การไลฟ์สดนั้น แบ่งเป็นโปรดักชั่นเป็น 2 ขนาด คือ โปรดักชั่นขนาดเล็ก และ โปรดักชั่นขนาดใหญ่ ความแตกต่างของ 2 ขนาดนี้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งเรื่องของธุรกิจ งบประมาณที่มี หากเป็นโปรดักชั่นขนาดเล็กจะเหมาะกับร้านค้าทั่วไปที่เพิ่งเริ่มขายของ มีงบไม่เยอะมาก แต่อยากทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ ส่วนโปรดักชั่นขนาดใหญ่จะเหมาะกับร้านค้าธุรกิจขนาดกลางขึ้นไป มีสต้อกสินค้าเยอะ และต้องการภาพคมชัด

อุปกรณ์ไลฟ์สด สำหรับโปรดักชั่นขนาดเล็ก

1. โทรศัพท์กล้องสวยสำหรับไลฟ์สด

2. ชุดไฟไลฟ์สด ประกอบด้วย ไฟริงไลท์

3. ไมค์ไวเลส

4. ขาตั้งกล้อง

คนที่เพิ่งเริ่มเข้าสู่วงการไลฟ์สด หรือร้านค้าที่มีงบจำกัด ทางที่ดีควรมีอุปกรณ์เหล่านี้ไว้ใช้งานเบื้องต้น หากคุณต้องการซื้อโทรศัพท์กล้องสวยไลฟ์สด แนะนำให้เลือก มือถือกล้องชัด แบตอึดทนนาน เนื่องจากเวลาใช้มือถือไลฟ์สดนั้นใช้เวลาอย่างต่ำ 2 ชั่วโมงขึ้นไป และใช้แบตเตอรีมากกว่าปกติ แต่หากว่าใครมีโทรศัพมือถือที่ดีอยู่แล้ว สามารถใช้เครื่องที่มีได้เลย แต่อาจจะต้องเตรียมสายชาร์จ พกแบตสำรองไว้ในกรณีฉุกเฉิน ส่วนของสถานที่ไลฟ์สดแนะนำว่าควรเป็นที่โปร่งและมีแสงเพียงพอ ตั้งไฟริงไลฟ์และโทรศัพมือถือไว้ด้านหน้า ให้จัดสินค้าไว้เป็นฉากหลังแต่ไม่ต้องเยอะมากจนเกินไป

อุปกรณ์ไลฟ์สด สำหรับโปรดักชั่นขนาดใหญ่

1. กล้อง DSLR หรือกล้อง Mirror less

2. ชุดไฟไลฟ์สด ประกอบด้วยไฟริงไลท์ ไฟต่อเนื่อง 2 ตัว

3. ไมค์ไวเลส

4. ขาตั้งกล้อง

5. ฉากไลฟ์สด

6. คอมพิวเตอร์สำหรับมอนิเตอร์

7. โปรแกรมไลฟ์สตรีม

8. โปรแกรมจัดการไลฟ์สด

สำหรับร้านค้า หรือ ธุรกิจ SME ที่ต้องการให้ช่องทางไลฟ์สด เป็นอีกหนึ่งช่องทางเพิ่มรายได้ให้กับธุรกิจ อาจจะเห็นตาม Tiktok, Facebook หรือ แอปขายของออนไลน์เจ้าดังที่มีฟังก์ชันไลฟ์สดขายสินค้า แล้วภาพคมชัดเสียงดังฟังชัดเจน บอกเลยว่าเขามีการจัดพื้นที่สำหรับกล้องไลฟ์สดโดยเฉพาะ มีการติดตั้งกล้องและเซตไฟไลฟ์สดไว้เหมือนสตูดิโอถ่ายภาพ จัดฉากหลังอย่างสวยงาม และจัดวางสินค้าให้สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังมีคอมพิวเตอร์ไว้สำหรับสตรีมไลฟ์ เพื่อดึงภาพจากกล้องมายิงสตรีมขึ้นไลฟ์สดผ่านโปรแกรมไลฟ์สตรีมออกไปให้ลูกค้าได้เห็น ส่วนใหญ่จะใช้ โปรแกรม OBS สามารถจัดการระบบได้ง่าย  ส่วนระบบจัดการไลฟ์สดถือเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ในการจัดการออเดอร์ ระบบดูดอัตโนมัติ สรุปยอดอัตโนมัติ มีลิงก์ให้สำหรับลูกค้าไว้กรอกข้อมูลช่องทางการจัดส่งและอัพสลิปโอนเงิน ทางแอปฯ จะเก็บข้อมูลชื่อที่อยู่ของลูกค้าเอาไว้ในระบบ เวลาจะแพ็คสินค้าส่งก็สามารถปริ้นใบออเดอร์มาแปะหน้ากล่องได้เลย สะดวกมาก

หากใครมีแผนจะซื้อโทรศัพท์ใหม่ เพื่อใช้มือถือไลฟ์สดโดยเฉพาะ มองหาแพ็กเกจดูแลเครื่อง AIS Care Plus บริการดูแลเครื่องจากเหตุไม่คาดฝัน เช่น จอแตก ตกน้ำ เครื่องสูญหาย สามารถขอรับบริการเปลี่ยนหน้าจอได้ 1 ครั้ง ต่อ 12 เดือน ขอรับบริการเปลี่ยนเครื่อง หรือรับเครื่องทดแทนได้ 2 ครั้ง มีบริการรับส่งเครื่องถึงบ้าน ไม่ต้องไปช็อป ติดต่อง่ายๆ ผ่านออนไลน์ 24 ชม. มีบริการรับ-ส่งเครื่องซ่อมถึงบ้าน ราคาแพ็กเกจ เริ่มเพียง 49 บาท/เดือน สมัครด้วยตัวเองกด *534*1# และ กดโทรออก สมัครเลย!

The post อุปกรณ์ไลฟ์สด ที่พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ต้องมี appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

แบตเตอรี่โทรศัพท์เป็นแบบไหน

แม้สมาร์ทโฟนในตลาดจะมีมากมายหลายแบรนด์ หลายรุ่น หลายราคา หลายความจุ แต่แบตเตอรี่มือถือที่นิยมใช้ในปัจจุบันนี้ มีแค่ 2 แบบเท่านั้นครับ ได้แก่

• Lithium Ion (Li-Ion) 
• Lithium Ion Polymer (Li-Po)

ซึ่งความแตกต่างเรื่อง อายุการใช้งาน ความจุ ฯลฯ ของแบตเตอรี่ทั้งสองแบบนี้ ก็ไม่ค่อยมีความแตกต่างกันซักเท่าไหร่ครับ เพียงแต่แบตเตอรี่แบบ Li-Po จะมีน้ำหนักที่เบากว่า ยืดหยุ่น และปลอดภัยกว่า แต่โดยรวมคือไม่แตกต่างกันมากครับ 

โดยโทรศัพท์ iPhone ของ apple จะใช้แบตเตอรี่แบบ Li-Po

ส่วนของ Android รุ่นใหม่ๆ ส่วนมากก็จะเป็นแบบ  Li-Po แต่ก็มีรุ่นที่ราคาถูกที่ผู้ผลิตยังเลือกใช้แบบ Li-Ion อยู่

สาเหตุที่แบตเตอรี่โทรศัพท์เสื่อม

มีเกิดก็ต้องมีดับ แฟรงค์เปิดด้วยคำคมเลยนะครับ แต่มันก็เป็นเรื่องจริง เพราะแบตเตอรี่ทุกชนิดนั้นมีอายุการใช้งานอยู่แล้ว ถ้าใช้ไปนานๆ ก็ย่อมเสื่อมสภาพเป็นธรรมดา แต่ก็มีหลายสาเหตุ ที่ทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพ จะมีอะไรบ้าง ไปดูกัน

