ที่ไม่น่าเกิดขึ้นทั่วโลก appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

เมื่อก่อน frank ยังมองไม่เห็นความสำคัญในการติดกล้องติดรถยนต์เท่าไหร่ คิดว่าแค่ทำประกันชั้น 1 ก็คุ้มครองทุกอย่างอยู่แล้ว ก็คงมีหลักฐานเพิ่มไว้...คงยังไม่จำเป็นเท่าไหร่ล่ะมั้ง? จนกระทั่งวันนึง frank โดนรถจักรยานยนต์ซ้อน 2 ขับมาตัดหน้าระหว่างรอเลี้ยวข้ามแยกไฟแดงและได้ชนพวกเขาจนล้มไปทั้งรถทั้งคน งานเข้าซิครับ! รีบลงไปดูก่อนเลยว่ามีคนบาดเจ็บรึเปล่า? แล้วรีบโทรหาบริษัทประกันทันที แต่ยังไม่ได้เคลื่อนย้ายรถกะว่ารอเจ้าหน้าที่เคลมมาก่อนดีกว่า
ระหว่างรอนั้นก็สอบถามกันไป-มาว่าไม่บาดเจ็บแน่นะจะได้พาไปโรงพยาบาล น้องๆ ที่ขี่มอร์เตอร์ไซต์ก็ตอบรับอย่างดีว่าไม่บาดเจ็บ ซักพักเจ้าหน้าที่ประกันมาพร้อมๆ กับเพื่อนของรถจักรยานยนต์ที่ถูกชนมาถึงแล้วก็พูดว่า “รถเก๋งขับไปชนท้ายรถเพื่อนเค้านี่นา เพื่อนเค้าไม่ผิดนะรถเก๋งผิด” จนเจ้าหน้าเคลมต้องบอกว่า “จะไปชนท้ายได้ไง ชนกลางรถซะขนาดนั้นรอยก็มี อย่ามั่วน้อง” เรื่องราวจึงจบตามความจริงที่ควรจะเป็น

ทำไมต้องติดกล้องติดรถยนต์?

จากประสบการณ์ตรงที่เจอมา น่าจะตอบกันได้นะครับว่าทำไมครวรติดกล้องรถยนต์ โดยเฉพาะรถที่พ่อ-แม่เราขับควรมีเป็นอย่างยิ่งเพื่อจะได้รู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไรกันแน่ และอีกอย่างตอนนี้มิจฉาชีพบนท้องถนนมีเยอะ เราจะได้มีหลักฐานเพื่อดำเนินคดีได้โดยทันที สมัยนี้หากินกันแปลกๆ ครับ โดยสรุปแล้ว

• คลิปจากกล้องหน้ารถเป็นหลักฐานเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น
• ใช้เป็นส่วนลดเพิ่มเติมในการต่อประกันรถยนต์ 5-10% ของเบี้ยประกันสุทธิเลยนะครับ
• ระบุทะเบียนรถผู้กระทำผิดได้อย่างชัดเจนในกรณีที่รถเราทำประกันชั้น 2+ จะได้แจ้งเคลมแบบมีคู่กรณีได้
• ช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุได้

ส่วนการเลือกซื้อกล้องติดรถยนต์นั้น เราสามารถเลือกตามงบประมาณที่เราสะดวกตั้งแต่หลักร้อนถึงหลักพันบาท การใช้แบตเตอรี่ในตัวกล้องเองหรือจะต่อกับแบตเตอรี่รถยนต์ก็ดี หรือจะเลือกแบบมีทั้งกล้องหน้า-หลังพร้อมเลยก็ได้ ความจุของเมมโมรี่การ์ดก็มีให้เลือกแบบนานมากขึ้นอาจจะเก็บข้อมูลเป็นอาทิตย์ต่อเมมโมรี่การ์ด 1 อันก็ได้นะครับ เพราะภาพที่เราบันทึกไว้นั้นนอกจากเพื่อยืนยันเหตุการณ์ของรถเราเองแล้ว หลายครั้งที่เราสามารถช่วยคนอื่นๆ ที่ประสบเหตุจากเหตุการณ์ชนแล้วหนีได้เช่นเดียวกันครับ

ควรเริ่มติดกล้องหน้ารถเมื่อไหร่ดี?

วลีเด็ด “เจอคนแบบนี้ในสังคมแบบนี้แย่มากจริงๆ ครับ” จากอดีตดีเจคนหนึ่งในอุบัติเหตุถอยรถชนท้ายที่ยังดีมีคนถ่ายคลิปจากโทรศัพท์มือถือไว้ทัน ทำให้เรารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นนั้นน่าจะเป็นตัวบอกให้เราไปติดกล้องหน้ารถทันทีเลยดีกว่าครับ
แล้วถ้าบริษัทประกันไหนไม่ปฏิบัติตามคำสังของ คปภ. ในเรื่องของการมอบส่วนลด ถือว่ามีความผิดมาตรา 90 ตามพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย มีโทษปรับไม่เกิน 3 แสนบาทเลยครับ
อุบัติเหตุไม่เคยมีสัญญาณบอกล่วงหน้าและเมื่อเราต้องการหลักฐานอาจจะไม่โชคดีมีคนถ่ายคลิปไว้ให้ก็ได้นะครับ

Credit :

• www.posttoday.com
• car.kapook.com
• www.thairath.co.th 
• www.youtube.com
• car.kapook.com

The post ต่อประกันรถได้ส่วนลด 5-10% เมื่อติดกล้องติดรถยนต์ appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

จากคลิปเรื่องของวินัยจรารจรที่ frank ไปเจอมาจาก Facebook page Toolmorrow ที่เล่าถึงการทำผิดกฎหมายจราจรของพวกเราเอง และคำว่า “หยวนๆ ปล่อยไปก่อนได้ไหม?” “เป็นของขวัญปีใหม่ได้ไหม?” หรือบางคนถึงขั้นหยิบเงินออกมาด้วยความเคยชินนั้น บอกอะไรกับเราบ้างครับ?

