ประกันสุขภาพ Archives - Bolttech Blog - News & Updates Bolttech Blog - News & Updates Wed, 24 Apr 2024 17:41:49 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0.3 https://www.bolttech.co.th/blog/wp-content/uploads/2021/02/favicon.ico ประกันสุขภาพ Archives - Bolttech Blog - News & Updates 32 32 วิธีดื่มน้ำลดน้ำหนัก บำรุงผิวสวย สุขภาพดี https://www.bolttech.co.th/blog/%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%98%e0%b8%b5%e0%b8%94%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%a1%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b8%a5%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b8%b1%e0%b8%81?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=%25e0%25b8%25a7%25e0%25b8%25b4%25e0%25b8%2598%25e0%25b8%25b5%25e0%25b8%2594%25e0%25b8%25b7%25e0%25b9%2588%25e0%25b8%25a1%25e0%25b8%2599%25e0%25b9%2589%25e0%25b8%25b3%25e0%25b8%25a5%25e0%25b8%2594%25e0%25b8%2599%25e0%25b9%2589%25e0%25b8%25b3%25e0%25b8%25ab%25e0%25b8%2599%25e0%25b8%25b1%25e0%25b8%2581 Wed, 24 Apr 2024 05:00:00 +0000 https://www.bolttech.co.th/blog/?p=34207 การดื่มน้ำ เป็นหนึ่งในวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยให้เราสามารถลดน้ำหนักได้ การดื่มน้ำเพียงพอจะช่วยให้ระบบเมตาบอลิซึมในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้รู้สึกอิ่มได้นานขึ้น ลดความรู้สึกหิวระหว่างมื้ออาหาร ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถควบคุมปริมาณแคลอรี่ที่ได้รับเข้าไปได้ดีขึ้น  นอกจากนี้ยังเพิ่มการเผาผลาญแคลอรี่ ช่วยให้ระบ

The post วิธีดื่มน้ำลดน้ำหนัก บำรุงผิวสวย สุขภาพดี appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

]]>
การดื่มน้ำ เป็นหนึ่งในวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยให้เราสามารถลดน้ำหนักได้ การดื่มน้ำเพียงพอจะช่วยให้ระบบเมตาบอลิซึมในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้รู้สึกอิ่มได้นานขึ้น ลดความรู้สึกหิวระหว่างมื้ออาหาร ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถควบคุมปริมาณแคลอรี่ที่ได้รับเข้าไปได้ดีขึ้น  นอกจากนี้ยังเพิ่มการเผาผลาญแคลอรี่ ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างราบรื่น ขจัดของเสียออกจากร่างกาย รักษาไตให้แข็งแรง และยังช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งดูมีน้ำมีนวล ป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ดังนั้นการดื่มน้ำอย่างเพียงพอและถูกวิธีในแต่ละวัน จึงเป็นองค์ประกอบสำคัญในการลดน้ำหนักอย่างมีสุขภาพดี

1. ดื่มน้ำก่อนรับประทานอาหาร

การดื่มน้ำประมาณ 1-2 แก้วก่อนรับประทานอาหารจะช่วยให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น ทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง ซึ่งจะช่วยลดปริมาณแคลอรี่ที่ได้รับ

2. ทดแทนเครื่องดื่มอื่นด้วยน้ำเปล่า

งดเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลและแคลอรี่สูง เช่น น้ำอัดลม น้ำผลไม้ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ให้ดื่มน้ำเปล่าแทน เพื่อลดการได้รับแคลอรี่และน้ำตาลส่วนเกิน

3. พกขวดน้ำติดตัวไปด้วยตลอดเวลา

การมีขวดน้ำติดตัวจะเตือนให้เราดื่มน้ำบ่อยครั้งขึ้น ช่วยให้ได้รับน้ำในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

4. เลือกดื่มน้ำเย็น

น้ำเย็นจะช่วยให้ร่างกายต้องใช้พลังงานในการทำให้น้ำอุ่นขึ้นเพื่อย่อย ซึ่งจะช่วยเผาผลาญแคลอรี่ได้มากกว่าน้ำอุ่น

5. ดื่มน้ำก่อนรู้สึกหิว

อย่ารอให้รู้สึกหิวจึงค่อยดื่มน้ำ เพราะนั่นอาจทำให้รับประทานอาหารมากเกินไป ให้ดื่มน้ำทุก ๆ 2 ชั่วโมง เพื่อรักษาระดับความอิ่มของร่างกาย

6. เพิ่มผลไม้เข้าไปในน้ำดื่ม

การใส่ผลไม้ลงในน้ำ เช่น ส้ม มะนาว แอปเปิ้ล จะช่วยเพิ่มรสชาติและกลิ่นหอมให้น้ำ ทำให้อยากดื่มน้ำมากขึ้น

7. ดื่มน้ำก่อนและหลังออกกำลังกาย

การดื่มน้ำก่อนและหลังออกกำลังกาย เพื่อช่วยให้ร่างกายไม่ขาดน้ำ เพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญแคลอรี่ระหว่างออกกำลังกายด้วย หากทำแพลนการดื่มน้ำใน 1 วัน สามารถทำตามได้อย่างง่ายดาย ดังต่อไปนี้

  • 07.00 น. ดื่มน้ำ 1 แก้ว หลังตื่นนอน ช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น กระตุ้นการขับถ่าย
  • 08.00 น. ดื่มน้ำ 1 แก้ว ก่อนอาหารเช้า 1 ชม. เพื่อป้องกันอาการท้องอืดท้องเฟ้อ
  • 09.00 - 10.00 น. ดื่มน้ำ 1-2 แก้ว เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายทำงานได้เต็มที่ ชำระล้างของเสียออกจากร่างกาย
  • 11.00 น. ดื่มน้ำครึ่งแก้ว ก่อนอาหารเที่ยง 1 ชม. จะช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มเร็วขึ้น ทานอาหารได้น้อยลง
  • 12.00 น. จิบน้ำเล็กน้อยเพื่อล้างปาก ไม่ควรดื่มน้ำเยอะเพราะจะทำให้น้ำย่อยเจือจาง ย่อยอาหารได้ไม่ดี
  • 13.00 - 16.00 น. ดื่มน้ำ 2-3 แก้ว จิบเพื่อดับกระหายระหว่างวัน เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว
  • 17.00 - 19.00 น. ดื่มน้ำ 1 แก้ว ก่อนอาหารเย็น 1 ชม. หาเวลาออกกำลังกาย และจิบน้ำให้ได้ 1-2 แก้ว
  • 20.00 - 21.00 น. ดื่มน้ำ 1 แก้ว จิบเรื่อยๆ เพื่อให้ระบบเลือดและระบบลำไส้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น
  • 22.00 น. ดื่มน้ำ 1 แก้ว ก่อนนอน 1 ชม. เพื่อชำระล้างสิ่งตกค้างในลำไส้

การปฏิบัติตามวิธีเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ ถือช่วยให้คุณดื่มน้ำได้ในปริมาณที่เหมาะสม ส่งผลให้กระบวนการลดน้ำหนักเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับคนที่อยากลดความอ้วนและดูแลสุขภาพ และต้องไม่ลืมที่จะออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยหากใครมีแพลนลดน้ำหนักใน 1 เดือน สูตรลดน้ำหนักแบบเร่งรัดนั้นไม่มีเพราะว่าทุกอย่างต้องใช้เวลา นอกจากนี้คุณควรมองหา ประกันสุขภาพ จากบริษัทประกันชั้นนำควบคู่ไปด้วย คุ้มครองค่ารักษาเมื่อเจ็บป่วย เกิดอุบัติเหตุ ครอบคลุมค่าห้อง ค่าอาหาร ซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ ไม่ต้องตรวจสุขภาพ นำมาลดหย่อนภาษีได้ เข้ามาเทียบแผนที่ bolttech.co.th ได้เลย

ประกันสุขภาพ

The post วิธีดื่มน้ำลดน้ำหนัก บำรุงผิวสวย สุขภาพดี appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

]]>
โรคนอนไม่หลับ (Insomnia) อันตรายต่อสุขภาพอย่างไร? https://www.bolttech.co.th/blog/%e0%b9%82%e0%b8%a3%e0%b8%84%e0%b8%99%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b9%84%e0%b8%a1%e0%b9%88%e0%b8%ab%e0%b8%a5%e0%b8%b1%e0%b8%9a?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=%25e0%25b9%2582%25e0%25b8%25a3%25e0%25b8%2584%25e0%25b8%2599%25e0%25b8%25ad%25e0%25b8%2599%25e0%25b9%2584%25e0%25b8%25a1%25e0%25b9%2588%25e0%25b8%25ab%25e0%25b8%25a5%25e0%25b8%25b1%25e0%25b8%259a Thu, 07 Mar 2024 04:00:00 +0000 https://www.bolttech.co.th/blog/?p=33305 รู้ไหมว่า? การนอนหลับพักผ่อนนั้นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับชีวิต หลายคนมักจะมองข้ามเพราะคิดว่าการนอนนั้นทำให้เสียเวลาที่จะทำกิจกรรมอย่างอื่น จึงทำให้การนอนในแต่ละวันนั้นไม่ถึง 6-8 ชั่วโมง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงกับร่างกาย ในช่วงแรกอาจจะยังไม่แสดงอาการ แต่ถ้าหากปล่อยไว้เป็นเวลานานจนเริ่มติดเป็นนิสัยหรือมีอายุที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น ก็

The post โรคนอนไม่หลับ (Insomnia) อันตรายต่อสุขภาพอย่างไร? appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

]]>
รู้ไหมว่า? การนอนหลับพักผ่อนนั้นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับชีวิต หลายคนมักจะมองข้ามเพราะคิดว่าการนอนนั้นทำให้เสียเวลาที่จะทำกิจกรรมอย่างอื่น จึงทำให้การนอนในแต่ละวันนั้นไม่ถึง 6-8 ชั่วโมง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงกับร่างกาย ในช่วงแรกอาจจะยังไม่แสดงอาการ แต่ถ้าหากปล่อยไว้เป็นเวลานานจนเริ่มติดเป็นนิสัยหรือมีอายุที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น ก็ทำให้ร่างกายแสดงอาการเจ็บป่วยออกมา อาจจะเกิดอาการปวดหัวเวียนหัว นอนไม่เป็นเวลาจนเกิดความเครียด เป็นการส่งสัญญาณให้รับรู้ว่าถ้ายังเป็นอาการนอนไม่หลับแบบนี้ต่อไปอาจจะเสี่ยงเป็นโรคเหล่านี้

1.โรคนอนไม่หลับเรื้อรัง

เมื่อหัวถึงหมอนและถึงเวลาที่ต้องนอน บางคนอาจจะนอนหลับยากแม้จะทำทุกวิถีทาง และอาจจะใช้เวลามากกว่า 30 นาทีถึงจะสามารถหลับได้ แม้จะหลับไปได้สักพักก็จะเกิดอาการหลับๆ ตื่นๆ ตลอดทั้งคืนจนกระทั่งไม่สามารถนอนหลับได้อีกเพราะนอนไม่หลับสมองไม่หยุดคิด นอกจากนี้ยังส่งผลให้เข้าห้องน้ำบ่อยๆ เพราะร่างกายจะดูดซับน้ำมากกว่าคนปกติ หากใครมีอาการแบบนี้ 1 เดือนขึ้นไปก็แสดงว่าเข้าข่ายเป็นโรคนอนไม่หลับเรื้อรังเพราะนอนไม่พอ

2.โรคหลอดเลือดหัวใจ

คนนอนไม่พอมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ เพราะสารโปรตีนจะสะสมในตัวเรามากยิ่งขึ้นในเวลาที่เราตื่นโดยธรรมชาติ เมื่อเรานอนดึก สารเหล่านี้จะเข้าไปเกาะที่บริเวรหลอดเลือดหัวใจจนทำให้เกิดการอุดตัน ซึ่งผู้หญิงที่มีอายุต่ำกว่า 60 ปีนั้น มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจจากการนอนไม่พอมากถึง 2 เท่า