1. ใช้จนแบตหมดเกลี้ยง

เนื่องจากแบตเตอรี่แบบ Li-Po , Li-Ion ที่ใช้กันในปัจจุบัน หากปล่อยให้แบตหมดจนเหลือ 0% บ่อยๆ จะยิ่งทำให้แบตเสื่อม และคายประจุออกไปเรื่อยๆ จนมีความจุสูงสุดน้อยลง

2. ใช้เครื่องร้อนเกินไป

แน่นอนว่าเมื่อใช้งานไปเรื่อยๆ ย่อมเกิดความร้อนอยู่แล้วครับ แต่หากเราฝืนใช้งานหนักๆ เช่น เล่นเกมหนักๆ ต่อเนื่องเป็นเวลานาน เปิดหน้าจอความสว่างสูงสุดต่อเนื่อง หรือใช้งานขณะชาร์จจนเครื่องเกิดความร้อนสะสมเกินมาตรฐาน เซลล์ของแบตเตอรี่ค่อย ๆ เสื่อมลงตามไปด้วยครับ

3.ใช้อุปกรณ์ชาร์จแบตปลอม

ใครคิดว่าสายชาร์จ หัวชาร์จ ที่ไหนก็เหมือนกัน บอกเลยว่าผิดครับ! เพราะในสายชาร์จหรือหัวชาร์จ ไม่ได้มีแค่สายไฟเฉยๆ นะ แต่ยังมีชิปสำหรับควบคุมการจ่ายไฟ ให้ได้มาตรฐานอยู่ ซึ่งถ้าเราไปซื้อสายชาร์จของปลอม ที่ไม่ได้มาตรฐานมา นอกจากจะชาร์จช้าแล้ว ยังทำให้แบตเตอรี่เสื่อม หรือเสี่ยงระเบิดด้วย

วิธีเช็กว่าแบตเตอรี่เสื่อมหรือเปล่า

การดูว่าแบตเตอรี่มือถือของเราเสื่อมรึเปล่า สามารถทำได้หลายวิธีครับ โดยแฟรงค์ได้แบ่งออกเป็น 3 วิธี ดังนี้

1. ดูเปอร์เซ็นต์แบตเตอรี่ด้วยตัวเอง

แน่นอนว่าเราต้องรู้อาการของโทรศัพท์ของเราดีที่สุดครับ โดยเราสามารถสังเกตอาการแบตเตอรี่ได้ด้วยตัวเอง โดยมีจุดสังเกตุ ดังนี้ครับ

• แบตเตอรี่ลดฮวบทั้งๆที่ไม่ได้ใช้งาน
• ชาร์จเต็ม 100% เร็วกว่าปกติ และหมดเร็วกว่าปกติ ความจุของแบตลดลงนั่นเอง
• แบตเตอรีรวน ลดเอง เพิ่มเอง โดยที่ไม่ได้ใช้และไม่ได้ชาร์จ

ถ้าแบตเตอรี่ิของโทรศัพท์เราเป็นแบบนี้ ให้สันนิษฐานไว้เลยว่า แบตเตอรี่เสื่อมแน่นอน

2. ใช้แอปพลิเคชั่นช่วยเช็ก

แอปพลิเคชั่นของโทรศัพท์มือถือทุกวันนี้มีหลากหลายให้เราเลือกใช้งานครับ ทั้งแอปถ่ายรูปสวยๆ ไม่แพ้กล้องโปร หรือ แอปสำหรับคนชอบเที่ยวต่างประเทศ และแน่นอนว่า แอปสำหรับเช็กแบตเตอรี่ก็มีเช่นกัน

Andriod : แฟรงค์แนะนำให้ใช้แอปพลิเคชั่น AccuBattery ในการเช็กสุขภาพของแบตนะครับ โดยสามารถเข้าไปตรงแถบ health ในแอปพลิเคชั่นได้เลย

iOS : สามารถเช็กได้เลยผ่าน Battery Health หรือ  สุขภาพแบตเตอรี่ โดยดูที่ Maximum Capacity หรือ ความจุสูงสุดของแบตเตอรี่ครับ หากลดต่ำลงกว่าตอนซื้อมาใหม่ๆ แสดงว่าแบตเริ่มเสื่อมแล้วครับ

3. ดูด้วยตาเปล่า

เมื่อแบตเตอรี่เสื่อม สิ่งที่ตามมาก็คือ อาการแบตเตอรี่บวม โดยถ้าเป็นโทรศัพท์ยุคก่อน ๆ ที่สามารถถอดฝาหลังออกมาเช็กได้ ก็ให้ลองถอดแบตมาหมุนกับพื้นเรียบๆ ดู หากแบตของเราหมุนได้ แสดงว่ามีอาการบวมแล้ว ส่วนโทรศัพท์สมัยใหม่ที่มักจะปิดฝาหลังให้สนิท ไม่สามารถถอดได้ ให้ดูว่าโทรศัพท์ของเราเริ่มมีรอยเผยออกมาหรือเปล่าครับ เพราะแบตที่บวมจะดันหน้าจอให้สูงขึ้น จับๆดู ก็จะรู้เองครับ

วิธีป้องกันไม่ให้แบตเสื่อม

เมื่อเรารู้สาเหตุที่ทำให้แบตเสื่อมแล้ว วิธีการป้องกันไม่ให้แบตเสื่อมก็ง่ายๆ ครับ ทำทุกอย่างตรงข้ามเลย ดังนี้ 

1. ไม่ใช้แบตเตอรี่จนหมดเกลี้ยงแล้วค่อยชาร์จ

โดยแฟรงค์แนะนำให้ชาร์จตอนแบตเหลือ 30% จะเหมาะสมนะครับ

2. ไม่ใช้โทรศัพท์จนร้อนเกินไป

เมื่อโทรศัพท์มีอุณหภูมิสูงเกินปกติ ให้ลองพักเครื่องสักนิด หรือลดความสว่างหน้าจอลง และค่อยมาใช้ต่อเมื่ออุณหภูมิเป็นปกติแล้วนะครับ

3. ใช้อุปกรณ์ชาร์จแบตที่ได้มาตรฐาน

ให้เลือกซื้อสายชาร์จและหัวชาร์จของแท้ จากร้านที่เชื่อถือได้เท่านั้นนะครับ

และนี่ก็คือเรื่องราวของอาการแบตเตอรี่เสื่อมสภาพ ที่เรานำมาเสนอ แต่ส่วนมาก สาเหตุที่เราเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือกันไม่ใช่เพราะแบตเสื่อม แต่เป็น “หน้าจอแตก” หรือ “ตกน้ำ” ต่างหากครับ

The post เช็กอาการแบตเตอรี่โทรศัพท์เสื่อม appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

• Line Camera
• VSCO
• Snapseed
• Fimo
• Huji

1. Line Camera

แอปแรก Line Camera แอปถ่ายรูปสวย ๆ แนวน่ารักจากก Line ที่มาพร้อมฟิลเตอร์น่ารักสไตล์ญี่ปุ่น โดยแอปนี้จะเน้นไปที่การแต่งรูปครับ โดยมีทั้งฟิลเตอร์แบบเรียบๆ ไปจนถึงแบบเวอร์วังฟรุ้งฟริ้งกิงก่องแก้วมีตั้งแต่ AR ตกแต่งใบหน้า ทั้งแว่นปลอม หูกระต่าย หูแมว ฯลฯ ให้เราได้เลือกใส่ สามารถเอาสติ๊กเกอร์ไลน์มาใส่ในภาพได้ด้วย แถมยังมีกรอบน่ารักๆ หลายแบบ เรียกได้ว่าแอปเดียวให้อารมณ์เหมือนกับถ่ายที่ตู้สติ๊กเกอร์สมัยก่อนเลยครับ

