1. ดื่มน้ำก่อนรับประทานอาหาร

การดื่มน้ำประมาณ 1-2 แก้วก่อนรับประทานอาหารจะช่วยให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น ทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง ซึ่งจะช่วยลดปริมาณแคลอรี่ที่ได้รับ

2. ทดแทนเครื่องดื่มอื่นด้วยน้ำเปล่า

งดเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลและแคลอรี่สูง เช่น น้ำอัดลม น้ำผลไม้ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ให้ดื่มน้ำเปล่าแทน เพื่อลดการได้รับแคลอรี่และน้ำตาลส่วนเกิน

3. พกขวดน้ำติดตัวไปด้วยตลอดเวลา

การมีขวดน้ำติดตัวจะเตือนให้เราดื่มน้ำบ่อยครั้งขึ้น ช่วยให้ได้รับน้ำในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

4. เลือกดื่มน้ำเย็น

น้ำเย็นจะช่วยให้ร่างกายต้องใช้พลังงานในการทำให้น้ำอุ่นขึ้นเพื่อย่อย ซึ่งจะช่วยเผาผลาญแคลอรี่ได้มากกว่าน้ำอุ่น

5. ดื่มน้ำก่อนรู้สึกหิว

อย่ารอให้รู้สึกหิวจึงค่อยดื่มน้ำ เพราะนั่นอาจทำให้รับประทานอาหารมากเกินไป ให้ดื่มน้ำทุก ๆ 2 ชั่วโมง เพื่อรักษาระดับความอิ่มของร่างกาย

6. เพิ่มผลไม้เข้าไปในน้ำดื่ม

การใส่ผลไม้ลงในน้ำ เช่น ส้ม มะนาว แอปเปิ้ล จะช่วยเพิ่มรสชาติและกลิ่นหอมให้น้ำ ทำให้อยากดื่มน้ำมากขึ้น

7. ดื่มน้ำก่อนและหลังออกกำลังกาย

การดื่มน้ำก่อนและหลังออกกำลังกาย เพื่อช่วยให้ร่างกายไม่ขาดน้ำ เพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญแคลอรี่ระหว่างออกกำลังกายด้วย หากทำแพลนการดื่มน้ำใน 1 วัน สามารถทำตามได้อย่างง่ายดาย ดังต่อไปนี้

• 07.00 น. ดื่มน้ำ 1 แก้ว หลังตื่นนอน ช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น กระตุ้นการขับถ่าย
• 08.00 น. ดื่มน้ำ 1 แก้ว ก่อนอาหารเช้า 1 ชม. เพื่อป้องกันอาการท้องอืดท้องเฟ้อ
• 09.00 - 10.00 น. ดื่มน้ำ 1-2 แก้ว เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายทำงานได้เต็มที่ ชำระล้างของเสียออกจากร่างกาย
• 11.00 น. ดื่มน้ำครึ่งแก้ว ก่อนอาหารเที่ยง 1 ชม. จะช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มเร็วขึ้น ทานอาหารได้น้อยลง
• 12.00 น. จิบน้ำเล็กน้อยเพื่อล้างปาก ไม่ควรดื่มน้ำเยอะเพราะจะทำให้น้ำย่อยเจือจาง ย่อยอาหารได้ไม่ดี
• 13.00 - 16.00 น. ดื่มน้ำ 2-3 แก้ว จิบเพื่อดับกระหายระหว่างวัน เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว
• 17.00 - 19.00 น. ดื่มน้ำ 1 แก้ว ก่อนอาหารเย็น 1 ชม. หาเวลาออกกำลังกาย และจิบน้ำให้ได้ 1-2 แก้ว
• 20.00 - 21.00 น. ดื่มน้ำ 1 แก้ว จิบเรื่อยๆ เพื่อให้ระบบเลือดและระบบลำไส้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น
• 22.00 น. ดื่มน้ำ 1 แก้ว ก่อนนอน 1 ชม. เพื่อชำระล้างสิ่งตกค้างในลำไส้

การปฏิบัติตามวิธีเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ ถือช่วยให้คุณดื่มน้ำได้ในปริมาณที่เหมาะสม ส่งผลให้กระบวนการลดน้ำหนักเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับคนที่อยากลดความอ้วนและดูแลสุขภาพ และต้องไม่ลืมที่จะออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยหากใครมีแพลนลดน้ำหนักใน 1 เดือน สูตรลดน้ำหนักแบบเร่งรัดนั้นไม่มีเพราะว่าทุกอย่างต้องใช้เวลา นอกจากนี้คุณควรมองหา ประกันสุขภาพ จากบริษัทประกันชั้นนำควบคู่ไปด้วย คุ้มครองค่ารักษาเมื่อเจ็บป่วย เกิดอุบัติเหตุ ครอบคลุมค่าห้อง ค่าอาหาร ซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ ไม่ต้องตรวจสุขภาพ นำมาลดหย่อนภาษีได้ เข้ามาเทียบแผนที่ bolttech.co.th ได้เลย

The post วิธีดื่มน้ำลดน้ำหนัก บำรุงผิวสวย สุขภาพดี appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

1.โรคนอนไม่หลับเรื้อรัง

เมื่อหัวถึงหมอนและถึงเวลาที่ต้องนอน บางคนอาจจะนอนหลับยากแม้จะทำทุกวิถีทาง และอาจจะใช้เวลามากกว่า 30 นาทีถึงจะสามารถหลับได้ แม้จะหลับไปได้สักพักก็จะเกิดอาการหลับๆ ตื่นๆ ตลอดทั้งคืนจนกระทั่งไม่สามารถนอนหลับได้อีกเพราะนอนไม่หลับสมองไม่หยุดคิด นอกจากนี้ยังส่งผลให้เข้าห้องน้ำบ่อยๆ เพราะร่างกายจะดูดซับน้ำมากกว่าคนปกติ หากใครมีอาการแบบนี้ 1 เดือนขึ้นไปก็แสดงว่าเข้าข่ายเป็นโรคนอนไม่หลับเรื้อรังเพราะนอนไม่พอ

2.โรคหลอดเลือดหัวใจ

คนนอนไม่พอมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ เพราะสารโปรตีนจะสะสมในตัวเรามากยิ่งขึ้นในเวลาที่เราตื่นโดยธรรมชาติ เมื่อเรานอนดึก สารเหล่านี้จะเข้าไปเกาะที่บริเวรหลอดเลือดหัวใจจนทำให้เกิดการอุดตัน ซึ่งผู้หญิงที่มีอายุต่ำกว่า 60 ปีนั้น มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจจากการนอนไม่พอมากถึง 2 เท่า