3.โรคมะเร็งลำไส้

มะเร็ง เป็นอีกหนึ่งโรคที่น่ากลัว สามารถเกิดขึ้นได้กับคนที่นอนไม่พอ นอนดึกตื่นเช้าใช้ชีวิตวนลูปไปแบบคนสมัยนี้ ไม่ค่อยออกกำลังกาย ทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่และเป็นอาหารที่ไม่มีประโยชน์ จนทำให้เกิดอาการลำไส้อักเสบและลุกลามจนเป็นโรคมะเร็งลำไส้ เพราะระบบย่อยอาหารทั้งหมดจะรวนไปด้วย ทำให้ร่างกายทำงานผิดปกติจนท้องอืดท้องเฟ้อ กระเพาะย่อยอาหารช้า

4.โรคเบาหวาน

โรคยอดฮิตที่คนสมัยนี้มีโอกาสเป็นง่ายมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเพราะการใช้ชีวิตหรือกรรมพันธู์ เมื่อคนที่มีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานนั้นการนอนไม่พอจะส่งผลให้ระดับกลูโคสในร่างกายจะเพิ่มมากขึ้นถึง 23% ระดับอินซูลินในเลือดเพิ่มขึ้นถึง 48% ส่วนคนที่เป็นเบาหวานอยู่แล้วจะมีภาวะดื้ออินซูลิน

5.โรคอารมณ์แปรปรวน หรือไบโพล่าร์

ปัจจุบันนี้เรื่องเครียดก็มีเยอะแยะมากมายอยู่แล้ว ยิ่งเป็นคนนอนไม่พอก็ส่งผลให้เกิดความเครียดมากขึ้นไปอีกจนกลายเป็นไบโพล่าร์ เดี๋ยวอารมณ์ดีได้สักพักก็กลายเป็นคนอารมณ์ร้ายโดยไม่มีสาเหตุ กระสับกระส่าย สมองคิดช้าลงและทำตามสันชาตญาณมากขึ้นจึงทำให้ทำอะไรลงไปโดยที่ไม่ได้คิดไตร่ตรองให้ดีก่อน ควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้

6.โรคเสื่อมสมรรถภาพ

จัดว่าเป็นโรคที่ถ้าเลือกได้ก็ไม่มีใครอยากเป็น แต่สำหรับคนที่นอนไม่พอก็มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้ เพราะฮอร์โมน “เทสโทสเทอโรน” ในร่างกายจะต่ำลง จึงทำให้มีความรู้สึกและความต้องการทางเพศต่ำลง

สุขภาพไม่ใช่เรื่องล้อเล่น หรือเรื่องที่ต้องละเลย เพราะถ้าคุณป่วยขึ้นมาอาจทำให้ค่าใช้จ่ายบานปลายได้ ต้องมองหาประกันสุขภาพดูแล ที่สามารถคุ้มครองค่ารักษาเมื่อเจ็บป่วย หรือประสบอุบัติเหตุ มีทั้งแผนผู้ป่วยใน (IPD) และ ผู้ป่วยนอก (OPD) ครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งค่าห้อง ค่าอาหาร ซื้อง่ายผ่านออนไลน์ ไม่ต้องตรวจสุขภาพ เพียงแค่ผู้ทำประกันภัยมีอายุ 21-55 ปี ซื้อประกันสุขภาพ ลดหย่อนภาษีได้ พร้อมรับโปรโมชันพิเศษ 

The post โรคนอนไม่หลับ (Insomnia) อันตรายต่อสุขภาพอย่างไร? appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

]]>
ซื้อประกันลดหย่อนภาษี 2563 ควรซื้อประกันแผนไหนดี ? https://www.bolttech.co.th/blog/%e0%b8%8b%e0%b8%b7%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%81%e0%b8%b1%e0%b8%99-%e0%b8%a5%e0%b8%94%e0%b8%ab%e0%b8%a2%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b8%a0%e0%b8%b2%e0%b8%a9%e0%b8%b5?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=%25e0%25b8%258b%25e0%25b8%25b7%25e0%25b9%2589%25e0%25b8%25ad%25e0%25b8%259b%25e0%25b8%25a3%25e0%25b8%25b0%25e0%25b8%2581%25e0%25b8%25b1%25e0%25b8%2599-%25e0%25b8%25a5%25e0%25b8%2594%25e0%25b8%25ab%25e0%25b8%25a2%25e0%25b9%2588%25e0%25b8%25ad%25e0%25b8%2599%25e0%25b8%25a0%25e0%25b8%25b2%25e0%25b8%25a9%25e0%25b8%25b5 Fri, 02 Oct 2020 02:00:00 +0000 https://www.bolttech.co.th/blog?p=13702 หากคุณกำลังวางแผนซื้อประกันลด หย่อนภาษี 2563 แต่ยังไม่รู้ว่าควรซื้อประกันแบบไหนดี วันนี้เราจะมาแนะนำคำตอบกับทุกท่าน ด้วยการนำเสนอข้อมูลประกันรูปแบบต่าง ๆ ที่สามารถลดหย่อนภาษีได้ รวมถึงรายละเอียดด้านความคุ้มครองที่คุณจะได้รับ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบให้คุณได้ประกันที่ตรงใจและลดหย่อนได้อย่างคุ้มค่าที่สุด "ประกันที่มีค่ารักษ

The post ซื้อประกันลดหย่อนภาษี 2563 ควรซื้อประกันแผนไหนดี ? appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

]]>
หากคุณกำลังวางแผนซื้อประกันลด หย่อนภาษี 2563 แต่ยังไม่รู้ว่าควรซื้อประกันแบบไหนดี วันนี้เราจะมาแนะนำคำตอบกับทุกท่าน ด้วยการนำเสนอข้อมูลประกันรูปแบบต่าง ๆ ที่สามารถลดหย่อนภาษีได้ รวมถึงรายละเอียดด้านความคุ้มครองที่คุณจะได้รับ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบให้คุณได้ประกันที่ตรงใจและลดหย่อนได้อย่างคุ้มค่าที่สุด

"ประกันที่มีค่ารักษาพยาบาล นำมาลดหย่อนภาษี 2563 ได้"

การยื่นภาษีนัับว่าเป็นหน้าที่ของคนไทย เบิ้องต้นลองทำความเข้าใจกันก่อนว่า การยื่นภาษีเงินได้คืออะไร ยื่นอย่างไร ทำไมต้องยื่น? ถ้าเข้าใจกันแล้วลองมาดูกันเลยว่าประกันตัวไหนเหมาะกับการซื้อเพื่อลดหย่อนภาษี
หากคุณอยากรู้ว่าประกันตัวไหน สามารถนำมาลดหย่อนภาษี 2563 ได้ มีวิธีสังเกตง่าย ๆ คือ "เงื่อนไขของประกันต้องมีค่ารักษาพยาบาล" ซึ่งล่าสุดปี 2563 นี้ ทางกรมสรรพากรได้ขยายขอบเขตให้ลดหย่อนได้สูงสุด 25,000 บาท ต่อปี ต่างจากปีก่อน ๆ จะจำกัดอยู่ที่ 15,000 เท่านั้น เนื่องจากพิษของโรคโควิดที่เล่นงานสุขภาพของคนไทย ทางภาครัฐจึงอยากให้คนไทยมีหลักประกันด้านสุขภาพกันมากขึ้น รวมถึงการทำประกันยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ด้วย สรุปได้ว่าหากซื้อประกันที่มีค่ารักษาพยาบาลก่อนสิ้นปี 2563 นี้ จะได้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีที่มากขึ้น 
แล้วประกันตัวไหนที่มีค่ารักษาพยาบาลและนำไปลดหย่อนภาษี 2563 ได้ล่ะ ? ไม่ต้องไปหาคำตอบที่ไหนไกลเพราะเราจะสรุปข้อมูลพร้อมบอกสิทธิ์ประโยชน์จากประกันแต่ละประเภทที่คุณจะได้รับให้ ตามนี้เลยครับ
ประกันสุขภาพ

1. ประกันสุขภาพ

ประกันสุขภาพทุกแผน ไม่ว่าจะมีค่าเบี้ยเท่าไหร่ คุ้มครองมากหรือน้อยขนาดไหน จะต้องมีเงื่อนไขจ่ายค่ารักษาพยาบาลเสมอ ซึ่งข้อดีของการทำประกันสุขภาพคือคุณจะได้รับความคุ้มครองที่ครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นการป่วยแบบไหน หรือบาดเจ็บจากสาเหตุอะไร ก็สามารถเข้าโรพพยาบาลและเบิกค่ารักษาตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ได้หมด ประกันสุขภาพจึงนับว่าเหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย เพราะไม่ว่าใครก็ล้วนมีโอกาสเจ็บป่วยทั้งสิ้น การมีประกันสุขภาพไว้ก็ย่อมใช้ชีวิตได้อุ่นใจยิ่งกว่า อีกทั้งยังใช้สิทธิบางอย่างพร้อมกับประกันสังคมได้ด้วย นอกจากนี้การซื้อประกันสุขภาพให้พ่อแม่ก็สามารถนำมาลดหย่อนภาษี 2563 ได้เช่นกัน 
หากยังสงสัยเกี่ยวกับการลดหย่อนภาษีของประกันสุขภาพอยู่ ลองกดเข้าไปดูข้อมูล ระกันสุขภาพใช้ลดหย่อนภาษีได้ไหม ? แล้วคุณจะเข้าใจยิ่งขึ้นครับ

2. ประกันอุบัติเหตุ

อุบัติเหตุนับว่าเป็นภัยที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาโดยคุณไม่ทันตั้งตัว การทำประกันอุบัติเหตุ นั้นจะมีค่ารักษาพยาบาลเมื่อคุณบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ดังนั้นการทำประกันอุบัติเหตุจึงสามารถนำสิทธิ์ไปลดหย่อนภาษี 2563 ได้ จุดเด่นของประกันอุบัติเหตุนอกจากจะมีค่ารักษาพยาบาลแล้ว ยังมีเงินชดเชยกรณีคุณเสียชีวิตหรือสูญเสียอวัยวะจากอุบัติเหตุด้วย และบางกรมธรรมยังคุ้มครองกรณีเสียชีวิตจากฆาตรกรรมด้วยเช่นกัน ส่วนเบี้ยประกันก็นับว่าไม่แพงมาก ผู้ที่มีรายได้น้อยสามารถทำประกันได้

3. ประกันโรคร้ายแรง 

โรคร้ายมักจะมาเยือนตอนคุณไม่ทันระวังตัวเสมอ เช่นโรคมะเร็ง โรคตับ โรคไต โรคหัวใจ โรคปอด โรคพาร์กินสัน เป็นต้น  ถ้าเรามีประกันโรคร้ายแรงก็เหมือนเรามีหลักประกันค่ารักษาเมื่อเราเกิดป่วยเป็นโรคร้าย ซึ่งโดยทั่วไปหากตรวจพบโรคร้ายแรงทางบริษัทประกันจะให้เงินชดเชยเป็นเงินก้อนใหญ่ เพื่อให้ผู้ทำประกันนำเงินก้อนไปเป็นค่ารักษาพยาบาล ด้วยเหตุนี้ผู้ที่ทำประกันโรคร้ายแรงจึงสามารถนำไปลดหย่อนภาษี 2563 ได้ จุดเด่นของประกันโรคร้ายแรงอีกประการ คือค่าเบี้ยรายปีถูกมาก แต่ได้รับเงินชดเชยสูง สามารถนำเงินไปช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากค่ารักษาโรคที่แสนแพงได้ ถ้าต้องการข้อมูลประกอบการตัดสินใจเพิ่มเติมลอไปดู ข้อแนะนำจากชาว Pantip ก่อนทำประกันโรคร้ายแรง ต้องรู้ ก็ได้นะครับ

4. ประกันโควิด-19

เป็นอีกหนึ่งโรคภัยที่ระบาดทั่วโลกในปี 2563 ซึ่งเงื่อนไขของประกันนี้คือหากตรวจเจอทางบริษัทผู้รับประกันจะจ่ายเงินชดเชย เพื่อเป็นค่ารักษาพยาบาลรักษาโรคโควิด-19 ข้อดีของประกันตัวนี้จะคล้ายกับประกันโรคร้ายแรง คือราคาเพียงหลักร้อยเท่านั้น แต่หาก เช็คอาการและตรวจเจอโควิด-19 ก็จะได้เงินชดเชยมากเพียงพอจนสามารถรักษาโรคให้หายได้ ดังนั้นการซื้อประกันโควิดเพื่อลดหย่อนภาษีปี 2563 ก็นับเป็นทางเลือกที่ดีอีกทาง
คำนวนภาษี

ข้อควรระวัง !