ข้อดี : มีฟิลเตอร์และลูกเล่นให้เลือกเยอะมาก ส่วนมากฟรี ใครชอบแต่งรูปแนวตู้สติ๊กเกอร์เวอร์ๆ โคเรียแจแปนนิสต้องไม่พลาด

ข้อเสีย : รูปที่ออกมาจะเป็นสไตล์ฟรุ้งฟริ้ง ไม่เหมาะกับคนที่ต้องการภาพสไตล์เรียบๆ หรู

2. VSCO

แอปถ่ายรูปที่โด่งดังมากในสมัยก่อน มาถึงตอนนี้ความนิยมก็ยังไม่เสื่อม VSCO เป็นแอปถ่ายรูปที่มีฟังก์ชันปรับแต่งได้หลายส่วน ทั้งความคมชัด สีผิว ความมืด สว่าง แถมยังมี Preset ให้เลือกใช้มากมาย หลายสไตล์ ทั้งแบบละมุนใสๆ สไตล์กล้องฟิล์ม หรือแนวดาร์กๆ ก็มีครบจบในคลิกเดียว ใครไปเที่ยวแล้วอยากมีภาพเก๋ๆ คุมโทนลงไอจีให้ได้ไลก์รัวๆ ต้องโหลดเลย

ข้อดี : มีฟิลเตอร์สวย ๆ มากมาย หลายโทนให่้เลือกใช้ ปรับแต่งได้มากมาย แถมมีภาพผลงานของอื่นให้ดูเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ

ข้อเสีย : ฟิลเตอร์สวยๆ หลายตัวต้องเสียเงินซื้อซื้อ

3. Snapseed

เป็นแอปที่เน้นการแต่งรูปเป็นหลักครับ (ไม่มีโหมดกล้อง) คือเราสามารถถ่ายรูปจากแอปอื่นแล้วนำมาแต่งในแอปนี้ได้เลย ซึ่งฟังก์ชันการแต่งรูปในแอป Snapseed นี้เรียกได้ว่าครบครันไม่แพ้โปรแกรมในคอมพิวเตอร์เลยครับ ไม่ว่าจะใส่ฟิลเตอร์แบบต่าง ๆ ทำหน้าชัดหลังเบลอ หน้าใสไร้สิว หรือจะนำภาพมาซ้อนกันเป็นภาพเดียวก็ทำได้ครับ เรียกได้ว่าครบทุกความต้องการ ใครอยากแต่งภาพให้ดูสวยงามต้องโหลดเลย ใครใช้เก่ง ๆ นี่ ลืม Photoshop ได้เลย

ข้อดี : ฟังก์ชันแต่งรูปมีหลายหลาย แต่งได้หลายแบบ พอใช้ทดแทนในงานระดับมืออาชีพได้

ข้อเสีย :  ไม่มีโหมดกล้องถ่ายรูป ต้องถ่ายจากแอปอื่นแล้วนำเข้ามาแต่ง

4.Fimo

ใครที่ว่าการแต่งภาพสไตล์กล้องฟิล์มยังไม่ถึงใจพอ ขอแนะนำให้รู้จักแอปนี้เลยครับ Fimo เป็นแอปถ่ายรูปสไตล์กล้องฟิล์มที่ให้อารมณ์เหมือนกล้องฟิล์มแท้ๆ เลยครับ ตั้งแต่หน้าจอการใช้งานไปจนถึงการถ่ายเลยครับ เพราะแอปนี้ ก่อนถ่ายเราจะต้องเลือกฟิล์มที่ใช้ถ่ายก่อน ซึ่งฟิล์มแต่ละรุ่นก็จะให้สไตล์ของภาพที่แตกต่างกัน บางฟิล์มเหมาะกับการถ่ายภาพ บางฟิล์มเหมาะกับการถ่ายทิวทัศน์ และเมื่อถ่ายมาแล้ว ภาพที่ได้ก็จะเป็นสไตล์นั้นเลย เปลี่ยนไม่ได้ แถมภาพที่ได้ยังมีความ “ไม่สมบูรณ์” อยู่ เช่น มี Flare ในภาพ ฟิล์มมีรอยเบิร์น เรียกได้ว่าให้อารมณ์กล้องฟิล์มสุด ๆ เลยครับ

ข้อดี : ให้อารมณ์กล้องฟิล์มแท้ๆ ใครโหยหาอดีตต้องลอง

ข้อเสีย : ฟิล์มที่ให้ฟรีมีไม่มาก อยากได้เพิ่มต้องเสียเงินซื้อ และแต่งภาพหลังุถ่ายไม่ได้

5. Huji

เป็นอีกหนึ่งแอปถ่ายรูปสไตล์กล้องฟิล์มที่หลายคนชื่นชอบครับ โดยแอป Huji นี้ จะให้ภาพสไตล์กล้องฟิล์มแบบใช้แล้วทิ้ง โดยการถ่าย ตัว Viewfinder จะมีแค่ช่องเล็ก ๆ ด้านซ้ายบน หมายความว่าเราจะต้องกะระยะให้ดีก่อนถ่าย ไม่งั้น ภาพตกขอบแน่นอนครับ โดยภาพที่ได้จะมีความเป็นกล้องฟิล๋มที่จัดกว่าแอป Fimo ครับ โดยจะมีแสง Flare มีรอยเกรนชัดเจน แต่รับรองว่า ภาพที่ได้สวยเก๋ โดดเด่นแน่นอนครับ

ข้อดี : ใช้ง่าย ถ่าย ดู แชร์ จบเลย ไม่ต้องมีตั้งค่าอะไรมากมาย

ข้อเสีย : ภาพที่ได้มีโทนเดียว แถมแต่งเพิ่มไม่ได้

และนี่ก็คือ 5 แอปถ่ายรูปเก๋ ๆ ที่แฟรงค์แนะนำให้สายเที่ยวควรโหลดติดโทรศัพท์ของตัวเองไว้ รับรองว่าไปเที่ยวแล้วได้ภาพสวย ๆ กลับมาแน่นอน และนอกจากนั้น จะไปเที่ยวไหนก็อย่าลืมมี ประกันเดินทาง ไว้ดูแลด้วยนะครับ เจ็บป่วยขึ้นมา จะได้มีค่ารักษาดูแล แคร์สายเที่ยว ต้องเลี้ยวมาที่แฟรงค์เลย

The post 5 แอปถ่ายรูปสวยๆ เที่ยวคนเดียวก็ได้รูปสวยไม่แพ้กล้องโปร appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

โทรศัพท์หน้าจอแตกทำไงดี ?

ทำใจครับ ผ่าม ล้อเล่น!! เมื่อโทรศัพท์หน้าจอแตก สิ่งที่ต้องทำอย่างแรกคือสำรวจความเสียหายส่วนอื่น ๆ ด้วยครับ จากนั้นให้พิจารณาว่าจอของเราแตกแบบไหน ถ้าเรามีบริการปกป้องหน้าจอแตก หรือที่รู้จักกันในชื่อประกันหน้าจอแตก (จริงๆ ไม่ใช่ประกันนะครับ) ก็สบายใจไป โดยเราสามารถจำแนกกรณีโทรศัพท์หน้าจอแตกได้ 3  แบบ ดังนี้ครับ

1. ฟิล์มกระจกแตก

สิ่งแรกที่หลายคนทำเมื่อได้สมาร์ทโฟนมา คือติดฟิลม์ป้องกันรอยที่หน้าจอ ซึ่งฟิล์มที่ได้รับความนิยมมากก็คือ ฟิล์มกระจก เพราะนอกจากจะกันรอยได้แล้ว หากตกไม่แรง ฟิลม์กระจกยังสามารถช่วยป้องกันโทรศัพท์หน้าจอแตกอีกด้วย โดยเมื่อฟิล์มกระจกแตก ส่วนมากจะไม่แตกทั้งแผ่นครับ แต่จะร้าวๆ แค่บางส่วนที่กระแทกแรง เพราะตัวกาวยังยึดไว้อยู่ และเรายังสามารถใช้งาน สัมผัสหน้าจอได้ตามปกติ 