อุบัติเหตุบนถนนเกิดจากสาเหตุอะไร?

เรามาดูเรื่องของสาเหตุของเรื่องกันก่อนเลยว่า 5 อันดับแรกจากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติที่เป็นต้นตอของอุบัติเหตุทางรถยนต์นั้นเกิดจากอะไรบ้าง?

1. เมาแล้วขับ  

ข้อนี้รู้ๆ กันอยู่เนอะ เพราะเห็นมีการรณรงค์ “เมาไม่ขับ” กันทุกปี แต่ก็ยังไม่มีใครโค่นแชมป์ลงได้เลย เราควรดีใจไหมนะ

2. ขับรถเร็ว

เรื่องนี้เกิดจากทั้งทักษะในการควบคุมรถของคนขับ และสภาพถนนที่เราเดินทางไปด้วยนะครับ ว่าเราควบคุมรถได้อยู่ไหม? หรือถ้าเราเดินทางไปที่ที่เราไม่เคยไปมาก่อน ไม่คุ้นเส้นทาง เราก็แค่อย่าขับเร็วเผื่อต้องมีการหยุดรถหรือเลี้ยวกระทันหัน

3. หลับใน

ที่เกิดจากทั้งการเตรียมตัวก่อนการเดินทางไม่พร้อม หรือเกิดจากการขับรถกลางแดดจัดเป็นเวลานานๆ ก็ทำให้เกิดอาการง่วงนอนได้

4. ขับรถผิดกฎจราจร

เรื่องนี้คงต้องมอบแชมป์ให้กับมอเตอร์ไซค์ที่เราเห็นกันอย่างชินตา ทั้งเรื่องของการขับรถย้อนศร ไม่สวมหมวกนิรภัย ขี่รถบนทางเท้า กลับรถในที่ห้ามกลับรถ จอดรถมอเตอร์ไซค์บนทางเท้า บทและอื่นๆ อีกมากมาย

5. สภาพรถไม่พร้อมใช้งาน

เป็นอีกเรื่องของการเตรียมความพร้อมของรถก่อนใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นสภาพของเครื่องยนต์ที่ควรเข้าศูนย์บริการเพื่อตรวจเช็คตามระยะการใช้งาน หรือสภาพของยางรถยนต์เพื่อหลีกเลี่ยงยางรถยนต์ระเบิดเมื่อขับที่ความเร็วสูงหรือระยะทางไกล
เราจะเห็นได้ว่าส่วนมากแล้วสาเหตุของอุบัติเหตุนั้นเกิดจาก “คน” ซะส่วนใหญ่ และ “วินัยจราจร” ก็ต้องเกิดขึ้นจากคนที่มาใช้ถนนร่วมกันเคารพกฎเดียวกันเพื่อช่วยให้การขับขี่บนท้องถนนเกิดความปลอดภัยมากที่สุด หรือลดความเสี่ยงของอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นเพราะตัวเราเองที่ทำให้คนอื่นได้รับอันตราย และเพื่อความไม่ประมาทอ่านข้อมูลเกี่ยวกับประกันรถยนต์เพิ่มได้นะครับ

มีกฎหมายห้ามอยู่แล้วนะว่าปรับ 400-1,000 บาท แต่เราก็ยังเห็นกันอยู่ทุกวัน บางคันมีหันมองหน้าเราหรือบีบแตรใส่เราซะ

การจับปรับมอเตอร์ไซค์ขี่บนทางเท้า

ถ้าเราพูดถึงชนิดของรถที่เกิดอุบัติเหตุแล้วล่ะก็ คงจะเดากันได้ว่ามอเตอร์ไซค์น่าจะเป็นแชมป์มาแล้วหลายสมัย และด้วยจำนวนรถมอเตอร์ไซค์ที่จดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกๆ ปีทำให้สัดส่วนของการเกิดอุบัติเหตุพุ่งสูงขึ้นตามไปด้วย
ความกวดขันของตำรวจจราจรซึ่งเป็นผู้ควบคุมและดูแลให้คนที่ใช้รถใช้ถนนร่วมกันเคารพกฎหมาย ซึ่งที่ frank เห็นแล้วมันรู้สึกคันในหัวใจคือ การขี่รถบนทางเท้าของรถมอเตอร์ไซค์ เพราะมีกฎหมายห้ามอยู่แล้วนะว่าปรับ 400-1,000 บาท แต่เราก็ยังเห็นกันอยู่ทุกวันบางคันมีหันมองหน้าเราหรือบีบแตรใส่เราซะอีกเวลาที่เราเดินไม่หลบให้ หืม...ที่จริงแล้วเราสามารถแจ้งความเพื่อดำเนินคดีได้นะครับ

Credit: .tcijthai.com, news.mthai.com, news.mthai.com, service.nso.go.th

The post เมื่ออุบัติเหตุบนถนนเกิดจากวินัยจราจรแล้วแก้ไงดี? appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.