ไม่ว่าคุณจะซื้อประกันที่มีค่ารักษาพยาบาลที่กรมธรรม์ก็ตาม จะสามารถนำมาลดหย่อนภาษีรวมทุกแผนได้ตามจริงในปี 2563 ไม่เกิน 25,000 เท่านั้น และเมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตทั่วไปแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาท ด้วยครับ ซึ่งต้องอย่าลืมนะครับว่าต้องซื้อก่อนสิ้นปี 2563 เท่านั้น และต้องซึ่งกับบริษัทประกันภัยของไทยด้วยเช่นกัน 
ทั้งนี้หากเป็นไปได้ คุณควรแจ้งกับบริษัทประกันด้วยนะครับว่าต้องการใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษี 2563 ซึ่งทางบริษัทประกันจะส่งข้อมูลให้กับกรมสรรพากรเป็นหลักฐานเพิ่ม ทำให้เราทำเรื่องลดหย่อนภาษีได้สะดวกยิ่งขึ้น

ประกันชีวิตก็ลดหย่อนได้ แต่…

หากพูดถึงประกันที่ลดลดหย่อนภาษี 2563 ได้ หลายคนคงนึกถึงประกันชีวิตใช่ไหมครับ ซึ่งทางกรมสรรพากรได้ระบุว่าผู้ที่ซื้อประกันชีวิตสามารถหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 100,000 บาทต่อปี ซึ่งมากที่สุดเมื่อเทียบกับประกันประเภทอื่น ๆ แต่ทั้งนี้มีเงื่อนไขคือคุณต้องซื้อประกันชีวิตที่มีความคุ้มครองมากกว่า 10 ปีขึ้นไป นั่นหมายความว่าคุณมีข้อผู้มัดกับกรมธรรม์เป็นระยะเวลายาวครับ ดังนั้นการซื้อประกันชีวิตคุณจะต้องใส่ใจรายละเอียดกรมธรรม์ และดูเงื่อนไขข้อสัญญาให้ถี่ถ้วน รวมถึงวางแผนการเงินด้วยว่าจะส่งเบี้ยไหวแค่ไหนด้วยครับ
เท่านี้เราก็ทราบกันแล้วนะครับว่าประกันตัวไหนลดหย่อนภาษี 2563 ได้ หวังว่าทุกท่านคงสามารถเลือกรูปแบบประกันที่ตรงกับใจ ได้รับความคุ้มครองที่คุ้มค่า พร้อมกับสิทธิ์ช่วยลดหย่อนภาษีได้อย่างลงตัวนะครับ 
ขอบคุณข้อมูลจาก : businesstoday  กรมสรรพากร
ประกันสุขภาพ

The post ซื้อประกันลดหย่อนภาษี 2563 ควรซื้อประกันแผนไหนดี ? appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

]]>
โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (ALS) อาการ สาเหตุ และวิธีการรักษา https://www.bolttech.co.th/blog/%e0%b9%82%e0%b8%a3%e0%b8%84%e0%b8%81%e0%b8%a5%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b9%80%e0%b8%99%e0%b8%b7%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b9%81%e0%b8%a3%e0%b8%87%e0%b9%81%e0%b8%a5%e0%b8%b0%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%98%e0%b8%b5%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%a9%e0%b8%b2?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=%25e0%25b9%2582%25e0%25b8%25a3%25e0%25b8%2584%25e0%25b8%2581%25e0%25b8%25a5%25e0%25b9%2589%25e0%25b8%25b2%25e0%25b8%25a1%25e0%25b9%2580%25e0%25b8%2599%25e0%25b8%25b7%25e0%25b9%2589%25e0%25b8%25ad%25e0%25b8%25ad%25e0%25b9%2588%25e0%25b8%25ad%25e0%25b8%2599%25e0%25b9%2581%25e0%25b8%25a3%25e0%25b8%2587%25e0%25b9%2581%25e0%25b8%25a5%25e0%25b8%25b0%25e0%25b8%25a7%25e0%25b8%25b4%25e0%25b8%2598%25e0%25b8%25b5%25e0%25b8%2581%25e0%25b8%25b2%25e0%25b8%25a3%25e0%25b8%25a3%25e0%25b8%25b1%25e0%25b8%2581%25e0%25b8%25a9%25e0%25b8%25b2 Fri, 11 Sep 2020 04:40:00 +0000 https://www.bolttech.co.th/blog?p=13316 เช็กอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือโรค ALS จะมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง แขน ขา มือ และเท้าควบคุมไม่ได้ พร้อมวิธีการรักษาโรค ALS เป็นอย่างไร เรามีคำตอบมาให้แล้ว

The post โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (ALS) อาการ สาเหตุ และวิธีการรักษา appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

]]>
มาทำความรู้จักกับ โรค ALS หรือโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง อีกหนึ่งโรคใกล้ตัวที่กำลังเป็นกระแสในโลกโซเซียล ที่เกิดจากความผิดปกติของระบบเซลล์ประสาท จึงทำให้ผู้ป่วยมีอาการกล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรง ซึ่งโรค ALS จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ มีเพียงแค่รักษาตามอาการหมือนโรคมะเร็ง แต่หากผู้ป่วยได้รับกำลังใจจากคนรอบข้างก็สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ทั้งนี้หลายคนอาจจะสงสัยว่าโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือโรค ALS คืออะไร? มีอาการ พร้อมวิธีการรักษาอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงอย่างไรบ้าง มาอ่านกันเลย

โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (ALS) คืออะไร

โรค ALS

“โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง” หรือเรียกกันว่าโรค ALS (Amyotrophic Lateral Sclerosis) คือ โรคที่ผิดปกติเกี่ยวกับระบบเซลล์ประสาท ทั้งส่วนในสมองและไขสันหลัง ทำให้ร่างกายไม่สามารถควบคุมเซลล์กล้ามเนื้อได้ มีอาการกล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรง กระตุก และมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุภายในบ้านได้บ่อยที่สุด เช่น หกล้ม พลัดตกจากที่สูง เดินสะดุด เป็นต้น เนื่องจากโรค ALS นี้เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ประสาทนำคำสั่ง (โรคของเซลล์ประสาทนำคำสั่ง motor neuron disease; MND) ที่ทำให้ผู้ป่วยควบคุมร่างกายไม่ได้นั่นเอง

สาเหตุโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเกิดจากอะไร

โรค ALS

มีหลายคนตั้งคำถามว่า โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเกิดจากปัจจัยอะไรบ้าง คำตอบอาจจะยังไม่แน่ชัดมากนัก แต่มีข้อสันนิษฐานจากปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้เกิดโรค ALS ดังต่อไปนี้

  • ความผิดปกติของภูมิคุ้มกันตัวเอง หรือโปรตีนบางชนิดทำให้เซลล์ประสาทถูกทำลาย
  • ทางพันธุกรรมที่ทำให้เซลล์ประสาทเสื่อมสภาพ
  • เป็นโรคกล้ามเนื้อเส้น โรคประสาทอักเสบ หลอดเลือดสมองตีบตันมาก่อน
  • มีการสัมผัสสารเคมีที่ปนเปื้อน เช่น ยาฆ่าแมลง โลหะ และรังสี เป็นต้น
  • เกิดจากการติดเชื้อไวรัสบางชนิดที่กระตุ้นให้เซลล์ประสาททำงานผิดปกติ
  • ปัจจัยอายุที่เพิ่มขึ้นยิ่งทำให้เซลล์สมองเสื่อมสภาพได้

อาการโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นอย่างไร?

โรค ALS

ตามอาการของผู้ป่วยที่เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง มักจะมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ไม่ว่าจะเป็นอวัยวะมือ เเขน ขา เท้า หรืออวัยวะอื่นๆ ของร่างกาย ทั้งนี้ผู้ป่วยที่เป็นโรค ALS จะแสดงอาการกล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรงชัดเจน ดังนี้

  • อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง แขน ขา มือ เท้า และอวัยวะส่วนอื่นๆ ไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายได้ เช่น เดินสะดุด ขยับมือไม่ได้ เป็นต้น
  • มีอาการปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้ออ่อนแรง อ่อนเพลียง่าย และผู้ป่วยบางรายก็มีอาการกระตุกร่วมด้วย
โรค ALS
  • อวัยวะปากและลิ้นขยับไม่ได้ รวมถึงไม่สามารถเคี้ยวอาหารได้ตามปกติ
  • ผู้ป่วยมีอาการคอตก ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
  • บางรายก็จะติดเชื้อกลายเป็นปอดอักเสบ
  • หายใจลำบาก เพราะร่างกายไม่สามารถควบคุมกระบังลมที่เป็นส่วนช่วยในการหายใจได้ 

ทั้งนี้ โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงอยู่ได้กี่ปี? ก็ขึ้นอยู่กับระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย และวิธีการรักษา ส่วนใหญ่มักจะมีชีวิตอยู่ภายในระยะเวลา 2-10 ปี

วิธีการรักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (ALS)

โรค ALS

ในกรณีทางแพทย์ประเมินว่าผู้ป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง จะต้องให้แพทย์รักษาเพื่อบรรเทาอาการให้ได้มากที่สุด และป้องกันภาวะแทรกซ้อนโรคอื่นๆ ตามมาด้วย ได้แก่

  • การรักษาด้วยยา เช่น ยาไรลูโซล (Riluzole) ลดการเสื่อมของเซลล์ประสาท
  • การดูแลอาหารการกิน
  • การทำกายภาพบำบัด
  • การใช้เครื่องช่วยหายใจ

หากผู้ป่วยมีสิทธิประกันสังคม สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลในเครือใกล้บ้านได้ แต่ถ้าคุณไม่สะดวกไปรักษาโรงพยาบาลตามสิทธิประกันสังคม ก็จะต้องสำรองจ่ายไปก่อนแล้วค่อยมาเบิกกับทางประกันสังคมทีหลัง ส่วนกรณีเจ็บป่วยแบบไหนเบิกประกันสังคมได้บ้าง อ่านเพิ่มเติมกันได้เลย!