วิธีซ่อมเมื่อฟิล์มกระจกแตก 

เนื่องจากฟิล์มกระจกซ่อมไม่ได้ครับ แต่มีราคาถูกเลยสามารถเปลี่ยนได้ทั้งแผ่น เพราะงั้นเปลี่ยนเลย! รับรองว่ากลับมาเหมือนใหม่แน่นอน

2.  กระจกหน้าจอแตก

สมาร์ทโฟนทุกตัวจะมีชั้นกระจกอยู่หนึ่งชั้นครอบอยู่ที่หน้าจอ ซึ่งกระจกตัวนี้สำคัญมากครับในการปกป้องหน้าจอของเราเมื่อเกิดอุบัติเหตุ หากกระจกหน้าจอโทรศัพท์ของเราแตก เราจะยังสัมผัสหน้าจอได้อยู่ และหน้าจอจะไม่มีเส้นขึ้น สีจะยังไม่เพี้ยนครับ มีแค่รอยแตกเท่านั้น พูดง่าย ๆ คือ ใช้โทรศัพท์ได้ปกติ มีแค่รอยแตกที่หน้าจอเท่านั้น

วิธีซ่อมเมื่อโทรศัพท์หน้าจอแตก

เมื่อคุณเช็กและมั่นใจแล้วว่าโทรศัพท์ของคุณกระจกหน้าจอแตก ต้องขอแสดงความยินดีด้วยครับ เพราะถึงคุณจะโชคร้าย แต่ก็ยังมีความโชคดีอยู่ เพราะราคาซ่อมกระจกหน้าจอแตกนั้นค่อนข้างถูก และใช้เวลาซ่อมไม่นาน เพียงแค่หาร้านซ่อมที่มีเครื่องลอกกระจกก็สามารถซ่อมแซมได้แล้วครับ

3. จอด้านในแตก

บางครั้งโทรศัพท์ตกแรงๆ หยิบมาดูไม่มีรอยแตกทีหน้าจอ เราก็โล่งใจ พอกดเปิดหน้าจอเท่านั้น สัญญาณความตายมาเยือนโทรศัพท์ครับ เพราะหน้าจอมีจุดดำๆ มีแถบเส้นขึ้น สัมผัสรวนหรือสัมผัสไม่ได้ แบบนี้มั่นใจได้เลยว่า โทรศัพท์หน้าจอแตกด้านใน แน่นอนครับ 

วิธีซ่อมเมื่อกระจกด้านในแตก

ถ้าโทรศัพท์หน้าจอแตกแบบนี้ ทำใจไว้เลยครับว่า “จ่ายแพง” แน่นอน เพราะต้องเปลี่ยนทั้งชุดจอ ยิ่งโทรศัพท์สมาร์ทโฟนสมัยนี้ หน้าจอใหญ่ แถมมีเทคโนโลยีมากมาย เผลอๆ ค่าเปลี่ยนชุดจออาจถึง 50-80% ของราคาเครื่องเลย ดังนั้น เราควรมี Mobile Care ไว้ดูแล รับรองว่าจะจอแตกแหลกละเอียดแค่ไหน ก็ซ่อมให้ไม่เกี่ยง ถูกกว่าจ่ายเองล้านเปอร์เซนต์

The post โทรศัพท์หน้าจอแตกทำไงดี ซ่อมราคาเท่าไหร่ appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

เปิด App เริ่มสร้าง Facebook Avatar

เริ่มต้นจากการเปิด App ใน Facebook ในโทรศัพท์คุณก่อน จะใช้ระบบแอนดรอยด์ หรือ IOS ก็สร้างได้เหมือนกัน พอเปิดมาแล้วให้หาสัญลักษณ์ รูป 3 ขีด ที่มุมจอโทรศัพท์ จากนั้นก็เลื่อนหน้าจอกดปุ่ม "ดูเพิ่มเติม"  แล้วเข้าที่ปุ่ม "อวาตาร์" (Avatar) ได้เลยครับ ซึ่ง Facebook จะขึ้นหน้าจอแนะนะการสร้าง อวาตาร์ เราก็แค่กดปุ่ม "ถัดไป" เพื่อ เริ่มสร้างกันเลย

เริ่มสร้าง Avatar การ์ตูน ในแบบคุณ

พอถึงตอนนี้คุณจะสามารถออกแบบหน้าตา Facebook Avatar ของคุณได้ตามใจเลยครับ โดยจะมีตัวเลือกแต่งหน้าตาที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็น โครงหน้า สีผิว ลักษณะดวงตา จมูก ปาก คิ้ว หนวดเครา ทรงผม รวมถึงการมาร์คอัพแต่งหน้าเพื่อเพิ่มความสวยงามมากขึ้น พอได้หน้าตาที่ตรงใจแล้วก็เลือกใส่เสื้อผ้าสวย ๆ สีสันเก๋ ๆ ให้กับ อวาตาร์ของคุณ ซึ่งคล้ายกับการจำลองแต่งตัวตุ๊กตา อยากจะทำออกมาหน้าตาคล้ายตัวคุณเอง หรือจะทำออกมาเท่ ๆ ในสไตล์คุณก็ได้ แต่ถ้าทำแล้วยังไม่ถูกใจก็ย้อนกลับไปแก้ไขได้นะครับ

หรือถ้ายังไม่แน่ใจว่าอวาตาร์ที่สร้างมาตรงกับหน้าคุณไหม ให้ลองกดปุ่มเปิดหน้ากล้อง เพื่อให้คุณเทียบอวาตาร์กับหน้าตัวเองได้เลย แบบนี้ต้องดีไซน์ออกมาเหมือนแน่ ๆ

นำ Facebook Avatar ไปใช้

เมื่อดีไซน์ Facebook Avatar เสร็จแล้ว ระบบจะใช้เวลาเล็กน้อยเพื่อสร้างอวาตาร์ของคุณขึ้นมา ซึ่งคุณสามารถนำอวาตาร์ของตัวเองไปใช้ได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการโพสต์อวดเพื่อนสวย ๆ ตั้งเป็นรูปโปรไฟล์เท่ ๆ หรือจะใช้เป็นสติ๊กเกอร์ ในการตอบคอมเมนท์หรือช่องแชท Messenger ก็ได้ครับ ซึ่งสติ๊กเกอร์ ก็จะมีท่าทางต่าง ๆ มากมาย ให้คุณไปใช้ในโอกาสเหมาะสม หรือถ้ากดปุ่มแชร์อวาตาร์ไปในหน้าฟีด จะสามารถจัดรูปแบบท่าทางและสีแบคกราวด์ให้เพื่อนของคุณเห็นได้ด้วยนะครับ

สำหรับใครที่จะใช้สติ๊กเกอร์ อวาตาร์ ตอบคอมเม้นท์ ให้กดที่ สัญลักษณ์ Avatars สีม่วง ในช่องเขียนคอมเม้นท์ แล้วเลือกสติ๊กเกอร์ที่ต้องการส่ง แล้วกด send ได้เลย

เป็นอย่างไรบ้างครับกับการสร้าง Facebook Avatar ในแบบคุณ เพียงเท่านี้ก็มีอวาตาร์เก๋ ๆ ไปโชว์เพื่อนกันแล้วนะ แต่ถ้า Facebook ใคร ยังไม่มีเมนูให้สร้างอวาตาร์ ให้ลองอัพเดทแอพฯ  Facebook ก่อนนะครับ

The post วิธีสร้าง Facebook Avatar ทำตัวการ์ตูนสวย ๆ ทำง่าย แป๊บเดียวเสร็จ appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

