ปัญหาสุขภาพ Archives - Bolttech Blog - News & Updates Bolttech Blog - News & Updates Wed, 24 Apr 2024 17:41:49 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.0.3 https://www.bolttech.co.th/blog/wp-content/uploads/2021/02/favicon.ico ปัญหาสุขภาพ Archives - Bolttech Blog - News & Updates 32 32 วิธีดื่มน้ำลดน้ำหนัก บำรุงผิวสวย สุขภาพดี https://www.bolttech.co.th/blog/%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%98%e0%b8%b5%e0%b8%94%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%a1%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b8%a5%e0%b8%94%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b8%b1%e0%b8%81?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=%25e0%25b8%25a7%25e0%25b8%25b4%25e0%25b8%2598%25e0%25b8%25b5%25e0%25b8%2594%25e0%25b8%25b7%25e0%25b9%2588%25e0%25b8%25a1%25e0%25b8%2599%25e0%25b9%2589%25e0%25b8%25b3%25e0%25b8%25a5%25e0%25b8%2594%25e0%25b8%2599%25e0%25b9%2589%25e0%25b8%25b3%25e0%25b8%25ab%25e0%25b8%2599%25e0%25b8%25b1%25e0%25b8%2581 Wed, 24 Apr 2024 05:00:00 +0000 https://www.bolttech.co.th/blog/?p=34207 การดื่มน้ำ เป็นหนึ่งในวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยให้เราสามารถลดน้ำหนักได้ การดื่มน้ำเพียงพอจะช่วยให้ระบบเมตาบอลิซึมในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้รู้สึกอิ่มได้นานขึ้น ลดความรู้สึกหิวระหว่างมื้ออาหาร ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถควบคุมปริมาณแคลอรี่ที่ได้รับเข้าไปได้ดีขึ้น  นอกจากนี้ยังเพิ่มการเผาผลาญแคลอรี่ ช่วยให้ระบ

The post วิธีดื่มน้ำลดน้ำหนัก บำรุงผิวสวย สุขภาพดี appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

]]>
การดื่มน้ำ เป็นหนึ่งในวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยให้เราสามารถลดน้ำหนักได้ การดื่มน้ำเพียงพอจะช่วยให้ระบบเมตาบอลิซึมในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้รู้สึกอิ่มได้นานขึ้น ลดความรู้สึกหิวระหว่างมื้ออาหาร ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถควบคุมปริมาณแคลอรี่ที่ได้รับเข้าไปได้ดีขึ้น  นอกจากนี้ยังเพิ่มการเผาผลาญแคลอรี่ ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างราบรื่น ขจัดของเสียออกจากร่างกาย รักษาไตให้แข็งแรง และยังช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งดูมีน้ำมีนวล ป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ดังนั้นการดื่มน้ำอย่างเพียงพอและถูกวิธีในแต่ละวัน จึงเป็นองค์ประกอบสำคัญในการลดน้ำหนักอย่างมีสุขภาพดี

1. ดื่มน้ำก่อนรับประทานอาหาร

การดื่มน้ำประมาณ 1-2 แก้วก่อนรับประทานอาหารจะช่วยให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น ทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง ซึ่งจะช่วยลดปริมาณแคลอรี่ที่ได้รับ

2. ทดแทนเครื่องดื่มอื่นด้วยน้ำเปล่า

งดเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลและแคลอรี่สูง เช่น น้ำอัดลม น้ำผลไม้ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ให้ดื่มน้ำเปล่าแทน เพื่อลดการได้รับแคลอรี่และน้ำตาลส่วนเกิน

3. พกขวดน้ำติดตัวไปด้วยตลอดเวลา

การมีขวดน้ำติดตัวจะเตือนให้เราดื่มน้ำบ่อยครั้งขึ้น ช่วยให้ได้รับน้ำในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

4. เลือกดื่มน้ำเย็น

น้ำเย็นจะช่วยให้ร่างกายต้องใช้พลังงานในการทำให้น้ำอุ่นขึ้นเพื่อย่อย ซึ่งจะช่วยเผาผลาญแคลอรี่ได้มากกว่าน้ำอุ่น

5. ดื่มน้ำก่อนรู้สึกหิว

อย่ารอให้รู้สึกหิวจึงค่อยดื่มน้ำ เพราะนั่นอาจทำให้รับประทานอาหารมากเกินไป ให้ดื่มน้ำทุก ๆ 2 ชั่วโมง เพื่อรักษาระดับความอิ่มของร่างกาย

6. เพิ่มผลไม้เข้าไปในน้ำดื่ม

การใส่ผลไม้ลงในน้ำ เช่น ส้ม มะนาว แอปเปิ้ล จะช่วยเพิ่มรสชาติและกลิ่นหอมให้น้ำ ทำให้อยากดื่มน้ำมากขึ้น

7. ดื่มน้ำก่อนและหลังออกกำลังกาย

การดื่มน้ำก่อนและหลังออกกำลังกาย เพื่อช่วยให้ร่างกายไม่ขาดน้ำ เพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญแคลอรี่ระหว่างออกกำลังกายด้วย หากทำแพลนการดื่มน้ำใน 1 วัน สามารถทำตามได้อย่างง่ายดาย ดังต่อไปนี้