โรค ALS

แล้วโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงอันตรายไหม? คำตอบก็คือ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ แต่ถ้าผู้ป่วยรักษาอาการอย่างถูกวิธี และได้รับกำลังใจจากผู้คนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นจากครอบครัว คนรัก หรือเพื่อน ก็จะช่วยให้ผู้ป่วยมีชีวิตอยู่ต่อกว่า 10 ปี เพราะกำลังใจเป็นสิ่งสำคัญของผู้ป่วย เพื่อให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้นานที่สุด

แล้วที่สำคัญเพื่อความสบายใจ อย่าลืมมองหาประกันสุขภาพให้ช่วยดูแลค่ารักษาเมื่อยามเจ็บป่วยกันด้วย ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาผู้ป่วยใน ผู้ป่วยนอก ค่าผ่าตัด ค่าแพทย์เยี่ยมไข้ ค่าห้องและค่าอาหารผู้ป่วย ก็คุ้มครองให้ทันที ไม่ต้องตรวจสุขภาพก็ซื้อได้ แต่เพื่อนๆ อย่าลืมอ่านเงื่อนไขความคุ้มครองประกันสุขภาพก่อนซื้อด้วยนะ 

ขอบคุณข้อมูลจาก : vibhavadi.com

ประกันสุขภาพ

The post โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (ALS) อาการ สาเหตุ และวิธีการรักษา appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

]]>
วิธีแก้โรคภูมิแพ้ แพ้อากาศ แบบง่ายๆ ทำได้เลย https://www.bolttech.co.th/blog/%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%98%e0%b8%b5%e0%b9%81%e0%b8%81%e0%b9%89%e0%b9%82%e0%b8%a3%e0%b8%84%e0%b8%a0%e0%b8%b9%e0%b8%a1%e0%b8%b4%e0%b9%81%e0%b8%9e%e0%b9%89-%e0%b9%81%e0%b8%9e%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a8?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=%25e0%25b8%25a7%25e0%25b8%25b4%25e0%25b8%2598%25e0%25b8%25b5%25e0%25b9%2581%25e0%25b8%2581%25e0%25b9%2589%25e0%25b9%2582%25e0%25b8%25a3%25e0%25b8%2584%25e0%25b8%25a0%25e0%25b8%25b9%25e0%25b8%25a1%25e0%25b8%25b4%25e0%25b9%2581%25e0%25b8%259e%25e0%25b9%2589-%25e0%25b9%2581%25e0%25b8%259e%25e0%25b9%2589%25e0%25b8%25ad%25e0%25b8%25b2%25e0%25b8%2581%25e0%25b8%25b2%25e0%25b8%25a8 Mon, 07 Sep 2020 03:25:00 +0000 https://www.bolttech.co.th/blog?p=13189 อาการจามไม่หยุด สงสัยโดนฝน เลยเป็นหวัด รู้หรือไม่ว่าคุณอาจเป็นโรค ภูมิแพ้อากาศ มาดูวิธีแก้ภูมิแพ้กัน

The post วิธีแก้โรคภูมิแพ้ แพ้อากาศ แบบง่ายๆ ทำได้เลย appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

]]>
ฮัดเช้ย ฮัดเช้ย อยากรู้จังเลยว่าใครเอ่ยถึงฉัน หน้าฝนแบบนี้ หลายคนคงเกิดอาการ จามไม่หยุด ซึ่งก็อาจคิดว่า สงสัยโดนฝน เลยเป็นหวัด กินยาแก้หวัดเดียวก็หาย แต่รู้ไหมครับว่าคุณอาจจะไม่ได้เป็นแค่หวัด แต่อาจเป็น ภูมิแพ้อากาศ ที่หากปล่อยไว้ อาจลุกลามจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ก็เป็นได้ งั้นวันนี้ แฟรงค์ขอพาทุกคนไปทำความเข้าใจว่า โรคภูมิแพ้อากาศคืออะไร และ จะรักษาอย่างไร

ภูมิแพ้อากาศ หรือ เป็นหวัด ต่างกันอย่างไร

วิธีแก้โรคภูมิแพ้

เนื่องจากอาการของโรคภูมิแพ้อากาศคือ จาม จามไม่หยุด คัดจมูก น้ำมูกไหล ทำให้หลายคนสับสนว่าตัวเองเป็นหวัด แต่จริงๆ แล้ว หวัด กับ ภูมิแพ้อากาศ มีความแตกต่างกันอยู่พอสมควรเลยครับ  

ภูมิแพ้อากาศ

โดยโรคภูมิแพ้อากาศนี้จะเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุครับ ไม่ว่าจะเป็นเราไปสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ อุณหภูมิเปลี่ยนแปลง มีความชื้นในอากาศสูง ความเครียด ไปจนถึงพักผ่อนไม่เพียงพอ  โดยอาการของภูมิแพ้อากาศจะมีดังนี้ครับ

  • มีน้ำมูกใสๆ 
  • ไม่ตัวร้อน ไม่มีไข้
  • เป็นโรคไม่ติดต่อ แต่บางทีอาจถ่ายทอดทางพันธุกรรม 
  • คันคอ คันจมูก อาจมีอาการคันตาและหูอื้อร่วม
  • เป็น ๆ หาย ๆ อาจเป็นติดต่อกัน 3 - 10 วัน
  • เป็นทันทีหลังจากสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ เช่น ฝุ่น เกสรดอกไม้

หวัด

ส่วนหวัด จะมีอาการดังนี้ครับ ซึ่งสามารถรักษาได้ด้วยการทานยาแก้หวัดนะ

  • มีน้ำมูกข้นผสมน้ำมูกใส
  • ตัวร้อน มีไข้ได้
  • ติดต่อได้ และถ่ายทอดไปยังผู้อื่นได้
  • เจ็บคอ หรือ แสบคอ
  • อาการหนักขึ้นได้เรื่อย ๆ
  • ใช้เวลาฟักตัวนานกว่าจะแสดงอาการ

วิธีการรักษาภูมิแพ้อากาศ

การรักษาภูมิแพ้อากาศที่ได้ผลดี และคุณหมอแนะนำมากที่สุดก็คือ “ดูแลสุขภาพ” ให้แข็งแรงเสมอ และกำจัดสารก่อภูมิแพ้ที่จะเข้ามากระตุ้นครับ โดยแฟรงค์สรุปง่ายๆ ดังนี้

1. หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้

ตัดไฟแต่ต้นลมครับ เมื่อเราเป็นภูมิแพ้ เราก็ต้อง ไม่เอาตัวเองไปใกล้กับสารก่อภูมิแพ้ หรือ “ป้องกัน” เช่น แพ้ฝุ่น แพ้เกสรดอกไม้ ให้เราสวมมาสก์ป้องกันไว้ ยิ่งในช่วงนี้มีโรคโควิด-19 ด้วย ปลอดภัยสองต่อเลย หรือถ้าใครแพ้อากาศ แฟรงค์แนะนำว่าไม่ทำให้อุณหภูมิในร่างกายเปลี่ยนแปลงแบบกระทันหันนะครับ 

2. ทำความสะอาดที่พัก

ฝุ่น คือตัวการสำคัญในการก่อภูมิแพ้ในบ้านเลยครับ ซึ่งการทำความสะอาดห้อง ทำความสะอาดที่พัก อย่างสม่ำเสมอจะช่วยได้ครับ ทั้งการกวาดถูบ้าน ซักผ้าปู ผ้านวม ผ้าห่ม ผ้าม่าน รวมถึงล้างแอร์ด้วยนะครับ หรือจะให้ดีมีเครื่องกรองอากาศภายในบ้านด้วยนะครับ

3. ออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรง

เมื่อเป็นโรคภูมิแพ้เราก็สร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายได้ ซึ่งท่าออกกำลังกายจะช่วยลดพุงได้ดีเลยครับ ทั้งช่วยสร้างเสริมภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย และยังเผาผลาญไขมันไปด้วย ดีสองต่อเลย!

4. ทานอาหารให้ดี มีประโยชน์

สุขภาพดี ต้องเริมจากอาหาร ถ้าเราอยากหายจากการเป็นโรคภูมิแพ้ แฟรงค์แนะนำให้เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบห้าหมู่ครับ หรือถ้าอยากทานอาหารที่ทั้งมีประโยชน์ ช่วยลดน้ำหนักด้วย ก็จัดไปทำตามนี้เลยครับ

5. พักผ่อนให้เพียงพอ

ข้อนี้สำคัญมากครับ เพราะไม่ว่าคุณจะเป็นหวัดหรือเป็นภูมิแพ้อากาศ วิธีรักษาที่ดีที่สุด คือการพักผ่อนให้เพียงพอครับ

วิธีแก้โรคภูมิแพ้

ภูมิแพ้ถือเป็นโรคที่หายยากมาก แต่ก็สามารถรักษาให้อาการดีขึ้นได้ แฟรงค์ก็อยากให้เพื่อน ๆ ทุกคนดูแลสุขภาพกันด้วยนะครับ และที่สำคัญ อย่าลืมทำประกันสุขภาพเตรียมไว้ด้วยนะ

The post วิธีแก้โรคภูมิแพ้ แพ้อากาศ แบบง่ายๆ ทำได้เลย appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

]]>
สิทธิประกันสังคมคนท้อง กับบัตรทองต่างกันอย่างไร? https://www.bolttech.co.th/blog/%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%81%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%aa%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b8%84%e0%b8%a1%e0%b8%84%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%81%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b8%9a%e0%b8%b1%e0%b8%95%e0%b8%a3%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=%25e0%25b8%259b%25e0%25b8%25a3%25e0%25b8%25b0%25e0%25b8%2581%25e0%25b8%25b1%25e0%25b8%2599%25e0%25b8%25aa%25e0%25b8%25b1%25e0%25b8%2587%25e0%25b8%2584%25e0%25b8%25a1%25e0%25b8%2584%25e0%25b8%2599%25e0%25b8%2597%25e0%25b9%2589%25e0%25b8%25ad%25e0%25b8%2587%25e0%25b8%2581%25e0%25b8%25b1%25e0%25b8%259a%25e0%25b8%259a%25e0%25b8%25b1%25e0%25b8%2595%25e0%25b8%25a3%25e0%25b8%2597%25e0%25b8%25ad%25e0%25b8%2587 Wed, 17 Jun 2020 03:29:12 +0000 https://www.bolttech.co.th/blog?p=11983 หากคุณแม่มือใหม่ที่กำลังสงสัยว่าจะการใช้สิทธิบัตรทองกับสิทธิประกันสังคมอันไหนดีกว่ากัน เพื่อเตรียมตัววางแผนเรื่องค่าใช้จ่ายของลูกน้อย ไม่ว่าจะเป็นค่าฝากครรภ์ ค่าตรวจครรภ์ ค่าคลอดลูกน้อย โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เราก็ต้องเช็กกันก่อนว่าสิทธิบัตรทองคนท้อง 2563 กับสิทธิประกันสังคมคนท้อง 2563 นั้นต่างกันอย่างไร? เพื่อค

The post สิทธิประกันสังคมคนท้อง กับบัตรทองต่างกันอย่างไร? appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

]]>
หากคุณแม่มือใหม่ที่กำลังสงสัยว่าจะการใช้สิทธิบัตรทองกับสิทธิประกันสังคมอันไหนดีกว่ากัน เพื่อเตรียมตัววางแผนเรื่องค่าใช้จ่ายของลูกน้อย ไม่ว่าจะเป็นค่าฝากครรภ์ ค่าตรวจครรภ์ ค่าคลอดลูกน้อย โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เราก็ต้องเช็กกันก่อนว่าสิทธิบัตรทองคนท้อง 2563 กับสิทธิประกันสังคมคนท้อง 2563 นั้นต่างกันอย่างไร? เพื่อคุณจะได้รับสิทธิประโยชน์ สวัสดิการต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง

สิทธิบัตรทองคนท้อง VS ประกันสังคมคนท้อง

สิทธิประกันสังคมคนท้องกับบัตรทอง
เพราะคนไทยทุกคนมีสิทธิบัตรทอง หรือบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้ากันอยู่แล้ว จึงสามารถเบิกค่าคลอดได้ตามที่โรงพยาบาลกำหนด  แต่ถ้าคุณมีสิทธิประกันสังคมด้วย ก็สามารถเบิกค่าคลอดบุตรประกันสังคมได้เช่นกัน แล้วอย่างนี้สิทธิบัตรทองกับประกันสังคมคนท้อง แตกต่างกันอย่างไรล่ะ มาอ่านเลย!