1. หากโทรศัพท์ตกน้ำให้รีบนำขึ้นทันที

อับดับแรกคุณจะต้องตั้งสติก่อน แล้วรีบนำโทรศัพท์มือถือขึ้นจากน้ำทันที ในกรณีที่มือถือตกน้ำนานอาจจะทำให้ระบบภายในเครื่องได้รับความเสียหายต่างๆ อย่างเช่น น้ำเข้าลําโพงมือถือ มือถือหน้าจอดับ หรือมือถือจอดับเครื่องติด เป็นต้น ดังนั้น เราจะต้องรีบคว้ามือถือให้พ้นจากน้ำเร็วที่สุด 

2. ห้ามเปิด หรือปิดครื่องเด็ดขาด

เชื่อว่ามีหลายคนเข้าใจผิดว่า หากโทรศัพท์หน้าจอดับหลังจากตกน้ำจะต้องรีบเปิดเครื่องทันที อันนี้ถือเป็นข้อห้ามเด็ดขาด!! เพราะการเปิด-ปิดเครื่องขณะที่เครื่องยังมีความเปียกชื้นอยู่ รวมถึงกดปุ่มฟังก์ชั่นอื่นๆ จะทำให้ระบบไฟฟ้าภายในช็อต หรือลัดวงจรได้ ซึ่งอาจจะทำให้โทรศัพท์มือถือของคุณพังหนักกว่าเดิม

3. ใช้ผ้าสะอาดมาเช็ดให้แห้ง

ต่อมาเราจะต้องรีบนำผ้าสะอาดมาเช็ดซับบริเวณที่มีน้ำเปียกตามจุดต่างๆ ของอุปกรณ์มือถือให้แห้งสนิท เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำเข้าสู่ตัวเครื่อง

4. ถอดอุปกรณ์มือถือ (กรณีที่ถอดได้)

เมื่อตอนเราทำโทรศัพท์ตกน้ำอาจจะมีน้ำไหลเข้าสู่ตัวเครื่องหรือระบบภายใน แนะนำให้เรารีบถอดอุปกรณ์ชิ้นส่วนต่างๆ ของมือถือออกมา เช่น ซิมการ์ด เมมโมรี่การ์ด แบตเตอรี่ หน้ากาก และฝาหลัง เป็นต้น แต่ถ้าโทรศัพท์ของคุณเป็นรุ่นที่ไม่สามารถถอดแบตเตอรี่ออกได้ก็ข้ามขั้นตอนนี้ไปเลย

5. นำข้าวสารมาช่วยดูดความชื้น

ทราบหรือไม่ว่า? ข้าวสารก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยของคุณได้ด้วย ไม่ใช่แก้หิวนะ แต่เอาไว้ใช้สำหรับดูดความชื้นจากโทรศัพท์ตกน้ำต่างหาก เพียงแค่คุณเช็ดและถอดอุปกรณ์มือถือให้แห้ง แล้วนำไปวางไว้ในถังข้าวสาร หรือใส่ในถุงพลาสติกที่มีซิลิก้าเจล ทั้งนี้จะช่วยดูดซับความเปียกชื้นของอุปกรณ์ต่างๆ ให้แห้ง

6. หากมือถือแห้งแล้ว ลองเช็กอีกครั้ง

อันนี้คงต้องมาลุ้นกันว่า โทรศัพท์ของคุณจะกลับมาใช้งานได้ตามปกติหรือไม่ ด้วยการประกอบอุปกรณ์ชิ้นส่วนของตัวเครื่องแล้วลองเปิดปิดเครื่อง หากว่าเราเปิดเครื่องได้แล้วลองเช็กหน้าจอ ลำโพง ปุ่มกด และลองโทรหาเพื่อนดู  แต่ถ้าโทรศัพท์หน้าจอดับ ลําโพงมือถือไม่ดัง มือถือจอดับเครื่องติด แนะนำให้ติดต่อศูนย์ซ่อมโทรศัพท์มือถือโดยตรงเลย เพื่อให้ทางเจ้าหน้าที่ตรวจสอบความเสียหาย

ข้อควรระวังโทรศัพท์ตกน้ำ

• ห้ามปิดเปิดเครื่องทันทีหลังจากโทรศัพท์ตกน้ำ รวมถึงกดปุ่มฟังก์ชั่นต่างๆ เพราะจะทำให้ระบบไฟฟ้าภายในเครื่องช็อตหรือลัดวงจร
• ห้ามชาร์จแบตมือถือทันที เนื่องจากน้ำอาจจะเข้าสู่ตัวเครื่อง ขั้วเสียบที่ชาร์จแบตมือถือ ต้องรอให้แห้งสนิทดีก่อน จึงสามารถใช้งานได้
• ห้ามนำไดร์เป่าผมโหมดร้อนมาเป่ามือถือเด็ดขาด เพราะความร้อนจะทำให้มือถือได้รับความเสียหาย 
• ห้ามนำโทรศัพท์ไปตากแดดด้วย จะส่งผลให้มือถือได้รับความเสียหายจากความร้อน
• ห้ามนำโทรศัพท์เข้าไมโครเวฟ นอกจากจะไม่ช่วยแก้ปัญหามือถือตกน้ำแล้ว อาจจะทำให้เครื่องระเบิดอีกด้วย
• ห้ามเป่าลมเด็ดขาด อาจจะทำให้น้ำไหลกลับเข้าสู่ตัวเครื่องอีก

เอาเป็นว่า หากคุณไม่จำเป็นก็อย่านำมือถือเข้าห้องน้ำเด็ดขาด จะได้ไม่ต้องมากังวลใจ รวมถึงใช้งานอย่างระมัดระวังไม่ให้มือตกน้ำ หรือเปียกน้ำกันด้วยนะ 

The post โทรศัพท์ตกน้ำ หน้าจอดับ ให้รีบทำตามวิธีนี้ก่อน appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

ใช้โทรศัพท์มือถือตอนฝนตกจะถูกฟ้าผ่า

หากใครเชื่อแบบนี้แสดงว่าคุณนั้นเข้าใจผิดครับ แม้ว่าโทรศัพท์มือถือจะเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้า แต่ก็มีประจุไฟฟ้าไม่มากเพียงพอต่อการเป็นสื่อล่อฟ้าได้ หรือแม้แต่สัญญาณโทรศัพท์เองก็ไม่สามารถทำให้ประจุไฟฟ้าในอากาศแตกตัวจนเป็นสื่อให้ฟ้าผ่าได้เช่นกัน ทั้งนี้แม้ว่าปรากฏการณ์ฟ้าผ่าจะเกิดขึ้นปีละหลายพันครั้ง แต่มีเปอร์เซ็นต์น้อยมากที่มนุษย์จะโดนฟ้าผ่าโดยตรง และหากคุณใช้โทรศัพท์มือถืออยู่ในตัวเมืองแล้วแทบจะไม่มีทางถูกฟ้าผ่าได้เลย เพราะตึกหรืออาคารต่าง ๆ จะเป็นจุดล่อสายฟ้าให้เรานั่นเอง ดังนั้นหากมีคนมาบอกคุณว่าอย่าใช้โทรศัพท์มือถือตอนฝนตกเพราะจะโดนฟ้าผ่านั้น ให้แย้งกลับไปเลยครับว่าไม่เป็นความจริง แต่ Frank ก็แนะนำว่าอย่าใช้โทรศัพท์ขณะเดินตากฝนนะครับ เพราะน้ำอาจเข้าโทรศัพท์ทำให้เครื่องช็อตได้เช่นกัน หรือถ้าใครอยากรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการป้องกันฟ้าผ่าก็สามารถอ่านบทความจาก Frank ได้นะครับ