3.โรคมะเร็งลำไส้

มะเร็ง เป็นอีกหนึ่งโรคที่น่ากลัว สามารถเกิดขึ้นได้กับคนที่นอนไม่พอ นอนดึกตื่นเช้าใช้ชีวิตวนลูปไปแบบคนสมัยนี้ ไม่ค่อยออกกำลังกาย ทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่และเป็นอาหารที่ไม่มีประโยชน์ จนทำให้เกิดอาการลำไส้อักเสบและลุกลามจนเป็นโรคมะเร็งลำไส้ เพราะระบบย่อยอาหารทั้งหมดจะรวนไปด้วย ทำให้ร่างกายทำงานผิดปกติจนท้องอืดท้องเฟ้อ กระเพาะย่อยอาหารช้า

4.โรคเบาหวาน

โรคยอดฮิตที่คนสมัยนี้มีโอกาสเป็นง่ายมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเพราะการใช้ชีวิตหรือกรรมพันธู์ เมื่อคนที่มีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานนั้นการนอนไม่พอจะส่งผลให้ระดับกลูโคสในร่างกายจะเพิ่มมากขึ้นถึง 23% ระดับอินซูลินในเลือดเพิ่มขึ้นถึง 48% ส่วนคนที่เป็นเบาหวานอยู่แล้วจะมีภาวะดื้ออินซูลิน

5.โรคอารมณ์แปรปรวน หรือไบโพล่าร์

ปัจจุบันนี้เรื่องเครียดก็มีเยอะแยะมากมายอยู่แล้ว ยิ่งเป็นคนนอนไม่พอก็ส่งผลให้เกิดความเครียดมากขึ้นไปอีกจนกลายเป็นไบโพล่าร์ เดี๋ยวอารมณ์ดีได้สักพักก็กลายเป็นคนอารมณ์ร้ายโดยไม่มีสาเหตุ กระสับกระส่าย สมองคิดช้าลงและทำตามสันชาตญาณมากขึ้นจึงทำให้ทำอะไรลงไปโดยที่ไม่ได้คิดไตร่ตรองให้ดีก่อน ควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้

6.โรคเสื่อมสมรรถภาพ

จัดว่าเป็นโรคที่ถ้าเลือกได้ก็ไม่มีใครอยากเป็น แต่สำหรับคนที่นอนไม่พอก็มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้ เพราะฮอร์โมน “เทสโทสเทอโรน” ในร่างกายจะต่ำลง จึงทำให้มีความรู้สึกและความต้องการทางเพศต่ำลง

สุขภาพไม่ใช่เรื่องล้อเล่น หรือเรื่องที่ต้องละเลย เพราะถ้าคุณป่วยขึ้นมาอาจทำให้ค่าใช้จ่ายบานปลายได้ ต้องมองหาประกันสุขภาพดูแล ที่สามารถคุ้มครองค่ารักษาเมื่อเจ็บป่วย หรือประสบอุบัติเหตุ มีทั้งแผนผู้ป่วยใน (IPD) และ ผู้ป่วยนอก (OPD) ครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งค่าห้อง ค่าอาหาร ซื้อง่ายผ่านออนไลน์ ไม่ต้องตรวจสุขภาพ เพียงแค่ผู้ทำประกันภัยมีอายุ 21-55 ปี ซื้อประกันสุขภาพ ลดหย่อนภาษีได้ พร้อมรับโปรโมชันพิเศษ 

The post โรคนอนไม่หลับ (Insomnia) อันตรายต่อสุขภาพอย่างไร? appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

1. ซุปไก่ร้อนๆ

งายวิจัยพบว่า ซุปไก่ร้อนๆ มีฤทธิ์ยับยั้งการเคลื่อนที่ของเม็ดเลือดขาวชนิดที่เรียกว่า "นิวโทรฟิลด์" ไปยังเนื้อเยื่อของปอด ทำให้ลดอาการอักเสบในปอด ลดอาการไอ แก้เจ็บคอ แก้หวัดลงคอ แนะนำให้ใส่ผักลงไปในซุบไก่ด้วย เช่น แครอท มะเขือเทศ หัวหอม ผักชี เป็นต้น เพราะผักจะมีวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย 

2. น้ำขิง

“ขิง” ขึ้นชื่อเรื่องสมุนไพรไทย ที่มีประโยชน์สารพัด เช่น ต้านหวัด เจ็บคอ ไอ คัดจมูก เป็นต้น สำหรับวิธีทำน้ำขิงง่ายๆ เพียงนำขิงแก่มาหั่นเป็นชิ้นบางๆ แล้วไปต้มกับน้ำร้อน จากนั้นเติมน้ำตาลนิดหน่อย ทิ้งไว้ให้อุ่นแล้วดื่มกิน ถือเป็นยาชั้นเลิศเลย เพราะรสร้อนๆ ของขิงมีสารจิงเกอร์รอล ที่ช่วยต่อสู้กับเชื้อไวรัสไข้หวัด นอกจากนี้สารแคปไซซินช่วยป้องกันไข้หวัดใหญ่ ละลายเสมหะ ลดน้ำมูก ทำให้หลอดลมขยายตัวได้ดีและ หายใจโล่งขึ้น 

3. ชาร้อน

เจ็บคอ กินอะไรหายเร็ว? ขอแนะนำให้คุณลองจิบชาร้อนๆ ทั้งช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ ปรับร่างกายให้ผ่อนคลาย ชาร้อนยังเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกายด้วย ไม่ว่าจะเป็นชาเขียว ชาคาโมมายล์ ชาตะไคร้เตยหอม ชาน้ำขิงมะนาว หรือ ชาเปปเปอร์มิ้น  ที่มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก บรรเทาอาการหวัด แล้วที่สำคัญชายังมีสรรพคุณลดความดันโลหิต ลดคอเลสเตอรอล จึงเป็นเหตุผลที่หลายคนดื่มชาร้อนเพิ่มมากขึ้น 

4. ผลไม้ที่มีวิตามิน C สูง

ต้านโรคหวัด ด้วยผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่ กีวี สับปะรด แอปเปิ้ล ฝรั่ง ส้ม เสาวรส และ ผลไม้ตระกูลเบอร์รี เป็นต้น เพราะวิตามิน C จะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันต่อสู้กับเชื้อโรคในร่างกาย  มีสารต้านอนุมูลอิสระ ลดความรุนแรงของอาการหวัด โดยกรมอนามัยแนะนำให้คนไทยควรได้รับวิตามินซีจากอาหารในปริมาณต่างๆ เช่น ผู้ชาย 100 มิลลิกรัมต่อวัน และ ผู้หญิง 85 มิลลิกรัมต่อวัน หากร่างกายขาดวิตามินซีจะทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย เลือกออกตามไรฟัน แผลหายช้า กล้ามเนื้ออ่อนแรง ดังนั้น เราควรทานวิตามินซีให้เพียงพอกับร่างกาย เสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกันโรคได้ 