1. ค่าตรวจครรภ์ และค่าฝากครรภ์

ประกันสังคมคนท้อง

สิทธิบัตรทอง :

คุณแม่จะได้รับสิทธิค่าตรวจครรภ์ฟรี เพื่อคัดกรองสุขภาพของคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ และค่าฝากครรภ์ตามมาตรฐานสากลครบ 5 ครั้ง ได้แก่ สัปดาห์ที่ 12, 18, 26, 32 และ 38 หรือตามที่โรงพยาบาลกำหนด

สิทธิประกันสังคม :

คุณแม่จะได้รับสิทธิค่าตรวจครรภ์ฟรี และค่ารับฝากครรภ์เป็นจำนวน 1,000 บาทตามที่จ่ายจริง

2. ค่าคลอดบุตร

ประกันสังคมคนท้อง

สิทธิบัตรทอง :

คุณแม่สามารถเบิกค่าคลอดบุตรได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ทั้งนี้การใช้สิทธิบัตรทองคลอดบุตร หรือบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้าจะต้องเป็นการคลอดตามธรรมชาติ หากเป็นการผ่าคลอดจะต้องมาจากคำวินิจฉัยจากทางการแพทย์เท่านั้น

สิทธิประกันสังคม :

ผู้ประกันตนสำหรับคนท้อง สามารถเบิกประกันสังคมคลอดบุตรแบบเหมาจ่ายในอัตรา 13,000 บาทต่อครั้ง รวมถึงค่ายา ค่าห้อง ค่าอาหาร หรือบริการอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการคลอดบุตรระหว่างรักษาตัว หากสามีและภรรยาเป็นผู้ประกันตนทั้งคู่ให้ใช้สิทธิในการเบิกค่าคลอดบุตรประกันสังคมฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ ไม่จำกัดจำนวนบุตร/ครั้ง

3. ค่าวัคซีนแม่และเด็ก

ประกันสังคมคนท้อง

สิทธิบัตรทอง :

คุณแม่ที่มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไปมีสิทธิ์ได้รับค่าฉีดวัคซีนกันไข้หวัดใหญ่ รวมถึงการฉีดวัคซีนป้องกันโรค เด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 5 ปี และอื่นๆ ตามที่กำหนด

สิทธิประกันสังคม :

ในกรณีหญิงตั้งครรภ์สามารถเบิกประกันสังคมในการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคได้ตลอดทั้งปี ทั้งนี้สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานประกันสังคม

4. ค่ากรณีสงเคราะห์บุตร

ประกันสังคมคนท้อง

สิทธิบัตรทอง :

ไม่มี

สิทธิประกันสังคม :

สำหรับคุณแม่ที่คลอดบุตรแล้วสามารถใช้สิทธิประกันสังคม เพื่อรับเงินสงเคราะห์เลี้ยงบุตรได้ โดยเหมาจ่ายเดือนละ 600 บาทต่อบุตร ตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 6 ปีบริบูรณ์ จำนวนไม่เกิน 3 คน ยกเว้นกรณีบุตรเสียชีวิต บุตรบุญธรรม หรือบุตรที่ยกให้เป็นบุตรบุญธรรมของคนอื่น

5. ค่าสิทธิลาคลอด

ประกันสังคมคนท้อง

สิทธิบัตรทอง :

ไม่มี

สิทธิประกันสังคม :

หากคุณจ่ายเงินสบทบประกันสังคมภายในระยะเวลาที่กำหนด ยังได้รับสิทธิการลาคลอดเพิ่มให้ด้วย ทางประกันสังคมจะจ่ายในอัตรา 50% ของค่าจ้างเฉลี่ย เป็นระยะเวลา 90 วัน โดยจะจ่ายไม่เกินฐานเงินเดือน 15,000 บาท แต่ใช้ได้เฉพาะบุตรคนที่ 1 และคนที่ 2 เท่านั้น
จากข้างต้นก็คือความแตกต่างระหว่างบัตรทองกับประกันสังคมคนท้อง โดยสิทธิที่คุณจะได้รับนั้นใกล้เคียงเรื่องค่ารักษาพยาบาล ค่าคลอดบุตร ค่าตรวจครรภ์ ค่าฝากครรภ์ และค่าคลอดบุตรเบื้องต้น ส่วนประกันสังคมจะมีกรณีสงเคราะห์บุตร สิทธิลาคลอดเพิ่มเข้ามาด้วย เพื่อให้ผู้ประกันตนได้รับสวัสดิการอื่นๆ มากขึ้น แต่หากคุณใช้สิทธิการรักษาอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว สิทธิประกันสุขภาพจะถูกยกเลิกอัตโนมัติทันที
นอกจากนี้ยังมีนโยบายมารดาประชารัฐที่เห็นว่าจะเริ่มในปี 2563 เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้กับคุณแม่และลูกน้อย ได้แก่ เงินช่วยเหลือระหว่างตั้งครรภ์, เงินค่าคลอดบุตร, ค่าเลี้ยงบุตรจนถึงอายุ 6 ขวบ รวมถึงสิทธิประโยชน์อื่นๆ ตามสิทธิ์มารดาประชารัฐ แต่โครงการมารดาประชารัฐยังไม่เปิดอย่างเป็นทางการ อาจจะต้องติดตามรายละเอียดต่อไป
อย่างไรก็ตามแม้ว่าเราจะมีสิทธิบัตรทอง หรือสิทธิประกันสังคมสำหรับค่ารักษาพยาบาลแล้ว สิ่งจำเป็นที่จะช่วยตอบโจทย์สุขภาพของคุณได้ดีนั่นก็คือ การทำประกันสุขภาพ หากคุณแม่คนไหนสนใจซื้อประกันสุขภาพเพื่อดูแลสุขภาพในระยะยาว ก็สามารถทำประสุขภาพกับ Frank.co.th ได้เลย ทั้งรวดเร็ว เรียบง่าย และไม่ต้องตรวจสุขภาพด้วย หมดห่วงทุกค่ารักษาทันที มีให้แผนประกันให้เลือกได้ตามที่คุณต้องการเลย
 
ประกันสุขภาพ

The post สิทธิประกันสังคมคนท้อง กับบัตรทองต่างกันอย่างไร? appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

]]>
ฝุ่นพิษ PM 2.5 เป็นอันตรายต่อเด็กเล็กและคนท้องอย่างไรบ้าง https://www.bolttech.co.th/blog/pm-2-5-%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%95%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b8%95%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b9%80%e0%b8%94%e0%b9%87%e0%b8%81%e0%b9%80%e0%b8%a5%e0%b9%87%e0%b8%81%e0%b9%81%e0%b8%a5%e0%b8%b0%e0%b8%84%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%87?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=pm-2-5-%25e0%25b8%25ad%25e0%25b8%25b1%25e0%25b8%2599%25e0%25b8%2595%25e0%25b8%25a3%25e0%25b8%25b2%25e0%25b8%25a2%25e0%25b8%2595%25e0%25b9%2588%25e0%25b8%25ad%25e0%25b9%2580%25e0%25b8%2594%25e0%25b9%2587%25e0%25b8%2581%25e0%25b9%2580%25e0%25b8%25a5%25e0%25b9%2587%25e0%25b8%2581%25e0%25b9%2581%25e0%25b8%25a5%25e0%25b8%25b0%25e0%25b8%2584%25e0%25b8%2599%25e0%25b8%2597%25e0%25b9%2589%25e0%25b8%25ad%25e0%25b8%2587 Sat, 08 Feb 2020 03:01:16 +0000 https://www.bolttech.co.th/blog?p=10455 ปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 เป็นปัญหามลพิษที่ประเทศไทยเผชิญมาแล้วนับปี ด้วยความที่เจ้าฝุ่น PM 2.5  สามารถเข้าสู่จมูก ปอด และหลอดเลือดได้โดยตรง ซึ่งนั้นทำให้ผู้ที่หายใจเข้าไปได้รับ ผลกระทบด้านสุขภาพเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะ เด็กเล็ก และ คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ ที่แพทย์ได้ออกมาเตือนว่าฝุ่น PM 2.5 เป็นอันตรายอย่างมากสำหรับเด็กและคนท้

The post ฝุ่นพิษ PM 2.5 เป็นอันตรายต่อเด็กเล็กและคนท้องอย่างไรบ้าง appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

]]>
ปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 เป็นปัญหามลพิษที่ประเทศไทยเผชิญมาแล้วนับปี ด้วยความที่เจ้าฝุ่น PM 2.5  สามารถเข้าสู่จมูก ปอด และหลอดเลือดได้โดยตรง ซึ่งนั้นทำให้ผู้ที่หายใจเข้าไปได้รับ ผลกระทบด้านสุขภาพเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะ เด็กเล็ก และ คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ ที่แพทย์ได้ออกมาเตือนว่าฝุ่น PM 2.5 เป็นอันตรายอย่างมากสำหรับเด็กและคนท้อง และอาจเป็นสาเหตุให้เกิดโรคต่างๆ ตามมาได้

ทำไม PM 2.5 ถึงอันตรายต่อเด็กและคนท้อง

จริงๆ แล้ว PM 2.5 นั้นอันตรายต่อทุกคนครับ เพราะฝุ่น PM2.5 ไม่ใช่ฝุ่นธรรมดา แต่มีสารอันตรายแฝงอยู่มากมาย ทั้ง PAHs  ปรอท สารหนู แคดเมียม รวมถึงโลหะหนักชนิดอื่นๆ ซึ่งก่อให้เกิดโรคต่างๆ เช่น มะเร็ง อัมพาต และเมื่อสารเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายของเราก็จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพไม่ว่าเราจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม แต่เด็ก และ คนท้อง อาจได้รับผลกระทบที่ร้ายแรงกว่า อันเนื่องมาจากสภาพร่างกายที่แตกต่างจากคนทั่วไป โดยเด็กอาจมีภูมิต้านทานที่ยังไม่แข็งแรงเต็มที่ ส่วนคนท้องก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงด้านร่างกายและฮอร์โมน ทำให้ทั้งคู่มีสภาพร่างกายที่ไม่แข็งแรงเต็มร้อย ทำให้ได้รับผลกระทบจากฝุ่น PM2.5 มากกว่าคนทั่วไปครับ

ฝุ่น PM 2.5 อันตรายต่อเด็กเล็กอย่างไร

PM-2.5-ผลกระทบต่อเด็กเล็กและคนท้อง
เด็กเล็ก เป็นวัยที่ร่างกายอยู่ในช่วงพัฒนา หากในช่วงนี้เด็กได้รับฝุ่น PM 2.5 เข้าไปอาจส่งผลกระทบต่อร่างกาย ดังนี้

  • พัฒนาการและกระบวนการเรียนรู้ของเด็กมีปัญหา เนื่องจากฝุ่น PM 2.5 เข้าไปทำลายเซลล์สมอง
  • ระคายเคืองในโพรงจมูก เป็นภูมิแพ้
  • ทางเดินหายใจ ระบบหัวใจ และหลอดเลือดอักเสบ 
  • การทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันมีปัญหา
  • เพิ่มโอกาสเกิดโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งปอด
  • ในระยะยาว สมรรถภาพการทำงานของปอดลดลง

ฝุ่น PM 2.5 อันตรายต่อคนท้องอย่างไร

PM-2.5-ผลกระทบต่อเด็กเล็กและคนท้อง
คนท้อง หรือคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ ช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้องดูแลสุขภาพอย่างดีเลยครับ เพราะนอกจากสุขภาพของคุณแม่แล้ว สุขภาพของเด็กในครรภ์ก็สำคัญเช่นกัน โดยหากคุณแม่ได้รับฝุ่น PM 2.5 เข้าไปขณะตั้งครรภ์ อาจส่งผลกระทบต่อร่างกายดังนี้

  • มีอาการทางเดินหายใจกำเริบ แสบจมูก แน่นจมูก 
  • ถ้าได้รับเชื้อโรคจะมีอาการติดเชื้อทางเดินหายใจรุนแรงกว่าปกติ
  • ทารกในครรภ์ได้รับอันตราย เนื่องจากฝุ่น PM 2.5 จะเข้าไปทำลายสมอง ระบบประสาท และอวัยวะต่างๆ เช่น ตับ ไต หัวใจ ของเด็กทารก ส่งผลให้เด็กในครรภ์พิการ หรือแท้งได้
  • ลูกที่เกิดมาอาจมีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ และมีปัญหาเจริญเติบโตช้า และมีโรคประจำตัวเช่น โรคหัวใจ เบาหวาน หรือมะเร็ง

ฝุ่นพิษ PM 2.5 เป็นมลพิษที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพคนไทยเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากผลระยะสั้นที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ เจ็บคอ เจ็บตา เจ็บจมูกแล้ว ผลเสียในระยะยาวยังยาวว เป็นหางว่าว แถมยังร้ายแรงอีกต่างหาก และดูท่าว่าคนไทยจะต้องอยู่คู่กับมลพิษนี้ไปอีกนาน ดังนั้นเราต้องรักษาสุขภาพ หาวิธีรับมือฝุ่น PM2.5 ให้ดี และถ้าจะให้ดี ควรมีประกันสุขภาพไว้ดูแลด้วยนะครับ เจ็บป่วยหนักเบา เราจ่ายให้ไม่ต้องห่วง คุ้มครองดี  เบี้ยไม่แพง