เสียบสายชาร์จทั้งคืนทำให้แบตเสื่อม

มีความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับการใช้โทรศัพท์ นั่นคือหากชาร์ตแบตโทรศัพท์มือถือทิ้งไว้ทั้งคืนจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพไวขึ้น ซึ่งความเชื่อนี้เป็นเรื่องที่ผิด ๆ ที่หลายคนเข้าใจมาเป็นเวลานาน เพราะไม่เคยมีหลักฐานที่พิสูจน์ว่าทำให้แบตเสื่อมได้จริง นอกจากนี้โทรศัพท์มือถือยุคปัจจุบันเป็นแบตเตอรี่ลิเธียม (Lithium) ซึ่งตัวแบตจะตัดไฟเองโดยอัติโนมัติเมื่อชาร์ตเต็มแล้ว ดังนั้นถ้าคุณมีเหตุจำเป็นที่จะต้องชาร์จแบตไว้ทั้งคืนก็สามารถทำได้เลยครับไม่ต้องกังวลว่าแบตจะเสื่อม

ถ้าแบตยังไม่ใกล้หมดห้ามชาร์จโทรศัพท์

มีความเชื่อผิด ๆ ที่บอกต่อกันมาว่าหากเราชาร์จแบตขณะยังมีพลังงานอยู่เยอะประมาณ 50 - 90 เปอร์เซ็นต์ จะทำให้แบตเสื่อมไว ซึ่งความจริงก็คือคุณสามารถชาร์ตแบตตอนไหนก็ได้ครับ ไม่ได้ทำให้แบตเสื่อมแต่อย่างใด ด้วยคุณสมบัติของแบตเตอรี่ลิเธียมตามที่กล่าวไว้ก่อนหน้าจะทำให้ระบบการชาร์จเป็นแบบไซเคิล (Cycle) ซึ่งอายุการใช้งานของแบตมือถือจะมีหลายพันไซเคิล การชาร์ตแบตแต่ละครั้งตั้งแต่ แบต 0% จนถึง 100% จะนับเป็น 1 ไซเคิล หากเริ่มชาร์จแบตตอน 50 % จะถูกนับเป็น 1/2 ไซเคิลนั่นเองครับ เพระฉะนั้นเราสามารถชาร์จแบตตอนไหนก็ได้ไม่ต้องกลัวว่าแบตจะเสื่อม

ใช้โทรศัพท์ขณะชาร์จแบตจะทำให้ระเบิด

เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่คนทั่วไปเข้าใจผิดกันเกี่ยวกับการใช้โทรศัพท์มือถือ เพราะจริง ๆ แล้ว เราสามารถใช้โทรศัพท์ขณะชาร์จมือถือได้ ไม่ได้ทำให้เครื่องช็อตหรือระเบิดอย่างที่หลายคนเข้าใจ เพราะในกรณีที่โทรศัพท์ของคุณใช้แบตของแท้และได้มาตรฐาน แบตจะไม่มีทางระเบิดขณะชาร์จแน่นอนครับ แม้ว่าตอนที่ชาร์จแบตตัวเครื่องอาจจะร้อนไปบ้างซึ่งคุณก็แก้ปัญหาได้ง่าย ๆ เพียงต่อสมอลทอร์ค หรือเปิดลำโพงคุยก็ได้ครับ แต่ที่แน่ ๆ คือเครื่องไม่ระเบิดแน่นอน

ถ่ายภาพให้ดูสวยต้องใช้กล้องพิกเซลสูง

ตามคอมม่อนเซ้นส์ทั่วไปเราก็คงคิดว่ากล้องมือถือที่มีพิกเซลมากย่อมถ่ายรูปคมชัดกว่ากล้องมือถือที่มีพิกเซลน้อยจริงไหมครับ ซึ่ง Frank จะมาขอเฉลยว่าความเชื่อนี้ไม่จริงเสมอไป เพราะยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีกหลายอย่างที่ส่งผลต่อความคมชัดของภาพด้วย ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพของเลนส์ รูรับแสง หรือจะเป็นเทคโนโลยีเฉพาะต่าง ๆ ที่ค่ายโทรศัพท์ได้ใส่มา ดังนั้นหากคุณจะเลือกโทรศัพท์ที่ถ่ายรูปสวย ๆ ควรดูรีวิวและหาข้อมูลจากหลาย ๆ ที่ มาประกอบการตัดสินใจ อย่าดูข้อมูลแค่จำนวนพิกเซลเพียงอย่างเดียวครับ

ใช้โทรศัพท์นาน ๆ จะทำให้สมองเสื่อม

หลายคนคงเคยได้ยินว่าการใช้โทรศัพท์ที่ถูกต้องคือห้ามคุยโทรศัพท์นานเกินไป หรือห้ามวางโทรศัพท์ข้าง ๆ หัวนอน เพราะคลื่นไฟฟ้าจะไปรบกวนสมอง อาจทำให้สมองเสื่อมหรือเป็นมะเร็งสมองได้ ซึ่งความเชื่อเหล่านี้เป็นแค่สมมุติฐานที่ยังไม่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการ เพราะไม่มีงานวิจัยมารองรับว่าคลื่นไฟฟ้าจากโทรศัพท์นั้นเป็นอันตรายต่อมนุษย์ คลื่นไฟฟ้าจากโทรศัพท์เป็นเพียงคลื่นอ่อนไม่มีพลังงานมากพอต่อการเกิดปฏิกิริยาในระดับเซลล์ และไม่มีความร้อนเพียงพอที่จะส่งผลต่ออุณหภูมิในร่างกาย อีกทั้งยังมีงานวิจัยอีกหลายอย่างสนับสนุนว่าคลื่นไฟฟ้าจากโทรศัพท์มือถือไม่สร้างผลกระทบใด ๆ ต่อสมองมนุษย์อย่างที่หลายคนเข้าใจผิดกัน
คาดว่าหลายคนคงเคลียร์ข้อสงสัยเรื่องความเชื่อผิด ๆ กับการใช้โทรศัพท์มือถือกันไปแล้ว Frank หวังว่าข้อมูลนี้จะมีประโยชน์ และช่วยให้ทุกคนใช้โทรศัพท์ได้อย่างไม่ต้องกังวลใจนะครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก : Sanook
                                    Dtac

The post 6 เรื่องที่คนทั่วไปมักเข้าใจผิด เกี่ยวกับการใช้โทรศัพท์มือถือ appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

ฟ้าผ่าเกิดจากอะไร

ก่อนอื่นต้องอธิบายให้ทราบกันก่อนว่าวัตถุทุกชนิดมีประจุไฟฟ้าอยู่ในตัว จะมากหรือจะน้อยขึ้นอยู่กับประเภทวัตถุนั้น ๆ ซึ่งเมฆฝนเป็นวัตถุที่มีประจุไฟฟ้าลบสะสมอยู่ในตัวเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะบริเวณใต้ก้อนเมฆ เมื่อก้อนเมฆเคลื่อนตัวจะทำให้เกิดการแตกตัวของประจุไฟฟ้า ทำให้ประจุลบใต้ก้อนเมฆวิ่งแหวกอากาศลงไปสัมผัสกับพื้นหรือวัตถุด้านล่างที่เป็นประจุบวก จึงเกิดเป็นเส้นสายฟ้ายาวเป็นแนวหรือเรียกว่าฟ้าผ่านั่นเอง ฟ้าผ่าสามารถเกิดได้ทุกพื้นที่และเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ซึ่งในแต่ละปีก็มีฟ้าผ่าทั่วโลกรวมกันมากถึง 16 ล้านครั้งเลยทีเดียว