5. ต้มยำกุ้ง

เมื่อพูดถึงอาหารที่โปรดปรานของชาวต่างชาติ ก็ต้องนึกถึง "เมนูต้มยำกุ้ง" เป็นเมนูอาหารที่ทำง่ายๆ ใช้สมุนไพรไทยเน้นๆ เช่น ใบมะกรูด ตระไคร้ ขิง ข่า มะนาว โดยเฉพาะพริกที่มีสรรพคุณบรรเทาอาการหวัด ลดอาการไอ เนื่องจากพริกมีสารแคปไซซิน (Capsaicin) ทําให้มีรสเผ็ดร้อน กระตุ้นให้ต่อมในหลอดลมหลั่งน้ำเมือกออกมา ช่วยขับเสมหะได้ง่าย แต่ควรใส่พริกพอดี ไม่ทานเผ็ดเกินไป เดี๋ยวจะเป็นโรคกระเพาะอักเสบครับ

ส่วนสมุนไพรไทย อย่างเช่น ขิง ข่า ตระไคร้ มะนาว จะช่วยต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ ขับลม แน่นเฟ้อ จุกเสียด บรรเทาโรคกระเพาะอาหาร ใครที่ชื่นชอบเมนูแซ่บๆ ต้มยำกุ้งก็ลองทำทานได้ตามใจชอบ

นอกจากอาหารเสริมภูมิต้านทาน แก้หวัด ที่กล่าวมานี้ ทุกคนอย่าลืมทานอาหารที่ถูกตามหลักโภชนาการ ทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ นอนหลับให้เพียงพอ เท่านี้จะช่วยให้คุณมีสุขภาพที่ดีขึ้น พอสู้กับโรคหวัดได้ แต่หากอาการไม่ดีขึ้นควรรีบไปหาหมอ เพื่อทำการรักษาจะดีที่สุด

เพราะไข้หวัดติดต่อกันได้ง่าย ซื้อประกันสุขภาพ bolttech.co.th พิเศษ! ลดสูงสุด 10% เพียงกรอกโค้ด BHA คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วย ทั้งค่ายา ค่าห้อง ค่าอาหาร และอื่นๆ ที่ระบุในกรมธรรม์ อุ่นใจกว่า มีแผนผู้ป่วยใน (IPD) และ ผู้ป่วยนอก (OPD) ซื้อผ่านออนไลน์ได้ ไม่ต้องตรวจสุขภาพ สนใจเข้ามาเลือกแผนเลย!

The post เป็นหวัด คัดจมูก เจ็บคอ กินอะไรหายเร็ว? appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

ทั้งนี้ประกันโรคร้ายแรง มีเงื่อนไขบางอย่างที่ต้องศึกษาให้ถี่ถ้วนก่อน เพื่อประโยชน์ตัวคุณเอง มาดู 5 สิ่งที่คุณต้องรู้ก่อนตัดสินใจซื้อประกันโรคร้ายแรง สรุปไว้ให้แล้ว!

1. ประกันโรคร้ายแรง ไม่ได้คุ้มครองทันที

หลายคนเข้าใจผิดว่า เมื่อตรวจเจอโรคร้าย ประกันโรคร้ายแรงจะคุ้มครองทันที แต่ในความเป็นจริงประกันโรคร้ายแรงจะมีระยะเวลารอคอยตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ (Waiting Period) โดยส่วนใหญ่มีระยะเวลารอคอย ประมาณ 90 วันนับตั้งแต่กรมธรรม์มีผลบังคับใช้  แต่บางโรคอาจใช้ระยะเวลารอคอยนานกว่านั้น เช่น 120 วัน ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดและเงื่อนไขของบริษัทประกันภัย ผู้ที่ทำประกันต้องอ่านเงื่อนไขให้ละเอียดก่อนทำประกันภัยทุกครั้ง

2. ศึกษาโรคหรือเงื่อนไขที่ไม่คุ้มครอง

โดยข้อยกเว้นประกันโรคร้ายแรง เช่น สภาพที่เป็นมาก่อนเอาประกันภัย หรืออาการแทรกซ้อนที่เกี่ยวกับโรคร้ายแรงก่อนทำประกันภัย โรคมาจากพันธุกรรม โรคเอดส์ หรือกามโรคหรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รวมถึงโรคร้ายแรงใดๆ ของผู้เอาประกันภัยอันเป็นผลจากการติดยาเสพติดให้โทษหรือแอลกอฮอล์ และโรคที่เกิดขึ้นก่อนเอาประกันภัย

ทั้งนี้ประกันโรคร้ายแรงจะคุ้มครองโรคร้ายแรงที่ต่างกันไป เช่น โรคมะเร็ง โรคกล้ามเนื้อหัวใจ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดสมองแตกหรืออุดตัน โรคไตวายเรื้อรัง เป็นต้น โดยขึ้นอยู่กับรายละเอียดแผนของแต่ละบริษัทประกันภัย

3. ต้องแถลงข้อมูลสุขภาพตามความจริง

อย่างที่รู้กันดีว่า ประกันโรคร้ายแรงของ bolttech.co.th สามารถซื้อได้ทันที ไม่ต้องตรวจสุขภาพ แต่ถึงอย่างไรผู้เอาประกันภัยจะต้องแถลงข้อมูลสุขภาพตามความจริง เช่น เคยมีโรคร้ายแรงก่อนทำประกันภัยหรือไม่ หรือคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคร้ายแรงหรือไม่ โดยผู้เอาประกันภัยจะต้องตอบคำถามตามความเป็นจริง กรณีพบว่าผู้เอาประกันภัยปกปิดความเป็นจริงหรือให้ความเท็จกับทางบริษัทประกัน บริษัทอาจมีสิทธิล้างสัญญาประกันโรคร้ายแรงได้ทันที ดังนั้นผู้เอาประกันภัยต้องแถลงสุขภาพไปตามความจริง เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง และให้เจ้าหน้าที่เลือกแผนประกันที่เหมาะสมกับคุณมากที่สุด

4. ยิ่งอายุน้อย เบี้ยยิ่งถูก

อายุของผู้เอาประกันภัย ถือว่ามีผลต่อเบี้ยประกันภัยเช่นกัน หากคุณซื้อประกันโรคร้ายแรงในขณะที่อายุยังน้อย เบี้ยประกันจะถูกกว่าเมื่อเทียบกับตอนที่อายุมากขึ้น ส่วนคนที่มีอายุน้อยจะมีโอกาสเจ็บป่วยน้อยกว่า ร่างกายยังเเข็งแรงดี ทำให้ค่าเบี้ยถูกกว่า เช่นเดียวกับประกันสุขภาพ 