The post ฝุ่นพิษ PM 2.5 เป็นอันตรายต่อเด็กเล็กและคนท้องอย่างไรบ้าง appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

]]>
5 โรคยอดฮิตคนวัยทำงานและวิธีป้องกัน https://www.bolttech.co.th/blog/5-%e0%b9%82%e0%b8%a3%e0%b8%84%e0%b8%a2%e0%b8%ad%e0%b8%94%e0%b8%ae%e0%b8%b4%e0%b8%95%e0%b8%84%e0%b8%99%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%a2%e0%b8%97%e0%b8%b3%e0%b8%87%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b9%81%e0%b8%a5%e0%b8%b0%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%98%e0%b8%b5%e0%b8%9b%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%81%e0%b8%b1%e0%b8%99?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=5-%25e0%25b9%2582%25e0%25b8%25a3%25e0%25b8%2584%25e0%25b8%25a2%25e0%25b8%25ad%25e0%25b8%2594%25e0%25b8%25ae%25e0%25b8%25b4%25e0%25b8%2595%25e0%25b8%2584%25e0%25b8%2599%25e0%25b8%25a7%25e0%25b8%25b1%25e0%25b8%25a2%25e0%25b8%2597%25e0%25b8%25b3%25e0%25b8%2587%25e0%25b8%25b2%25e0%25b8%2599%25e0%25b9%2581%25e0%25b8%25a5%25e0%25b8%25b0%25e0%25b8%25a7%25e0%25b8%25b4%25e0%25b8%2598%25e0%25b8%25b5%25e0%25b8%259b%25e0%25b9%2589%25e0%25b8%25ad%25e0%25b8%2587%25e0%25b8%2581%25e0%25b8%25b1%25e0%25b8%2599 Mon, 03 Feb 2020 03:11:22 +0000 https://www.bolttech.co.th/blog?p=10414 ทุกคนอยากมีสุขภาพที่ดี ดังนั้นการดูแลสุขภาพจึงเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับคนทุกเพศทุกวัย แต่หลายๆครั้ง การดูแลสุขภาพกลับกลายเป็นเรื่องที่ยาก เพราะปัจจัยด้านต่างๆ ยิ่งวัยทำงานที่มีภาระล้อมหน้าล้อมหลังแบบนี้ยิ่งแล้วใหญ่ ทำให้คนวัยทำงานหลายๆ คนมีปัญหาด้านสุขภาพ และนี่ก็คือ 5 โรคยอดฮิต ที่มักเกิดขึ้นกับคนวัยทำงาน มนุษย์ออฟฟิศต้อ

The post 5 โรคยอดฮิตคนวัยทำงานและวิธีป้องกัน appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

]]>
ทุกคนอยากมีสุขภาพที่ดี ดังนั้นการดูแลสุขภาพจึงเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับคนทุกเพศทุกวัย แต่หลายๆครั้ง การดูแลสุขภาพกลับกลายเป็นเรื่องที่ยาก เพราะปัจจัยด้านต่างๆ ยิ่งวัยทำงานที่มีภาระล้อมหน้าล้อมหลังแบบนี้ยิ่งแล้วใหญ่ ทำให้คนวัยทำงานหลายๆ คนมีปัญหาด้านสุขภาพ และนี่ก็คือ 5 โรคยอดฮิต ที่มักเกิดขึ้นกับคนวัยทำงาน มนุษย์ออฟฟิศต้องเช็กเลย

1.โรคกระเพาะอาหารอักเสบ

5 โรคยอดฮิตคนวัยทำงานและวิธีป้องกัน
โรคกระเพาะอาหารอักเสบ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า โรคกระเพาะ เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบหรือเกิดการระคายเคืองบริเวณเยื่อบุภายในกระเพาะอาหาร โดยโรคนี้ถือเป็นโรคยอดฮิตของคนวัยทำงานอันดับต้นๆ เลยครับ ซึ่งสาเหตุก็มาจากคนวัยทำงานมักจะทานอาหารไม่ตรงเวลา บางครั้งก็ทำงานจนลืมวันลืมคืน ลืมทานอาหารจนทำให้เป็นโรคกระเพาะกันมากมายเหลือเกิน โดยอาการของโรคกระเพาะ จะมีอาการปวดท้องกลางท้องช่วงบน ลักษณะการปวดคือรู้สึกปวดแน่น หรือแสบร้อน ซึ่งหากไม่เปลี่ยนพฤติกรรมการกินให้ตรงเวลา อาจทำให้เรื้อรังจนเกิดอาการแทรกซ้อนและรุนแรงขึ้นก็ได้ครับ
ซึ่งวิธีดูแลสุขภาพ ให้วัยทำงานมีสุขภาพแข็งแรง ไม่เป็นโรคกระเพาะอาหารก็ง่ายๆ ครับ “ทานอาหารเป็นเวลา” เพื่อให้ระบบย่อยอาหารสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แต่ถ้าไม่มีเวลา ตื่นเช้ามาก็ต้องรีบไปทำงานแล้ว ก็ติดอาหารทานง่าย เช่น แซนด์วิชไว้รองท้องก็ได้ครับ แต่ต้องทานให้เป็นเวลา และสม่ำเสมอนะ
 

2.โรคอ้วน

5 โรคยอดฮิตคนวัยทำงานและวิธีป้องกัน
ที่คนวัยทำงานหลายคนเป็นโรคอ้วน สาเหตุก็มาจากความเร่งรีบ ทำให้อาหารที่ได้รับความนิยมในหนุ่มสาวชาวออฟฟิศมักเป็นอาหารฟาสต์ฟูดที่มีแป้งและไขมันเป็นส่วนประกอบหลัก เช่น หมูปิ้ง ไก่ทอด น้ำอัดลม ยิ่งถ้าใครไม่มีเวลาไปออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาด้วยแล้ว มีสิทธิ์เป็นโรคอ้วนได้แบบไม่รู้ตัวเลยครับ ซึ่งโรคอ้วนไม่ได้หมายถึงน้ำหนักตัวหรือไขมันที่เพิ่มขึ้นอย่างเดียวนะครับ แต่คือการที่ดัชนีมวลกายและปริมาณไขมันสะสมในร่างกายมากจนเกิดค่ามาตรฐาน ซึ่งเสี่ยงต่อการเป็นโรคอื่นๆ แทรกซ้อนตามมา พูดง่ายๆ คือ โรคอ้วน ไม่ได้อันตรายเท่าโรคอื่นๆ ที่อาจแทรกซ้อนเข้ามาหรอกครับ ทั้งโรค ไขมันพอกตับ โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน และอื่นๆ อีกมากมาย 
 
ซึ่งวิธีดูแลสุขภาพ ให้วัยทำงานมีสุขภาพแข็งแรง ไม่เป็นโรคอ้วนก็ได้แก่การเลือกทานอาหารให้มีประโยชน์ครับ ลดแป้ง ลดน้ำตาล ลดน้ำอัดลมหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์สูง ออกกำลังกาย ดื่มน้ำเยอะๆ เพื่อขับสารพิษและปรับสมดุลให้ร่างกาย
 

3.โรคจาก "ความเครียด

5 โรคยอดฮิตคนวัยทำงานและวิธีป้องกัน
ปฏิเสธไม่ได้ว่าความเครียดเป็นเรื่องที่คู่กับวัยทำงาน ไม่ว่าจะเครียดจากเรื่องงาน ความสัมพันธ์ ความรับผิดชอบ ทำให้คนวัยทำงานหลายคนประสบปัญหาโรคเครียดกันไม่น้อย ซึ่งความเครียดนี้ส่งผลกระทบกับร่างกายและสุขภาพมากกว่าที่เราคิดนะครับ เพราะเมื่อเราเครียดร่างกายจะตอบสนองด้วยการหลั่งฮอร์โมน ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ หัวใจเต้นเร็ว แน่นท้อง มือเท้าเย็น ซึ่งถ้ามากจนเกินไป หรือเรื้อรังจะทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมาๆ เช่น โรคทางเดินอาหาร โรคปวดศีรษะไมเกรน ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ ไปจนถึงเกิดอาการวิตกกังวล ร้องไห้ ซึมเศร้า ท้อแท้ ซึ่งอาจนำไปสู่การเป็นโรคซึมเศร้าและการฆ่าตัวตายได้ครับ
 
ที่โรคเครียดเป็นอันตรายอย่างมาก เพราะความเครียดเป็นสิ่งที่ทุกคนพบเจอได้ในชีวิตประจำวัน ทำให้โรคเครียดอาจค่อยๆ สะสมและก่อตัวอยู่โดยที่เราไม่รู้ก็เป็นได้ครับ ดังนั้น วิธีดูแลสุขภาพ ให้วัยทำงานมีสุขภาพแข็งแรง ไม่ให้ความเครียดทำร้ายเราได้นั้นก็ได้แก่การผ่อนคลายจิตใจ ฟังเพลง อ่านหนังสือ ไม่หักโหมงานจนเกินไป หรือเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ก็เป็นทางเลือกที่ดีครับ
 

4.จอประสาทตาเสื่อม

5 โรคยอดฮิตคนวัยทำงานและวิธีป้องกัน
วัยทำงาน โดยเฉพาะมนุษย์ออฟฟิศที่ต้องทำงานกับคอมพิวเตอร์ การจ้องคอมนานๆ นั้นส่งผลกระทบกับดวงตาของเรามากกว่าที่เราคิดนะครับ บางคนทำงานไปซักพัก เริ่มมองไม่ชัด ก็คิดไปว่าตัวเองสายตาสั้น แต่ที่จริงแล้ว สายตาสั้นกับโรค “จอประสาทตาเสื่อม” นั้นมีความใกล้เคียงกันอย่างมากครับ ซึ่งอาการของโรคจอประสาทตาเสื่อมคือ จะรู้สึกว่าดวงตามองไม่ชัดเจน ตามัว อ่านหนังสือลำบาก หนักเข้าก็เห็นภาพบิดเบี้ยว หรือมีจุดดำบังกลางตา ซึ่งอาจลุกลามจนถึงขั้นตาบอดเลยก็เป็นได้ครับ
 
ซึ่งวิธีดูแลสุขภาพ ให้วัยทำงานมีสุขภาพแข็งแรง ไม่เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมก็ได้แก่ ทำการปรับความสว่างและตำแหน่งของหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม พักสายตาเป็นระยะๆ  หรือทานผลไม้ที่มี สารแอนโธไซยานิน ที่มีอยู่ในผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เช่น บิลเบอร์รี่ แบลคเคอร์แรนท์ อะซาอิเบอร์รี่ สตอร์เบอร์รี่ โดยสารแอนโธไซยานินจะช่วยต้านการเกิดอนุมูลอิสระที่เซลล์ของจอประสาทตา เพื่อป้องกันการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมนั่นเองครับ
 

5.โรคออฟฟิศซินโดรม

5 โรคยอดฮิตคนวัยทำงานและวิธีป้องกัน
ถ้าพูดถึงโรคที่คนวัยทำงานหรือมนุษย์ออฟฟิศเป็นบ่อย จะไม่มีโรคออฟฟิศซินโดรมก็คงเป็นไปไม่ได้ ออฟฟิศซินโดรมคืออาการที่มักเกิดขึ้นกับคนทำงานออฟฟิศที่ต้องนั่งหน้าคอมติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ จนส่งผลกระทบต่อระบบกระดูก ระบบกล้ามเนื้อ ไปจนถึงระบบย่อยอาหารและการมองเห็น โดยอาการของออฟฟิศซินโดรมที่พบบ่อยที่สุดคือปวดตึงที่คอ บ่า หลัง หนักขึ้นอาจเกิดอาการระบบประสาทถูกกดทับซึ่งนำไปสู่โรคร้ายอื่นๆ ตามมาได้ เป็นภัยร้ายที่มนุษย์ออฟฟิศทุกคนต้องกลัวเลยนะครับ
ซึ่งวิธีดูแลสุขภาพ ให้วัยทำงานมีสุขภาพแข็งแรง ไม่เป็นโรคออฟฟิศซินโดรมก็ได้แก่ การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้กล้ามเนื้อ ปรับโต๊ะและเก้าอี้ให้สามารถนั่งทำงานในท่าที่สบายที่สุด และควรเปลี่ยนอริยาบถทุกๆ 1 ชั่วโมงครับบ
และนี่ก็คือ 5 โรคยอดฮิตคนวัยทำงานและวิธีป้องกัน ที่แฟรงค์นำมาเสนอเพื่อให้เพื่อนๆ วัยทำงานได้ปรับพฤติกรรมเพื่อจะได้มีสุขภาพดีๆ มีแรงทำงานที่เรารักไปได้อีกนาน และที่สำคัญ เพื่อนๆ วัยทำงานทุกคนควรมีประกันสุขภาพไว้ เพื่อดูแลยามเจ็บป่วยด้วยนะครับ 
 