ฟ้าผ่าป้องกันอย่างไร

แม้ว่าฟ้าผ่ามักจะเกิดในวันที่มีฝนฟ้าคะนอง แต่บางกรณีก็พบว่าฟ้าผ่าอาจเกิดในวันที่ท้องฟ้าโล่งสดใสก็ได้เช่นกัน โดยอันตรายของฟ้าผ่าคือเมื่อประจุไฟฟ้าปะทะวัตถุหรือพื้นดิน กระแสไฟฟ้าจะแพร่กระจายเป็นคลื่นรอบวัตถุหรือจุดปะทะ หากเราไปอยู่ในพื้นที่บริเวณดังกล่าวก็อาจถูกกระแสไฟฟ้าจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ ซึ่งวิธีป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่าสามารถทำได้ดังนี้
1. เมื่ออยู่ในสภาพอากาศฝนฟ้าคะนองและมีฟ้าผ่า อย่าอยู่ในที่โล่งแจ้ง เช่นทุ่งนา ชายหาด สนามฟุตบอล เป็นต้น เนื่องจากฟ้าผ่าอาจเกิดขึ้นได้ทุกพื้นที่ ซึ่งเราอาจเป็นเป้าได้ง่ายหากอยู่ในพื้นที่โล่ง แต่ให้ไปหลบอยู่ในบ้านหรืออาคาร โดยอยู่ห่างจากหน้าต่างและประตูให้มากที่สุด
2. อย่าเดินกางร่มในบริเวณที่โล่งหากอยู่ในภาวะฟ้าผ่า และที่สำคัญอย่ายืนหลบใต้ต้นไม้ หรือเสาไฟฟ้า เพราะอาจเป็นเป้าให้ฟ้าผ่าได้ง่ายขึ้น
3. หากอยู่ในบ้านให้ถอดปลั๊กอุปกรณ์ไฟฟ้าให้หมด เพราะถ้าฟ้าผ่าลงบ้านอาจทำให้เกิดไฟกระชากและทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าเสียหายได้ ทั้งนี้การติดตั้งสายล่อฟ้าในอาคารสูงก็จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยจากฟ้าผ่าได้เช่นกัน
4. หากอยู่ในที่โล่งและไม่สามารถหาที่หลบได้ ให้ก้มนั่งยอง ๆ ทำตัวให้ต่ำ เขย่งเท้าให้ส้นเท้าทั้งสองชิดกัน และเอามือปิดหู
5. เราสามารถหลบหนีฟ้าผ่าด้วยการเข้าไปหลบในรถยนต์ได้ โดยปิดประตูและกระจกให้มิดชิด หากฟ้าผ่าลงที่รถกระแสไฟฟ้าจะไหลลงดินหมด เราจะปลอดภัย

ฟ้าผ่า..เรื่องที่หลายคนเข้าใจผิด

หลายคนมักเข้าใจผิดว่าโทรศัพท์มือถือเป็นสื่อนำไฟฟ้า เมื่อใช้โทรศัพท์มือถือขณะฝนตกจะทำให้ฟ้าผ่าลงมาที่โทรศัพท์มือถือจนเกิดอันตรายต่อชีวิต ซึ่งความเชื่อดังกล่าวนั้นเป็นเรื่องที่หลายคนเข้าใจผิด เพราะจริง ๆ แล้ว โทรศัพท์มือถือไม่ใช่สื่อล่อฟ้า และสัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่สามารถทำให้ประจุในอากาศแตกตัวเป็นสื่อนำไฟฟ้าได้เช่นกัน แต่ทั้งนี้เราก็ไม่ควรใช้โทรศัพท์มือถือขณะฝนตกอยู่ดีเพราะน้ำฝนอาจเข้าไปในโทรศัพท์ทำให้แบตเตอรี่ลัดวงจรได้

โดนฟ้าผ่า เคลมประกันได้หรือไม่?

ต้องเข้าใจก่อนว่าการโดนฟ้าผ่านั้นเป็นภัยจากอุบัติเหตุครับ (ซึ่งอุบัติเหตุเป็นการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ ตามข้อมูลที่เคยชี้แจงไปในบทความประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลคืออะไร) ดังนั้นผู้ที่โดนฟ้าผ่าจะสามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลจากประกันอุบัติเหตุได้ นอกจากนี้หากโดนฟ้าผ่าเราก็สามารถเบิกค่ารักษาจากประกันสุขภาพได้เช่นกัน เพราะประกันสุขภาพจะครอบคลุมการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุด้วยครับ แต่..ต้องพึงระวังไว้ว่า ผู้ป่วยต้องเข้ารับการรักษาภายใน 24 ชั่วโมงเท่านั้น และวงเงินค่ารักษาพยาบาลจะน้อยกว่าประกันอุบัติเหตุครับ
คาดว่าหลาย ๆ คนคงเคลียร์ข้อสงสัยเรื่องฟ้าผ่าไปกันแล้วนะครับ ทั้งนี้ฟ้าผ่าเป็นเรื่องอันตรายและเป็นภัยที่เกิดขึ้นได้ ดังนั้นหากอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงต่อการโดนฟ้าผ่าก็ต้องระมัดระวังให้ดีนะครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก : springnews
                                   pobpad
                                   maanow

The post "ฟ้าผ่า" ป้องกันอย่างไร ประกันอุบัติเหตุคุ้มครองหรือไม่ ? appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

ใบขับขี่ดิจิทัล “DLT QR LICENCE” คืออะไร?

สำหรับแอปพลิเคชันใบขับขี่ดิจิทัล ที่มีชื่อเรียกกันว่า “DLT QR LICENCE” ก็คือ แอปแสดงใบขับขี่ดิจิทัลผ่านสมาร์ทโฟนของเรา กล่าวคือมีหน้าตา มีข้อมูลเหมือนใบขับขี่ตัวจริงเป๊ะทุกอย่าง เพียงแต่ปรับเปลี่ยนมาอยู่ในมือถือแทนเท่านั้น โดยกรมขนส่งทางบกได้ประกาศให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 15 มกราคม 2562 เป็นต้นไป  สามารถใช้ได้ทั้งระบบ IOS และ Android จึงตอบโจทย์การใช้ขีวิตของคนรุ่นใหม่อย่างยุค 4.0 ได้อย่างสบาย 

วิธีการลงทะเบียนใบขับขี่ดิจิทัลทำยังไง

อยากมีไว้ครอบครองกันแล้วสิครับ อิอิ สำหรับใบขับขี่ดิจิทัลต้อนรับยุค Thailand 4.0 แฟรงค์ได้เตรียมขั้นตอนในการลงทะเบียนใบขับขี่ดิจิทัลที่ง่ายสุด ๆ ทำไม่กี่นาทีก็มีใบขับขี่ดิจิทัลแล้ว เพียงแค่เรามีมือถือและใบขับขี่ตัวจริงเตรียมไว้ข้างกาย พร้อมกับโหลดแอปใบขับขี่ดิจิทัล  และขอย้ำอีกครั้งว่า ฟรี! ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ พร้อมแล้วมาทำตาม 6 ขั้นตอนที่เพนกวิน Frank แนะนำตามนี้
1. โหลดแอปพลิเคชัน  DLT QR LICENCE เริ่มทำใบขับขี่ดิจิทัลเลย สามารถใช้ได้ทั้งระบบ iOS และ Android
2. หลังจากโหลดเสร็จเปิด App ครับ พร้อมกับลงทะเบียนโดยกรอกข้อมูลเลขบัตรประชาชนของเรา กับอีเมลส่วนตัวให้เรียบร้อย
3. ระบบจะส่งรหัส OTP เข้าทางอีเมลที่คุณกรอกไว้ ให้คุณนำรหัสกรอกใส่ช่องว่างแล้วกดตกลง
4. หลังจากนั้นทำการตั้งรหัสผ่าน 6 หลัก (ที่คุณจำได้) เพื่อเข้าสู่ระบบล็อกอินใบขับขี่ดิจิทัล
5. หยิบใบขับขี่ตัวจริง ขึ้นมาเพื่อสแกน QR Code จากด้านหลัง
6. กลับเข้าสู่หน้าเมนู คุณก็จะได้รับใบอนุญาตขับรถยนต์เสมือนจริงไว้ในมือถือ!
กรณีที่ลงทะเบียนผ่าน App นี้จะต้องใช้ QR Code สำหรับใบขับขี่รถยนต์เท่านั้น หากใครที่ยังไม่มีใบขับขี่จะต้องสอบใบขับขี่ให้ผ่านก่อนนะจ้ะ จึงสามารถลงทะเบียนใบขับขี่ดิจิทัลได้ 

แอป DLT QR LICENCE มีไรน่าสนใจบ้าง?