ยกตัวอย่าง นางเอ ซื้อประกันโรคร้ายแรงในขณะที่มีอายุ 25 ปี ถือว่าอายุยังน้อย กับนางบีซื้อประกันโรคร้ายแรงในขณะที่มีอายุ 50 ปี เบี้ยประกันของนายเอจะถูกกว่านายบี ทำตอนอายุน้อยยิ่งเบี้ยถูกครับ

5. ประกันโรคร้ายแรง ลดหย่อนภาษีได้

หากใครที่กำลังมองหา ประกันลดหย่อนภาษี รู้หรือไม่ว่า? ประกันโรคร้ายแรงนั้นสามารถลดหย่อนภาษีได้ตามจริง เช่น ประกันโรคมะเร็ง เป็นต้น โดยผู้เอาประกันภัยสามารถนำเบี้ยประกันไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 25,000 บาทต่อปี และ เมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตต้องไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี

บทความนี้หวังว่า ช่วยให้เพื่อนๆ ซื้อประกันภัยได้เหมาะสมมากที่สุด ดังนั้นคุณควรศึกษาความคุ้มครอง เงื่อนไข และข้อยกเว้นก่อนตัดสินใจซื้อประกันโรคร้ายแรง ให้ครอบคลุมการใช้ชีวิตและอยู่ในงบประมาณที่ตั้งไว้ สุดท้ายนี้เพิ่มความอุ่นใจด้วย ประกันโรคร้ายแรง bolttech.co.th ลดทันที 10% เพียงกรอกโค้ด BCI เจอโรคร้าย รับเงินก้อน ครอบคลุมโรคมะเร็ง และโรคร้ายแรงกว่า 10 ชนิด นำไปลดหย่อนภาษีได้ ไม่ต้องตรวจสุขภาพ คุ้มครองอุ่นใจต่อปี

The post 5 สิ่งต้องรู้ก่อนซื้อประกันโรคร้ายแรง appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

1. กระเป๋าเดินทาง

ของขวัญปีใหม่ 2567 ที่เอาใจสายเที่ยว สายเดินทางบ่อยๆ ด้วยกระเป๋าเดินทางสุดเก๋ ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าเดินทางลาก กระเป๋าเป้เดินทางน่ารักๆ สามารถใส่ของใช้ส่วนตัวได้ โดยเฉพาะคนไหนที่ต้องเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัด หรือเที่ยวประเทศบ่อยๆ รับรองว่าเขาได้ใช้งานแน่นอน! สมัยนี้มีตัวเลือกหลากหลายรูปแบบ ขนาดกระเป๋าเดินทางทั้งเล็กและใหญ่ กระเป๋าเดินทางราคาถูก ใครชอบแบบไหน เลือกได้ตามใจชอบเลย

2. เซ็ตครีมบำรุงผิว

เข้าสู่หน้าหนาวทีไร ผิวแห้งแตกทุกที! ก็ต้องบำรุงกันสักหน่อย ซื้อเซตของขวัญปีใหม่ด้วยครีมบำรุงผิว แนะนำให้เลือกครีมบำรุงผิวหรือโลชั่นบำรุงผิวคนที่ถูกกับสภาพผิวของคนที่เราจะให้ด้วย นอกจากนี้ยังมีครีมออร์แกนิก (Organic) ที่เป็นธรรมชาติโดยปราศจากสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อผิว เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจไม่แพ้กัน พกไปเที่ยวหน้าหนาวจะช่วยบำรุงผิวได้มากๆ ทำให้ผิวชุ่มชื้น นุ่มเนียนมากขึ้น เหมาะสำหรับของขวัญปีใหม่เฉพาะ

3. Gift Voucher

ถ้าคุณคิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะซื้อของขวัญปีใหม่อะไรดี ขอแนะนำ บัตรกำนัล หรือ Gift Voucher อย่างเช่น บัตรกำนัลเซ็นทรัล โรบินสัน ท็อปส์ โลตัส บิ๊กซี หรือ บัตรกำนัลร้านอาหารเครื่องดื่ม เช่น Starbucks BBQ Plaza ไปจนถึงบัตรกำนัลที่พัก โรงแรม เป็นต้น อยากให้เขาใช้งบประมาณไหน จัดไปเลยตามใจชอบ

4. ชุดของขวัญชา

ซื้อของขวัญปีใหม่อะไรดีให้ผู้ใหญ่ ขอแนะนำ ชุดของขวัญชาชนิดซอง (TEA BAG GIFT SET) ถือเป็นของขวัญที่เหมาะสำหรับผู้ใหญ่ใช้ได้ทั้งเป็นผู้ชายและหญิง โดยเฉพาะคนที่ชื่นชอบดื่มชาเป็นประจำ สามารถซื้อเป็นเช็ตชาหลากหลายกลิ่น หลายรสชาติได้ เช่น ชาอูหลง ชาขาว ชาเขียว ชาดำ ชาสมุนไพร ชามะลิที่มีกลิ่นหอมละมุนๆ ซึ่งการดื่มชาจะช่วยให้รู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย ลดไขมันสะสม ลดคลอเลสเตอรอล และช่วยทำให้นอนหลับง่ายขึ้น

5. ประกันสุขภาพ

ซื้อของขวัญปีใหม่ 2024 ที่ล้ำค่ามากที่สุด ด้วยประกันสุขภาพเหมาจ่ายต่อปี ใช้ประโยชน์ได้ในอนาคต กรณีเจ็บป่วยขึ้นมาจะคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล ทั้งค่าห้อง ค่ายา ครอบคลุมไปจนถึงค่ารักษาพยาบาลอุบัติเหตุ  สามารถเข้ามาเลือก แพ็กเกจประกันสุขภาพ ที่ bolttech.co.th มีทั้งแผนผู้ป่วยใน (IPD) และผู้ป่วยนอก (OPD) เลือกความคุ้มครองได้ตามที่คุณต้องการ นอกจากนี้ถ้าคุณซื้อประกันสุขภาพให้พ่อแม่ เป็นของขวัญปีใหม่ นำมาลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย ได้ตามที่จ่ายจริงหรือสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาทต่อปี มาทำประกันสุขภาพเพื่อคนที่คุณรักกันเถอะ!!

The post ของขวัญปีใหม่ 2567 ให้คนที่คุณรัก appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

โรคมะเร็งปากมดลูก เกิดจากอะไร?