The post 5 โรคยอดฮิตคนวัยทำงานและวิธีป้องกัน appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

]]>
เช็คอาการโควิด-19 ติดต่อทางไหน มีวิธีป้องกันเป็นอย่างไร https://www.bolttech.co.th/blog/%e0%b9%82%e0%b8%84%e0%b9%82%e0%b8%a3%e0%b8%99%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b9%84%e0%b8%a7%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%aa%e0%b8%84%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%b0%e0%b9%84%e0%b8%a3-%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%98%e0%b8%b5%e0%b8%9b%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%81%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b9%87%e0%b8%99%e0%b8%ad%e0%b8%a2%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%87%e0%b9%84%e0%b8%a3?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=%25e0%25b9%2582%25e0%25b8%2584%25e0%25b9%2582%25e0%25b8%25a3%25e0%25b8%2599%25e0%25b9%2588%25e0%25b8%25b2%25e0%25b9%2584%25e0%25b8%25a7%25e0%25b8%25a3%25e0%25b8%25b1%25e0%25b8%25aa%25e0%25b8%2584%25e0%25b8%25b7%25e0%25b8%25ad%25e0%25b8%25ad%25e0%25b8%25b0%25e0%25b9%2584%25e0%25b8%25a3-%25e0%25b8%25a7%25e0%25b8%25b4%25e0%25b8%2598%25e0%25b8%25b5%25e0%25b8%259b%25e0%25b9%2589%25e0%25b8%25ad%25e0%25b8%2587%25e0%25b8%2581%25e0%25b8%25b1%25e0%25b8%2599%25e0%25b9%2580%25e0%25b8%259b%25e0%25b9%2587%25e0%25b8%2599%25e0%25b8%25ad%25e0%25b8%25a2%25e0%25b9%2588%25e0%25b8%25b2%25e0%25b8%2587%25e0%25b9%2584%25e0%25b8%25a3 Fri, 24 Jan 2020 03:04:26 +0000 https://www.bolttech.co.th/blog?p=10405 เชื่อว่าวันนี้ นอกจากฝุ่นพิษ PM2.5 ที่คุกคามสุขภาพคนไทยแล้ว ภัยร้ายแสนอันตรายอีกอย่างที่คนไทยต้องกังวลก็คือ ไวรัสโคโรน่า  หรือที่สื่อเรียกกันว่า โรคโควิด-19 (COVID-19) ที่นักวิทยาศาสตร์มมองว่าจะเข้าสู่เฟส 3 อย่างแน่นอน หลายคนสงสัยว่า ไวรัสโคโรน่าคืออะไร อาการโคโรน่าเป็นอย่างไร แฟรงค์ก็ขอบอกเลยครับว่านี้คือไวรัสที่ร้ายก

The post เช็คอาการโควิด-19 ติดต่อทางไหน มีวิธีป้องกันเป็นอย่างไร appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

]]>
เชื่อว่าวันนี้ นอกจากฝุ่นพิษ PM2.5 ที่คุกคามสุขภาพคนไทยแล้ว ภัยร้ายแสนอันตรายอีกอย่างที่คนไทยต้องกังวลก็คือ ไวรัสโคโรน่า  หรือที่สื่อเรียกกันว่า โรคโควิด-19 (COVID-19) ที่นักวิทยาศาสตร์มมองว่าจะเข้าสู่เฟส 3 อย่างแน่นอน หลายคนสงสัยว่า ไวรัสโคโรน่าคืออะไร อาการโคโรน่าเป็นอย่างไร แฟรงค์ก็ขอบอกเลยครับว่านี้คือไวรัสที่ร้ายกาจและกำลังแพร่ระบาดทั่วประเทศจีน โดยตอนนี้มีผู้ติดเชื้อแล้วหลายร้อยราย และคาดการกันว่า ไวรัสจะกลายพันธุ๋และติดต่อแพร่กระจายสู่คนมากขึ้น ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มแพร่ระบาดมาที่ประเทศไทยแล้ว วันนี้แฟรงค์เลยขอนำข้อมูลมานำเสนอ โคโรน่าไวรัสคืออะไร ติดต่อทางไหน อาการและวิธีป้องกันเป็นอย่างไร

โคโรน่าไวรัสคืออะไร

โคโรน่าไวรัส หรือ coronavirus (CoV) คือเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคปอดอักเสบติดเชื้อ รวมไปทั้งโรคปอดอักเสบรุนแรง พบได้ทั้งในสัตว์และในคน โดยโคโรน่าไวรัสมีหลายสายพันธุ์ ซึ่งสายพันธุ์ที่เคยระบาดรุนแรงก็ได้แก่ ไวรัสซาร์ส (SARS-CoV) ที่เคยระบาดไปทั่วโลกในปี 2002 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตทั่วโลกกว่า 600 คน และไวรัสเมอร์ส (MERS-CoV) ซึ่งมีผู้เสียชีวิตเกือบ 900 คนในปี 2012 ซึ่ง โคโรน่าไวรัส ที่กำลังระบาดอยู่ในช่วงนี้ เป็นสายพันธุ์ใหม่ หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 ซึ่งคาดกันว่าแม้จะมีความรุนแรงไม่เท่าสายพันธุ์ก่อนๆ แต่ก็มีสิทธิที่เชื้อไวรัสจะพัฒนาตัวเองจนมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ดังนั้นต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด 
โดยโคโรน่าไวรัสที่กำลังระบาดอยู่นี้ คาดกันว่าน่าจะมีศูนย์กลางการระบาดที่เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ซึ่งตอนนี้มีก็เริ่มระบาดไปยังเมืองต่างๆ ของประเทศจีน รวมทั้งต่างประเทศแล้ว โดยผู้ติดเชื้อแล้วหลายร้อยราย ซึ่งในประเทศไทยก็มีรายงานผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าแล้วด้วยครับ

โคโรน่าไวรัส ติดต่อทางไหน 

โคโรน่าไวรัสคืออะไร ติดต่อทางไหน อาการและวิธีป้องกันเป็นอย่างไร
ไวรัสโคโรน่า สามารถติดต่อได้ผ่าน “คนสู่คน” โดยสามาถติดต่อได้หลายทาง เช่น 

  • การสัมผัสน้ำมูก 
  • น้ำลาย 
  • เสมหะของผู้ป่วย 

นอกจากนั้นเชื้อไวรัสโคโรน่า ยังสามารถเข้าสู่รายการได้หลายช่องทาง เช่น เยื่อบุทางเดินหายใจ ตา จมูก ปาก อธิบายให้ชัดเจนก็คือ ถ้าอากาศโดยรอบมีเชื้อไวรัสโคโรน่าลอยอยู่ อาจเกิดจากการที่ผู้ป่วยจามหรือไอออกมา เราสามารถติดเชื้อไวรัสโคโรน่าได้ผ่านทางการหายใจได้เช่นกัน แต่โอกาสจะน้อยกว่าการสัมผัสสารคัดหลั่ง (น้ำมูก น้ำลาย) โดยตรง
คุณอาจสนใจ : โควิด-19 ทำให้ต้องหยุดงาน ออกจากงาน ประกันสังคมช่วยเหลืออย่างไรบ้าง?

อาการไวรัสโคโรน่าเป็นอย่างไร


ต้องบอกว่า เนื่องจากธรรมชาติของเชื้อไวรัสเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว แม้จะเป็นเชื้อตัวเดียวกัน แต่ความรุนแรงในการก่อโรคของแต่ละคนจะแตกต่างกันไปครับ ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยทั้งด้านพันธุกรรม ภูมิต้านทาน สุขภาพ อายุ และประวัติการฉีดวัคซีนของแต่ละคนครับ โดยผู้ป่วยจากไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 นี้ จะมีอาการทางเดินหายใจ มีน้ำมูกไหล ไอ เจ็บคอ ไปจนถึงมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ ไข้สูง ปวดหัว ปวดเมื่อยตามตัว

โคโรน่าไวรัส ป้องกันอย่างไร


แน่นอนว่าไวรัสโคโรน่านั้นอันตรายเป็นอย่างมากเลยครับ ดังนั้น เราควรที่จะป้องกันและดูแลสุขภาพให้ดี โดยวิธีป้องกันไวรัสโคโรน่า สามารถทำได้ดังนี้ครับ

  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีคนพลุกพล่าน
  • สวมหน้ากากอนามัยเสมอเมื่อต้องออกไปยังที่สาธารณะ หรือต้องติดต่อกับผู้ที่มีอาการป่วย
  • ไม่ทานเนื้อสัตว์ที่ไม่ปรุงสุก
  • ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
  • หมั่นล้างมือให้สะอาด และไม่นำมือมาสัมผัสที่ตา จมูก และปากหากไม่จำเป็น
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • หากมีอาการไข้ ระบบทางเดินหายใจมีปัญหา ให้รีบไปพบแพทย์โดยด่วน

นอกจาก 7 ข้อควรทำเพื่อป้องกันโคโรน่าไวรัสนี้แล้ว แฟรงค์ก็ขอแนะนำว่าใครที่มีแพลนจะเดินทางไปยังประเทศจีนในช่วงนี้ ถ้าเป็นไปได้ก็ควรเลื่อนวันเดินทางออกไปก่อนนะครับ รอให้สามารถควบคุมโรคได้ก่อนค่อยเดินทางไปจะเป็นการปลอดภัยที่สุด

ประกันสุขภาพ

The post เช็คอาการโควิด-19 ติดต่อทางไหน มีวิธีป้องกันเป็นอย่างไร appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

]]>
ต้านโรคเบาหวานด้วยการกินผักสมุนไพร https://www.bolttech.co.th/blog/%e0%b8%95%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b9%82%e0%b8%a3%e0%b8%84%e0%b9%80%e0%b8%9a%e0%b8%b2%e0%b8%ab%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%94%e0%b9%89%e0%b8%a7%e0%b8%a2%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%81%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%9c%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%aa%e0%b8%a1%e0%b8%b8%e0%b8%99%e0%b9%84%e0%b8%9e%e0%b8%a3?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=%25e0%25b8%2595%25e0%25b9%2589%25e0%25b8%25b2%25e0%25b8%2599%25e0%25b9%2582%25e0%25b8%25a3%25e0%25b8%2584%25e0%25b9%2580%25e0%25b8%259a%25e0%25b8%25b2%25e0%25b8%25ab%25e0%25b8%25a7%25e0%25b8%25b2%25e0%25b8%2599%25e0%25b8%2594%25e0%25b9%2589%25e0%25b8%25a7%25e0%25b8%25a2%25e0%25b8%2581%25e0%25b8%25b2%25e0%25b8%25a3%25e0%25b8%2581%25e0%25b8%25b4%25e0%25b8%2599%25e0%25b8%259c%25e0%25b8%25b1%25e0%25b8%2581%25e0%25b8%25aa%25e0%25b8%25a1%25e0%25b8%25b8%25e0%25b8%2599%25e0%25b9%2584%25e0%25b8%259e%25e0%25b8%25a3 Thu, 09 Jan 2020 08:40:40 +0000 https://www.bolttech.co.th/blog?p=9780 “โรคเบาหวาน”  ถือเป็นหนึ่งโรคร้ายแรงยอดฮิตของคนไทย ที่เกิดมากขึ้นในแต่ละปี สาเหตุก็มาจากพฤติกรรมการกินอาหารแบบตามใจปาก และไม่ดูแลตัวเอง แต่ใช่ว่าวิธีการควบคุมน้ำตาลจะเป็นเรื่องยากเสมอไปนะ หากเรารู้จักรับประทานอาหารที่มีประโยชน์อย่างผักสมุนไพร ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีป้องกันโรคเบาหวานได้ วันนี้เพนกวิน Frank จึงขอนำเสนอสมุนไพร