นอกจาก DLT QR LICENCE จะเป็นแอปใบขับขี่ดิจิทัลแล้ว หลังจากคุณเข้าสู่ระบบ (ลงทะเบียนแล้ว) จะมีหน้าหลักและข้อมูลอื่น ๆ ให้เราสามารถคลิกอ่านดูข้อมูลได้เช่นกันเราลองมาดูพร้อมกันเลยครับ

• ข้อมูลใบอนุญาต ก็คือใบอนุญาตขับรถเสมือนจริง แสดงผลข้อมูลทั้งด้านหน้าและด้านหลัง อีกทั้งมี QR Code ใบขับขี่ให้แสกนด้วยครับ ใช้ตรงนี้ยื่นให้เจ้าหน้าที่ดูแทนใบขับขี่ตัวจริงได้
• ข้อมูลส่วนบุคคล จะแสดงข้อมูลของเรา เช่น กรุ๊ปเลือด ประวัติการแพ้ยา โรคประจำตัว สถานพยาบาลหลัก ข้อมูลผู้ติดต่อกรณีฉุกเฉิน สิทธิการรักษาพยาบาล และการบริจาคอวัยวะ เป็นต้น ถือเป็นฟังก์ชันสำคัญมากเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ทางเจ้าหน้าที่จะได้ทราบข้อมูลของคุณเบื้องต้นนั่นเอง
• แชร์เส้นทางการเดินทาง เป็นการแจ้งพิกัดพร้อมหมายเลขทะเบียนของรถสาธารณะ (Taxi) หรือรถโดยสาธารณะใก้แก่บุคคลที่ต้องการทราบ และติดตามตัวคุณได้ หากต้องการความช่วยเเหลือฉุกเฉิน
• SOS ขอความช่วยเหลือ สำหรับกดปุ่มเพื่อแจ้งเหตุไปยังหมายเลขผู้ติดต่อกรณีฉุกเฉิน สามารถแจ้งผ่านเบอร์โทรศัพท์ หรือ SMS ที่ระบุปลายทางผู้รับสายได้ครับ
• ข้อมูลข่าวสาร ส่วนนี้จะเป็นเว็บไซต์ของกรมการขนส่งทางบก เราก็สามารถรับรู้ข่าวประชาสัมพันธ์จากทางการได้ง่ายเพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัสเท่านั้น

ประโยชน์ที่ได้รับหลังจากลงทะเบียนใบขับขี่ดิจิตอล

• เราสามารถแสดงใบขับขี่อิเล็กทรอนิกส์บนมือถือ ให้กับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบเบื้องต้น และช่วยแก้ปัญหาการลืมใบขับขี่ได้ แต่ถ้าแบตมือถือหมดแอปนี้ก็ช่วยไม่ได้นะครับ
• ช่วยเตือนกรณีใบขับขี่ของคุณกำลังจะหมดอายุ ก็จะมีระบบแจ้งเตือนการต่อใบอนญาตขับรถล่วงหน้าให้อีกด้วยนะ
• หากประสบอุบัติเหตุ หรือเกิดเหตุฉุกเฉิน ก็จะแสดงข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลทางการแพทย์ เช่น ประวัติการแพ้ยา กรุ๊ปเลือด โรคประจำตัว สิทธิการเข้ารับการรักษาพยาบาล ชื่อผู้ติดต่อกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน เป็นต้น เป็นข้อมูลเบื้องต้นที่ช่วยเหลือทันทีหากเกิดเหตุร้าย ซึ่งเจ้าหน้าที่จะสามารถติดต่อกับทางครอบครัวได้ทันที
• ปลอดภัยด้วยการแจ้งพิกัด เพราะมีส่วนแชร์เส้นทางพร้อมหมายเลขทะเบียนของผู้ถือใบขับขี่อีกด้วย จึงทำให้เจ้าหน้าที่ประสานงานช่วยเหลือได้สะดวกมากขึ้น
• ช่วยเป็นประโยชน์ในการทราบข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ จากกรมทางขนส่งทางบก เลยทำให้รู้ประเด็นข่าวสารได้เร็วก่อนใคร หรือจะติดตามข่าวสารและเคล็ดลับต่าง ๆ บนเว็บไซต์ frank.co.th ก็ได้ครับ เพราะเราก็เป็นประกันภัยที่รวดเร็วเช่นกัน อิอิ 

หากใบขับขี่ไม่มี QR Code จะต้องทำยังไงล่ะ?

สำหรับกรณีที่ใช้ใบขับขี่ไม่มี QR Code (กระดาษแบบเก่า) แล้วต้องการเปลี่ยนใบขับขี่ที่มี QR Code (พลาสติกเคลือบแบบใหม่) สามารถติดต่อได้ที่กรมการขนส่งทางบกสาขาใกล้บ้านเลยครับ ซึ่งจะมีค่าธรรมเนียมและค่าคำขอตามตามปกติ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มอีก 100 บาท  หมดห่วงเรื่องใบขับขี่ไม่มี QR Code เลยครับ เนื่องจากเป็นการดำเนินการเองโดยกรมการขนส่งทางบก ทำให้ใบขับขี่แบบใหม่มีความปลอดภัยต่อการใช้งานมากขึ้น สามารถเก็บข้อมูลส่วนบุคคล และแสกนคิวอาร์โค้ดด้านหลังใบขับขี่ได้ด้วย

เป็นยังไงบ้างครับ? เพียงแค่คุณสมัครไม่กี่ขั้นตอน ก็จะมีข้อมูลใบขับขี่ทั้งหมดอยู่ในมือถือของคุณ แถมยังมี QR Code ใบขับขี่ให้แสกนอีกด้วย จึงทำให้คุณสะดวกสบายมากขึ้น ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ได้ดีเลยครับ แต่ถึงกรมการขนส่งทางบกจะออกประกาศรับรองใบขับขี่ดิจิตอลแล้ว แนะนำให้เราพกใบขับขี่ตัวจริงไปก่อนนะครับ เผื่อแบตหมด หรือเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมา  และเพื่อความสบายใจของเราเองเช่นกัน
และสำคัญหากประกันกำลังจะขาดต่อ !! อย่าลืมซื้อประกันรถยนต์ไว้ดูแลชีวิตและทรัพย์สินของคุณ หรือจะซื้อประกันรถจักรยานยนต์ กับ frank.co.th ให้ช่วยดูแลทุกการเดินทางของคุณกันด้วยนะ ตอนนี้เทียบเบี้ยประกันกับเราได้แล้วด้วย หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันกับคุณ ประกันภัยจะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีทางเจ้าหน้าท่่ประกันภัยเข้าไปช่วยดูแล พร้อมให้คุณอุ่นใจอีกด้วย มั่นใจเลยว่าคุณจะได้รับบริการที่ดีที่สุด  ทำไว้เถอะครับยิ่งอุ่นใจกว่าเยอะ !!
ขอบคุณแหล่งข้อมูล : dlt.go.th

The post ใบขับขี่ดิจิทัลแทนใบขับขี่จริงได้หรอ? appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

The post มาแล้ว มือถือที่ถอดประกอบได้ตามใจเราจาก Google appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.