มะเร็งปากมดลูก เกิดขึ้นในเซลล์ปากมดลูกที่อยู่บริเวณช่วงล่างของมดลูกและเชื่อมต่อกับช่องคลอด โดยติดเชื้อไวรัสชนิดฮิวแมนแปปปิโลมาไวรัส (Human Papillomavirus) หรือเอชพีวี (HPV) ชนิดที่ก่อให้เกิดมะเร็ง มีทั้งหมด 15 สายพันธุ์ จากทั้งหมด 100 สายพันธุ์ โดยเฉพาะ HPV สายพันธุ์ที่ 16 และ 18 ที่ทำให้เสี่ยงเกิดโรคมะเร็งปากมดลูก มักจะติดต่อทางเพศสัมพันธ์

พฤติกรรมที่เสี่ยงโรคมะเร็งปากมดลูก มีอะไรบ้าง

1. เปลี่ยนคู่นอนหลายคน

การเปลี่ยนคู่นอนหลายคน ถือเป็นพฤติกรรมที่เสี่ยงมะเร็งปากมดลูกมากที่สุด เนื่องจากมีโอกาสติดเชื้อ HPV จากคู่นอนได้ผ่านจากการมีเพศสัมพันธ์ และสามารถติดต่อทางการสัมผัสได้ เสมือนเป็นพาหะที่นำพาเชื้อไปสู่ช่องคลอด นอกจากนี้ยังมีโอกาสเกิดหูดหงอนไก่ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง รวมถึงมีเซ็กส์กับคู่นอนที่มีความเสี่ยงสูง เท่ากับคุณได้เพิ่มโอกาสเสี่ยงมะเร็งปากมดลูกให้กับตัวเองด้วย

2. มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุไม่ถึง 18 ปี

การมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุไม่ถึง 18 ปี เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งปากมดลูก  เพราะเป็นช่วงอายุที่มีความไวต่อการติดเขื้อไวรัส HPV ไม่สามารถต้านทานไวรัสได้ดี จากงานวิจัยพบว่าเด็กที่มีอายุ 9 – 14 ปี ควรเน้นฉีดมะเร็งปากมดลูก 2 เข็ม เพราะได้ประสิทธิภาพเทียบเท่ากับการฉีด 3 เข็มในผู้ใหญ่ หากได้รับวัคซีนก่อนการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันได้มีประสิทธิภาพกว่า

3. สูบบุหรี่เป็นประจำ

รู้หรือไม่ว่า? การสูบบุหรี่ เป็นอันสาเหตุที่ทำให้เกิด “มะเร็งปากมดลูก” เพราะบุหรี่มีสารเคมีปะปนมากมายกว่า 4,000 ชนิด และยังมีสารที่ก่อโรคมะเร็ง  โดยเฉพาะผู้หญิงที่ชอบสูบุหรี่บ่อยๆ จะทำให้มีผลโดยตรงต่อระบบสืบพันธุ์ของเพศหญิง ทำให้เกิดภาวะมีบุตรยาก เกิดภาวะวัยทองเร็วขึ้น อาการรุนแรงมากขึ้น และมีภูมิคุ้มกันเชื้อโรคต่ำ เพิ่มความเสี่ยงทั้งโรคมะเร็งปอด โรคมะเร็งเต้านม และโรคมะเร็งปากมดลูกในผู้หญิง 

4. กินยาคุมเป็นเวลานาน

สำหรับผู้ที่กินยาคุมติดต่อกันเป็นเวลานาน มากกว่า  5-10 ปี งานวิจัยพบว่าจะเพิ่มความเสี่ยงทั้งมะเร็งเต้านม และมะเร็งปากมดลูก เนื่องจากยาคุมอาจมีผลในการกระตุ้นเชื้อไวรัส HPV (Human Papilloma Virus) ไม่ว่าจะเป็นเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา รวมถึงเชื้อไวรัสชนิดนี้ด้วย ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงการกินยาคุมเป็นเวลานานๆ หาทางป้องกันวิธีอื่นดีกว่า อย่างเช่น การสวมใส่ถุงยางจะช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อผ่านการมีเพศสัมพันธ์

5. ไม่ฉีดวัคซีน HPV ป้องกันไว้

การมีเพศสัมพันธ์ เปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ โดยไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกัน HPV จะเพิ่มโอกาสเกิดโรคมะเร็งปากมดลูก  โดยเชื้อไวรัสนี้จะเข้าไปเปลี่ยนแปลงเซลล์บริเวณปากมดลูก ทำให้กลายเป็นเซลล์นื้อร้าย หรือมะเร็ง ด้วยเหตุนี้เองในผู้หญิงควรฉีดวัคซีนตั้งแต่อายุ 9-26 ปี ถึงแม้ว่าการฉีดวัคซีน HPV ไม่สามารถป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้ 100% แต่จะช่วยลดความเสี่ยงได้มากถึง 70% ครอบคลุมเชื้อ HPV สายพันธุ์ 16 และ 18 เป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องคลอด และ มะเร็งปากช่องคลอด

ข้างต้นนี้ถือเป็น พฤติกรรมเสี่ยงในการใช้ชีวิต ที่อาจทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก เพราะเชื้อไวรัส HPV (Human Papilloma Virus) นั้นมีหลายสายพันธ์ แต่ที่รู้จักคือ สายพันธุ์ 16 และ 18 ที่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งปากมดลูกและทวารหนัก ส่วน สายพันธุ์ 6 และ 11 จะทำให้เกิดหูดหงอนไก่ (พบได้บ่อยในเพศชาย) ดังนั้น ผู้หญิงและผู้ชายที่อายุตั้งแต่ 9 ปีขึ้นไป สามารถฉีดวัคซีน HPV ในปัจจุบันนี้มีวัคซีนป้องกันได้มากถึง 9 สายพันธุ์  ได้แก่  6, 11, 16, 18, 31, 33, 45, 52 และ 58  ถือว่าเป็นวัคซีนที่ครอบคลุม ลดความเสี่ยง และป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกได้

อย่าปล่อยให้โรคร้ายมาเยือน ซื้อประกันโรคร้ายแรง ลดสูงสุด 12% ที่ bolttech.co.th ตรวจพบโรคร้าย รับเงินก้อน!! คุ้มครองโรคมะเร็งทุกชนิด ทุกระยะ หรือเลือกแผนคุ้มครองโรคร้ายแรงอื่นๆ 10 ชนิด อย่างเช่น  โรคปอดระยะสุดท้าย โรคหลอดเลือดสมองแตก โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หรือโรคไตวายเรื้อรัง เป็นต้น ช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายในการรักษาได้ ทำให้คุณใช้ชีวิตได้อย่างอุ่นใจมากขึ้น

The post ทำแบบนี้บ่อยๆ เสี่ยงมะเร็งปากมดลูก appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

(หมายเหตุ: ข้อมูลการลดหย่อนภาษีอาจมีการเปลี่ยนแปลง ให้ตรวจสอบข้อมูลจากทางกรมสรรพากรอีกครั้ง)