The post ต้านโรคเบาหวานด้วยการกินผักสมุนไพร appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

]]>
“โรคเบาหวาน”  ถือเป็นหนึ่งโรคร้ายแรงยอดฮิตของคนไทย ที่เกิดมากขึ้นในแต่ละปี สาเหตุก็มาจากพฤติกรรมการกินอาหารแบบตามใจปาก และไม่ดูแลตัวเอง แต่ใช่ว่าวิธีการควบคุมน้ำตาลจะเป็นเรื่องยากเสมอไปนะ หากเรารู้จักรับประทานอาหารที่มีประโยชน์อย่างผักสมุนไพร ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีป้องกันโรคเบาหวานได้ วันนี้เพนกวิน Frank จึงขอนำเสนอสมุนไพร 10 ชนิดต้านโรคเบาหวานมาฝากทุกคนด้วย แล้วสมุนไพรบางชนิดเรายังกินบ่อยด้วยนะ แต่จะมีอะไรบ้าง? ลองมาอ่านเลย

1. มะระขี้นก (Bitter Gourd)

วิธีควบคุมน้ำตาล
เคยได้ยินคำว่า “หวานเป็นลมขมเป็นยา”  ไหม? สำหรับถ้าใครที่อยากจะทานสมุนไพรที่ช่วยลดน้ำตาลในเลือด ก็ต้องยกให้  “มะระขี้นก” เป็นอันดับหนึ่ง ถึงแม้จะมีรสชาติขมแต่สารซาแรนติน (Charantin) ที่อยู่ในตัวมะระขี้นก มันจะช่วยเพิ่มการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อน ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง  ถ้าใครเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานแนะนำให้ลองนำมะระขี้นกไปต้มในน้ำเดือด แล้วใส่เกลือเพียงเล็กน้อย เพื่อลดความขมจะกินเป็นผักจิ้มหรือนำมาแกงอาหารก็ได้
ข้อควรระวัง : ห้ามรับประทานมะระขี้นกที่ขมจัด หรือมะระขี้นกที่เริ่มสุกแล้ว เพราะจะทำให้ตับทำงานหนัก สำหรับสตรีมีครรภ์ เด็กหรือผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำไม่แนะนำทาน

2. ตำลึง (Lvy Gourd)

วิธีควบคุมน้ำตาล
ตามด้วย “ผักตำลึง ที่ขึ้นชื่อด้านการทำอาหาร จำพวกแกงจืดหรือก๋วยเตี๋ยวมากที่สุด ถือเป็นผักสมุนไพรที่ช่วยลดน้ำตาลในเลือดและป้องกันโรคเบาหวานโดยเฉพาะ เพราะใบตำลึงจะมีสารเพกทิน (Pectin) ที่ช่วยเผาผลาญน้ำตาลกลูโคสอยู่แล้ว  เพียงแค่ใช้เถาแก่ของตำลึงประมาณ 1 กำมือ หลังจากนั้นล้างให้สะอาดแล้วต้มน้ำ ก็สามารถนำมาแกงอาหารได้ตามใจชอบ

3. ถั่วเหลือง (Soybean)

วิธีควบคุมน้ำตาล
นอกจากถั่วเหลืองจะมีโปรตีนสูงแล้ว ยังช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย โดยเฉพาะใครที่ต้องการลดน้ำหนักนะ แนะนำให้ลองดื่มนมถั่วเหลือง (สูตรปราศจากน้ำตาล) ก่อนมื้ออาหาร 30 นาที มันจะช่วยดูดซึมอาหารจำพวกแป้งให้น้อยลง ส่งผลให้ระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้น  แล้วสามารถป้องกันโรคความดันโลหิตสูง หรือโรคอ้วนที่ตามมาด้วย
หมายเหตุ : ทั้งนี้การเก็บถั่วเหลืองจะต้องไม่นานเกินไป ควรสดใหม่อยู่เสมอ รวมถึงสตรีที่กำลังให้นมบุตร ก็ควรดื่มในปริมาณที่เหมาะสม

4. กระเพรา (Holy Basil)

วิธีควบคุมน้ำตาล
ใครบอกว่า “ใบกระเพรา” ไม่มีประโยชน์!! ใบกระเพราถือเป็นสมุนไพรที่ช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ดีเลย ทั้งขับลม แก้จุกเสียด หรือแน่นท้องแล้ว ใบกระเพราก็ยังมีคุณสมบัติ ป้องกันโรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดอุดตัน และภาวะไขมันในเลือดสูงด้วย  ต่เราก็ต้องเลือกผักออร์แกนิก (Organic) แบบปลอดสารพิษนะ รวมถึงการปรุงอาหารให้ถูกหลักอนามัย

5. เห็ดหลินจือ (Lingzhi Mushroom)

วิธีควบคุมน้ำตาล
“เห็ดหลินจือ” นับว่าเป็นราชาแห่งสมุนไพรจีนเลย เป็นยารักษาโรคชั้นเลิศที่มีสรรพคุณบำรุงร่างกายให้แข็งแรง ต้านโรคมะเร็ง และมีสารพอลิแซ็กคาไรด์ (Polysaccharide) ช่วยกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน เปลี่ยนน้ำตาลในเลือดให้เป็นพลังงานแก่ร่างกาย  จนกว่าระดับน้ำตาลในเลือดลดลง หากใครที่อยากจะลองทานแนะนำให้ใช้ดอกเห็ดหลินจือหั่นเป็นชิ้นบางๆ แล้วต้มในน้ำเดือดสัก 10-15 นาที พอเสร็จแล้วก็สกัดดื่มเป็นน้ำ หรือจะลองทำเป็นเมนูสุขภาพ อย่างเช่น ข้าวต้มเห็ดหลินจือ ข้าวผัดเห็ดหลินจือ และเห็ดหลินจือทรงเครื่องได้

6. ชาเขียว (Green Tea)

วิธีควบคุมน้ำตาล
หลายคนอาจจะชอบดื่มชาเขียวเป็นประจำอยู่แล้ว แต่คุณรู้หรือไม่ว่า? ชาเขียวจะมีสารโพลีฟีนอลสารต้านอนุมูลอิสระด้วยนะ มันจะช่วยผลิตฮอร์โมนอินซูลินในตับอ่อน และดูดซับน้ำตาลกลูโคส  แต่ทั้งนี้เราก็ไม่ควรดื่มชาเขียวในปริมาณที่มากเกินไป เพราะจะมีสารคาเฟอีนเหมือนกับกาแฟทำให้นอนหลับยาก หรือถ้าใครที่กำลังมีปัญหาเรื่องนอนไม่หลับ ลองอ่านวิธีช่วยให้นอนง่ายหลับสบายมากขึ้นกันก่อน จะช่วยให้ร่างกายเราผ่อนคลายมากขึ้น

7. กระเทียม (Garlic)

วิธีควบคุมน้ำตาล
หลายคนอาจจะมองว่า กระเทียมไม่น่าจะใช่วิธีการควบคุมน้ำตาลหรือป้องกันโรคเบาหวาน แต่ความเป็นจริงแล้วกระเทียมก็มีสรรพคุณต่อต้านเบาหวานได้ดีไม่แพ้กันเลย เพราะจะมีสารอัลลิซินช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดและไขมัน  แนะนำให้รับประทานเล็กน้อยสัก 5-7 กลีบ หรือลองนำมาเป็นส่วนประกอบอาหารก็ดี เพราะกระเทียมจะค่อนข้างมีกลิ่นฉุนกรณีรับประทานมากๆ 
ข้อควรระวัง : ไม่ควรรับประทานกระเทียมสดขณะท้องว่าง อาจทำให้ระคายเคืองกระเพาะอาหาร และไม่ควรรับประทานร่วมกับยา รวมถึงเด็ก สตรีมีครรภ์ไม่แนะนำเช่นกัน

8. ว่านหางจระเข้ (Aloe Vera)

วิธีควบคุมน้ำตาล
เมื่อพูดถึงสมุนไพรไทยอย่าง “ว่านห่านจระเข้” เราก็จะนึกถึงการรักษาแผลสด แผลไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวกเป็นหลัก แต่ผลการวิจัยบางแห่งก็พบว่า ว่านหางจระเข้ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีลดน้ำตาลสะสมในร่างกายด้วย เนื่องจากมีสารโพลีแซคคาไรด์ที่ช่วยกระตุ้นการหลั่งของอินซูลิน สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้  เพียงแค่ตัดเนื้อว่านหางจระเข้มาทำเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ (ไม่ผสมกับน้ำตาล) แล้วนำมารับประทานในปริมาณที่พอดี
แต่ในกรณีผู้ป่วยโรคเบาหวานไม่ควรดื่มน้ำว่านหางจระเข้ หรือดื่มมากจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้เกิดภาวะขาดน้ำได้ แล้วที่สำคัญระวังการปนเปื้อนของยาง จึงต้องล้างวุ้นให้สะอาดก่อนรับประทานทุกครั้ง

9. ฝักทอง (Pumpkin)

วิธีควบคุมน้ำตาล
ถ้าใครที่กำลังหาวิธีควบคุมน้ำตาลในเลือด บอกเลยว่าฝักทองจะเป็นตัวช่วยที่ดีให้กับคุณเลย เพราะฝักทองมีคุณสมบัติเผาผลาญระดับน้ำตาลและการทำงานของอินซูลิน  ดังนั้น เราก็สามารถนำฟักทองมาหั่นเป็นเนื้อ อาจจะเหลือเปลือกบางๆ หน่อย แล้วนำมาประกอบอาหารหรือนึ่งกิน ก็ฟินไม่แพ้กันครับ แถมยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกอีกด้วย

10. ใบเตยหอม (Pandan Leaves)

วิธีควบคุมน้ำตาล
สุดท้ายแล้วสมุนไพรพื้นบ้านอย่าง “ใบเตย” ก็เป็นอีกวิธีควบคุมน้ำตาลเช่นกัน ไม่ว่าจะนำมาสกัดประกอบอาหาร ทำเครื่องดื่มเย็นๆ หรือช่วยดับกลิ่นไม่พึงประสงค์ก็ทำได้ รวมถึงส่วนประกอบของต้นและรากใบเตยจะมีสรรพคุณช่วยรักษาโรคเบาหวานและน้ำตาลในเลือดได้อย่างดีเยี่ยม  โดยนำใบเตยไปต้มน้ำจนสุกแบบไม่ต้องเติมน้ำตาล หลังจากนั้นก็นำมาดื่มเป็นประจำเช้า-เย็น มันจะช่วยรักษาโรคเบาหวาน ยิ่งถ้าวันไหนคุณรู้สึกเหนื่อยๆ ก็สามารถหยิบออกจากตู้เย็นมาดื่มให้สดชื่นได้
เมื่อรู้วิธีควบคุมน้ำตาลในเลือดแล้ว ก็ลองนำสมุนไพรมาทานกันดูนะ มันจะช่วยลดน้ำตาลในเลือดและป้องกันโรคเบาหวานได้ แต่ถึงอย่างไรก็ควรทานในปริมาณที่พอดี พร้อมออกกำลังกายกันด้วยนะ เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณในระยะยาว หรือถ้าใครยังห่วงเรื่องสุขภาพที่ไม่แน่นอน ก็สามารถทำประกันสุขภาพเอาไว้ก่อนก็ดี อย่างน้อยเวลาคุณเจ็บป่วยก็มีคนคอยช่วยดูแล ไม่ต้องจ่ายค่ารักษาเอง รวมถึงค่าห้อง ค่าอาหาร และค่ารถพยาบาลเฉพาะ ก็หมดห่วงไปเลย มีความคุ้มครองให้เลือกที่เหมาะสมกับคุณ
แหล่งที่มา : www.honestdocs.co
 

The post ต้านโรคเบาหวานด้วยการกินผักสมุนไพร appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

]]>