1. ประกันชีวิตทั่วไป

แผนประกันชีวิต มีหลายประเภทให้คุณเลือก ประกันชีวิตจะคุ้มครองชีวิตแก่ผู้ที่ทำประกันชีวิตเอาไว้ โดยหากผู้ทำประกันเสียชีวิตจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน บริษัทประกันจะจ่ายเงินตามทุนประกันให้แก่ผู้รับประโยชน์ตามสัญญา   

• ประกันชีวิตทั่วไป ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาทตามจำนวนที่จ่ายจริง และไม่เกิน 100,000 บาทเมื่อรวมเงินฝากแบบมีประกันชีวิต  นอกจากนี้ยังสามารถซื้อประกันชีวิตของคู่สมรสที่ไม่มีรายได้ ต้องเป็นคู่ที่แต่งกันมาทั้งปี สิทธิลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง ไม่เกิน 10,000 บาท 

ประกันชีวิตทั่วไป มีกี่ประเภทบ้าง?

• ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ (Whole Life)

คุ้มครองชีวิตระยะยาว ค่าเบี้ยประกันไม่สูง และจ่ายเบี้ยเพียงช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น โดยบริษัทประกันจะจ่ายเงินให้กับผู้รับประโยชน์ เมื่อผู้เอาประกันเสียชีวิต หรือมีชีวิตอยู่ครบตามสัญญา 

• ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา (Term)  

คุ้มครองชีวิตระยะเวลาสั้นๆ ค่าเบี้ยประกันไม่สูง โดยบริษัทประกันจะจ่ายเงินให้กับผู้รับประโยชน์เมื่อผู้เอาประกันเสียชีวิตเท่านั้น หากครบกำหนดแล้วผู้เอาประกันยังมีชีวิตอยู่จะไม่ได้รับทุนประกันคืน

• ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ (Endowment)

เป็นประกันที่คุ้มครองชีวิตและเงินออมได้ในขณะเดียวกัน ผู้ทำประกันจะได้รับเงินตามจำนวนที่ระบุเอาไว้ในกรมธรรม์เมื่อเสียชีวิตหรือเมื่อสัญญาครบกำหนด มีระยะเวลาตั้งแต่ 10 ปี 20 ปี หรือ 30 ปี หรือครบอายุผู้เอาประกัน 60 ปี

• ประกันชีวิตควบการลงทุน (Investment Linked Life Insurance) 

เป็นประกันที่รวมการลงทุนในกองทุนรวม ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้การันตีผลตอบแทน ให้ความคุ้มครองสูง เบี้ยประกันถูก 

2. ประกันชีวิตแบบบำนาญ

เป็นความคุ้มครองรายได้หลังเกษียณ กำหนดให้จ่ายเบี้ยประกันจนกว่าจะเริ่มรับเงินบำนาญ (อายุอย่างน้อย 55 ปี) โดยทางบริษัทจะจ่ายเงินเกษียณเป็นงวดรายปีไปเรื่อยๆ จนกว่าจะครบอายุที่กำหนดในสัญญา 

• ประกันชีวิตแบบบำนาญ ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 15% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท 
• ประกันชีวิตแบบบำนาญ เมื่อรวมกับสิทธิลดหย่อนเพื่อการเกษียณอายุอื่นๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท หากไม่ได้ใช้สิทธิ์ในประกันชีวิตแบบทั่วไป 
• ประกันชีวิตแบบบำนาญ ลดหย่อนได้สูงสุด 300,000 บาท หากไม่ได้ใช้สิทธิ์ลดหย่อนสำหรับประกันชีวิตทั่วไป คือ สามารถแบ่งเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญไปรวมกับเบี้ยประกันชีวิตทั่วไปให้ครบสิทธิ์ 100,000 บาท

มีเงื่อนไขที่ว่าต้องมีระยะเวลาคุ้มครอง 10 ปีขึ้นไป และต้องทำกับบริษัทประกันในไทย รวมถึงต้องจ่ายผลประโยชน์สม่ำเสมอ

3. ประกันสุขภาพ

ประกันสุขภาพ เปรียบเสมือนหลักประกันที่คุ้มครองคุณเมื่อยามเจ็บป่วย หรือได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล ค่าผ่าตัด ค่าห้อง ค่ายา ค่าอาหาร และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ รวมถึงการชดเชยกรณีทุพพลภาพและการสูญเสียอวัยวะเนื่องจากการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ

• ซื้อประกันสุขภาพให้ตัวเอง

คนในช่วงวัยทำงาน ที่มีอายุตั้งแต่ 21-55 ปี เหมาะสำหรับประกันสุขภาพ (ยิ่งอายุน้องยิ่งเบี้ยถูก) ถือเป็นทางเลือกที่ช่วยคุ้มครองเพิ่มเติมจากสิทธิประกันสังคม โดยเฉพาะค่ารักษาพยาบาลเมื่อยามเจ็บป่วย การทำประกันสุขภาพให้ตนเอง นำมาลดหย่อนภาษี 2566 ได้สูงสุด 25,000 บาท/ปี  เมื่อรวมค่าลดหย่อนกับเบี้ยประกันชีวิตทั่วไปแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาท

• ประกันสุขภาพให้พ่อแม่

ทำประกันสุขภาพให้พ่อแม่  สามารถลดหย่อนภาษีได้ตามจริงสูงสุด 15,000 บาท/ปี  โดยคุณพ่อคุณแม่ไม่จำเป็นต้องอายุ 60 ปีขึ้นไป แต่มีเงื่อนไขที่ว่ารายได้ของพ่อแม่ต้องไม่เกิน 30,000 บาท/ปี และคุณต้องเป็นลูกตามกฎหมายของพ่อแม่

• กรณีแบ่งจ่ายร่วมกับพี่น้อง ใครมีโอกาสได้ลดหย่อนภาษี?

คำตอบคือ พี่น้องทุกคนๆ สามารถลดหย่อนภาษีได้ โดยจะต้องหารเฉลี่ยค่าเบี้ยประกันเท่ากันๆ อย่างเช่น นายเอกับนายบี เป็นพี่น้องกัน จ่ายเบี้ยประกันประกันสุขภาพให้พ่อแม่ เบี้ยเป็นจำนวน 15,000 บาท เมื่อหารกันสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้คนละ 7,500 บาท

5. ประกันโรคร้ายแรง

รู้หรือไม่ว่า ประกันโรคร้ายแรง (Critical Illnesses) สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ เหมือนกับประกันสุขภาพทั่วไปอย่างเช่น ประกันโรคมะเร็ง โดยประกันภัยโรคร้ายแรง ที่คุ้มครองในรูปแบบของ “เจอ จ่าย จบ” ได้รับเงินก้อนเมื่อตรวจพบโรคร้ายแรงที่ระบุในกรมธรรม์ เปรียบเสมือนตัวช่วยค่ารักษาพยาบาล นอกจากได้รับความคุ้มครองที่อุ่นใจ ยังนำไปลดหย่อนภาษีได้

6. ประกันอุบัติเหตุ

อีกหนึ่งคำถามที่หลายคนสงสัยคือ ประกันอุบัติเหตุ นำมาลดหย่อนภาษีได้ไหม?? โดยประกันอุบัติเหตุ หรือ PA สามารถนำมาลดหย่อนได้ แต่ต้องเป็นเฉพาะแผนที่ให้ความคุ้มครองเกี่ยวการค่ารักษาพยาบาล ทุพพลภาพ การสูญเสียอวัยวะ และการแตกหักของกระดูก ดังนั้นคุณอย่าลืมอ่านรายละเอียดความคุ้มครอง การลดหย่อนภาษี เนื่องจากแต่ละบริษัทประกันภัยจะมีเงื่อนไขที่ต่างกันไป

ซื้อประกันสุขภาพ ลดหย่อนภาษีได้ ที่ boltech.co.th คุ้มครองค่ารักษาเหมาจ่ายต่อปี ทั้งค่าห้อง ค่ายา ค่าอาหาร อุบัติเหตุก็เคลมได้ ไม่ต้องตรวจสุขภาพ โปรโมชันพิเศษ!! ลดสูงสุด 10% เพียงกรอกโค้ด BHA นำไปลดหย่อนภาษีได้ พร้อมรับความคุ้มครองที่อุ่นใจ

The post ซื้อประกันอะไรดี ลดหย่อนภาษีได้ ? appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

โรคมือเท้าปากเกิดจากอะไร

โรคมือเท้าปากเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง เป็นเชื้อไวรัสในกลุ่มเอนเทอโรไวรัส (Enterovirus) และคอคซาคีไวรัส (Coxsackievirus) มักพบได้บ่อยในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 10 ปี อาการโรคมือเท้าปากในเด็กจะรุนแรงมากกว่าวัยผู้ใหญ่ สามารถติดต่อผ่านการสัมผัสทางน้ำลาย น้ำมุก หรือตุ่มพองจากแผล นอกจากนี้ไอหรือจามยังสามารถติดต่อกันได้

อาการโรคมือเท้าปาก

• มีไข้สูง 1-2 วัน 
• กลืนน้ำลายแล้วเจ็บคอ 
• อ่อนเพลีย 
• มีแผลในปาก 
• เบื่ออาหาร  
• มีตุ่มน้ำใส 
• มีผื่นขึ้นเป็นจุดแดงขึ้นที่มือ เท้า (อาจมีผื่นตามลำตัว แขนและขาร่วมด้วย)

โรคมือเท้าปากอาการมักไม่รุนแรง และสามารถหายได้เองภายใน 7-10 วัน หากผู้ป่วยที่มีอาการแทรกซ้อนเช่น อาเจียนหนัก หายใจหอบ ชัก เดินเซ หมดแรง ให้รีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์โดยด่วน ทั้งนี้สามารถไปเช็คอาการเริ่มต้นได้ที่ สถาบันโรคผิวหนัง

วิธีป้องกันโรคมือเท้าปาก

โรคมือเท้าปาก สามารถติดต่อได้ผ่านการรับเชื้อไวรัสทางเดินอาหาร น้ำมูก และการหายใจ เรามีวิธีป้องกันโรคดังนี้ 

• สวมใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่อออกจากบ้าน 
• ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำสะอาดหรือเจลแอลกอฮอล์ 
• หลีกเลี่ยงการให้เด็กคลุกคลีหรือใกล้ชิดกับผู้ป่วย 
• ไม่ใช้ภาชนะในการรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น โดยเฉพาะช้อน จาน ชาม แก้วน้ำ ขวดนม 
• รับประทานอาหารที่สุก สะอาด ปรุงใหม่ๆ ไม่มีแมลงวันตอม ดื่มน้ำสะอาด 
• ไม่พาเด็กไปในสถานที่แออัด
• กรณีที่โรงเรียนพบว่า มีเด็กป่วยเป็นโรคมือเท้าปาก ควรแยกเด็กป่วยออกไปนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลหรือบ้าน 

เสริมเกาะป้องกันด้วยวัคซีน

รู้หรือไม่ว่า? ท่านสามารถป้องกันได้ด้วย วัคซีนป้องกันโรคมือเท้าปาก (EV71) แนะนำให้ฉีดวัคซีนในเด็กอายุตั้งแต่ 6 เดือนถึง 5 ปี ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง โดยฉีดเข้ากล้ามเนื้อจำนวน 2 เข็ม เว้นระยะห่างจากเข็มแรก 1 เดือน ทั้งนี้วัคซีนจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคมือเท้าปาก ลดอาการแทรกซ้อนอีกด้วย 

เพราะโรคภัยเป็นเรื่องใกล้ตัว ซื้อประกันสุขภาพ ที่ bolttech.co.th คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลเมื่อยามเจ็บป่วย อุบัติเหตุ ทั้งค่ายา ค่าห้อง ค่าผ่าตัด และอื่นๆ ที่ระบุในกรมธรรม์ ซื้อง่ายผ่านออนไลน์ ไม่ต้องตรวจสุขภาพ อุ่นใจตลอดการรักษา นำมาลดหย่อนภาษีปลายปีได้

The post โรคมือเท้าปาก เกิดจากอะไร วิธีป้องกัน appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

1. อาหารประเภททอด

“อร่อยปาก ลำบากท้อง” อย่างอาหารประเภททอด เรามักจะเห็นอาหารเจประเภททอดตามเทศกาลกินเจ ส่วนใหญ่มีทั้งแป้งและปริมาณไขมันสูง หากทานบ่อยๆ ส่งผลเสียต่อสุขภาพตามมาเช่น 

• โรคอ้วน ถึงแม้ร่างกายคนเราสามารถเผาผลาญพลังงานไปได้ แต่ถ้าเราได้รับพลังงานมากกว่าที่ร่างกายเผาผลาญ พลังงานนี้อาจกลายเป็นไขมันสะสมตามร่างกาย แล้วน้ำหนักตัวก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นจนเป็น “โรคอ้วน” 
• คอเลสเตอรอลสูง การที่ทานอาหารประเภทไขมันสูง จะทำให้ร่างกายได้สะสมไขมันมากขึ้น พบว่ามี “คอเลสเตอรอลสูง” เสี่ยงโรคร้ายแรงอื่นๆ ตามมาอีกเพียบ 
• โรคมะเร็ง ยิ่งกินอาหารที่มีไขมันสูง ยิ่งเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และโรคร้ายแรงอื่นๆ ตามมา

2. อาหารประเภทแป้ง

อาหารเจประเภทแป้ง ตามเทศกาลกินเจ มักจะเห็นอยู่มากมายอย่างเช่น ผัดไทยเจ ราดหน้าเจ ยากิโซบะ โดยเฉพาะเนื้อสัตว์เจที่มีส่วนผสมของแป้ง เป็นต้น เมื่อรับประทานในปริมาณที่มากเกินไปจะเพิ่มความเสี่ยงภาวะไขมันพอกตับได้ เพราะคาร์โบไฮเดรตจะถูกย่อยแล้วแปรเปลี่ยนกลายเป็นไขมัน ที่เรียกกันว่า “ไตรกลีเซอไรด์” เสี่ยงเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดอุดตัน ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง เสี่ยงเป็นโรคเบาหวานด้วย ดังนั้นคุณควรทานอาหารเพื่อสุขภาพ ที่มีประโยชน์ดีกว่า

3. อาหารที่มีรสจัด

กฎของการกินเจ 2566 ควรงดกินอาหารที่มีรสจัด เช่น หวานจัด เค็มจัด เผ็ดจัด มันจัด รวมถึงผักและผลไม้ที่มีกลิ่นฉุน แต่บางคนก็กินเจแบบผิดๆ ด้วยการทานอาหารที่มีรสจัด ยิ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพอีกด้วย ได้แก่

• อาหารเค็มจัด มีระดับโซเดียมสูง หากสะสมปริมาณโซเดียมเข้าสู่ร่างกายมากๆ ทำให้เกิดโรคไตตามมา 
• อาหารหวานจัด การบริโภคน้ำตาลเกินปริมาณไป ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาเช่นโรคอ้วน ไขมันสูง เบาหวาน และโรคอื่นๆ 
• อาหารมันจัด การรับประทานไขมันมากเกินไป เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ เช่น โรคอ้วน ไขมันในเลือดสูง เป็นต้น

เทศกาลกินเจ 2566 นอกจากได้ไปทำบุญ นั่งสมาธิ หรือกินอาหารเจแล้ว ดังนั้นเราควรใส่ใจเรื่องอาหารการกิน ทานอาหารสุขภาพ อาหารคลีนดีกว่า คุณควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภททอด แป้ง ไขมันสูง และอาหารที่มีรสชาติจัดๆ ไม่หวาน ไม่เค็ม หรือไม่เผ็ดเกินไป เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว ไม่เสี่ยงโรคร้ายด้วย 

อุ่นใจกว่า ซื้อประกันสุขภาพ bolttech.co.th คุ้มครองค่ารักษาเมื่อยามเจ็บป่วย ค่าห้อง ค่ายา ค่าผ่าตัด และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการรักษา ทั้งแผนผู้ป่วยใน (IPD) และผู้ป่วยนอก (OPD) ไม่ต้องสำรองจ่ายในโรงพยาบาลในเครือ เจ็บป่วยโรคทั่วไปมีระยะเวลารอคอย 30 วัน ซื้อผ่านออนไลน์ ไม่ต้องตรวจสุขภาพ ลดหย่อนภาษีได้

The post กินเจแบบผิดๆ ทำร้ายสุขภาพได้ไม่รู้ตัว!!  appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

1. ค่ารักษาโดยตรง (ค่าบริการตรวจ,รักษา,ค่ายา, อื่นๆ)

อย่างแรกเป็นค่ารักษาพยาบาลโดยตรง เช่น ค่าตรวจ ค่ารักษาพยาบาล ค่ายารักษาโรค ค่าบริการตรวจระดับน้ำตาลในเลือด เป็นต้น รวมทั้งค่าบริการต่างๆ ของโรงพยาบาล หลายคนอาจคิดว่าเป็นค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ ซึ่งอันที่จริงเป็นเพียงแค่ส่วนที่น้อยสุดเท่านั้น 

2. ค่าดูแลผู้ป่วย ค่าห้อง ค่าอาหารผู้ป่วย

นอกจากค่ายาและค่ารักษาที่ต้องใช้จ่ายแล้ว ก็มีค่ารักษาทางอ้อมอย่างเช่น ค่าดูแลรักษาผู้ป่วย ที่เป็นค่าใช้จ่ายสัดส่วนที่เยอะที่สุด ไม่ว่าจะเป็นค่าจ้างพยาบาลมาดูแลผู้ป่วย ค่าใช้จ่ายในการดูแลตนเอง ค่าห้องในการรักษาตัวหรือค่าอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานโดยเฉพาะ  พอรวมๆ ค่าใช้จ่ายก็ไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว 

3. ค่าดูแลรักษาจากผลภาวะแทรกซ้อน

รู้หรือไม่ว่า? โรคเบาหวานยังทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆ มากมาย มักพบโรคแทรกซ้อนเรื้อรังต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย เนื่องจากเกิดจากภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเกินไป เช่น ปัญหาด้านสายตา ไตวาย โรคหัวใจ อัมพาต ขาชา แผลเน่า โดยเฉพาะบริเวณเท้า เป็นต้น  อาการโรคเบาหวาน ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนอีกมากมาย ผู้ป่วยต้องจ่ายค่ารักษาในส่วนตรงนี้อีก อาจทำให้ค่ารักษาบานปลายได้ รวมถึงค่าใช้จ่ายที่ต้องดูแลสภาวะจิตใจของผู้ป่วย ตลอดการดูแลรักษาที่ต้องใช้กำลังใจ เพื่อดำเนินชีวิตต่อไป

ถึงแม้ค่ารักษาโรคเบาหวาน จะไม่ได้สูงมากเหมือน โรคหัวใจ โรคมะเร็ง แต่โรคเบาหวานสามารถทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆ มากมาย ทำให้ค่าใช้จ่ายในการรักษาบานปลายได้เช่นกัน แล้วที่สำคัญโรคเบาหวานจำเป็นต้องดูแลรักษาตัวในระยะยาวด้วย จนกว่าผู้ป่วยจะสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ใกล้เคียงในเกณฑ์ปกติ

อย่าชะล่าใจเด็ดขาด!! ถึงอายุน้อยก็เป็นโรคเบาหวานได้ ดังนั้นทุกคนควรใส่ใจเรื่องอาหาร กินสมุนไพรต้านเบาหวานก็ช่วยได้ รวมถึงควบคุมน้ำตาลในเลือด ตรวจสุขภาพประจำปี และควรออกกำลังกายสม่ำเสมอ ช่วยลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณด้วย

The post ค่าใช้จ่ายรักษาโรคเบาหวาน มีอะไรบ้าง appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.