  • 07.00 น. ดื่มน้ำ 1 แก้ว หลังตื่นนอน ช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น กระตุ้นการขับถ่าย
  • 08.00 น. ดื่มน้ำ 1 แก้ว ก่อนอาหารเช้า 1 ชม. เพื่อป้องกันอาการท้องอืดท้องเฟ้อ
  • 09.00 - 10.00 น. ดื่มน้ำ 1-2 แก้ว เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายทำงานได้เต็มที่ ชำระล้างของเสียออกจากร่างกาย
  • 11.00 น. ดื่มน้ำครึ่งแก้ว ก่อนอาหารเที่ยง 1 ชม. จะช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มเร็วขึ้น ทานอาหารได้น้อยลง
  • 12.00 น. จิบน้ำเล็กน้อยเพื่อล้างปาก ไม่ควรดื่มน้ำเยอะเพราะจะทำให้น้ำย่อยเจือจาง ย่อยอาหารได้ไม่ดี
  • 13.00 - 16.00 น. ดื่มน้ำ 2-3 แก้ว จิบเพื่อดับกระหายระหว่างวัน เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว
  • 17.00 - 19.00 น. ดื่มน้ำ 1 แก้ว ก่อนอาหารเย็น 1 ชม. หาเวลาออกกำลังกาย และจิบน้ำให้ได้ 1-2 แก้ว
  • 20.00 - 21.00 น. ดื่มน้ำ 1 แก้ว จิบเรื่อยๆ เพื่อให้ระบบเลือดและระบบลำไส้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น
  • 22.00 น. ดื่มน้ำ 1 แก้ว ก่อนนอน 1 ชม. เพื่อชำระล้างสิ่งตกค้างในลำไส้

การปฏิบัติตามวิธีเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ ถือช่วยให้คุณดื่มน้ำได้ในปริมาณที่เหมาะสม ส่งผลให้กระบวนการลดน้ำหนักเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับคนที่อยากลดความอ้วนและดูแลสุขภาพ และต้องไม่ลืมที่จะออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยหากใครมีแพลนลดน้ำหนักใน 1 เดือน สูตรลดน้ำหนักแบบเร่งรัดนั้นไม่มีเพราะว่าทุกอย่างต้องใช้เวลา นอกจากนี้คุณควรมองหา ประกันสุขภาพ จากบริษัทประกันชั้นนำควบคู่ไปด้วย คุ้มครองค่ารักษาเมื่อเจ็บป่วย เกิดอุบัติเหตุ ครอบคลุมค่าห้อง ค่าอาหาร ซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ ไม่ต้องตรวจสุขภาพ นำมาลดหย่อนภาษีได้ เข้ามาเทียบแผนที่ bolttech.co.th ได้เลย

ประกันสุขภาพ

The post วิธีดื่มน้ำลดน้ำหนัก บำรุงผิวสวย สุขภาพดี appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

]]>
ออฟฟิศซินโดรม สาเหตุ อาการ และวิธีป้องกัน https://www.bolttech.co.th/blog/%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%9f%e0%b8%9f%e0%b8%b4%e0%b8%a8%e0%b8%8b%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b9%82%e0%b8%94%e0%b8%a3%e0%b8%a1-%e0%b8%aa%e0%b8%b2%e0%b9%80%e0%b8%ab%e0%b8%95%e0%b8%b8-%e0%b8%ad%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3-%e0%b9%81%e0%b8%a5%e0%b8%b0%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%98%e0%b8%b5%e0%b8%9b%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%81%e0%b8%b1%e0%b8%99?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=%25e0%25b8%25ad%25e0%25b8%25ad%25e0%25b8%259f%25e0%25b8%259f%25e0%25b8%25b4%25e0%25b8%25a8%25e0%25b8%258b%25e0%25b8%25b4%25e0%25b8%2599%25e0%25b9%2582%25e0%25b8%2594%25e0%25b8%25a3%25e0%25b8%25a1-%25e0%25b8%25aa%25e0%25b8%25b2%25e0%25b9%2580%25e0%25b8%25ab%25e0%25b8%2595%25e0%25b8%25b8-%25e0%25b8%25ad%25e0%25b8%25b2%25e0%25b8%2581%25e0%25b8%25b2%25e0%25b8%25a3-%25e0%25b9%2581%25e0%25b8%25a5%25e0%25b8%25b0%25e0%25b8%25a7%25e0%25b8%25b4%25e0%25b8%2598%25e0%25b8%25b5%25e0%25b8%259b%25e0%25b9%2589%25e0%25b8%25ad%25e0%25b8%2587%25e0%25b8%2581%25e0%25b8%25b1%25e0%25b8%2599 Mon, 30 Nov 2020 03:52:00 +0000 https://www.bolttech.co.th/blog?p=14269 “ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome)” เป็นอาการเจ็บป่วยอย่างหนึ่งที่พบได้บ่อยในกลุ่มพนักงานออฟฟิศ จากสถิติส่วนใหญ่พบว่าหนุ่มสาวพนักงานออฟฟิศมีอาการปวดหลัง ปวดเมื่อยตามตัวที่เกิดจากท่านั่งทำงานที่ไม่ถูกต้อง และใช้เวลานั่งทำงานเป็นนานๆ โดยไม่เปลี่ยนอิริยาบท ก็กลายเป็นปัญหาอาการปวดเมื่อยเรื้อรัง ทำให้ป่วยเป็นโรคออฟฟิศซินโดรมน

The post ออฟฟิศซินโดรม สาเหตุ อาการ และวิธีป้องกัน appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

]]>
“ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome)” เป็นอาการเจ็บป่วยอย่างหนึ่งที่พบได้บ่อยในกลุ่มพนักงานออฟฟิศ จากสถิติส่วนใหญ่พบว่าหนุ่มสาวพนักงานออฟฟิศมีอาการปวดหลัง ปวดเมื่อยตามตัวที่เกิดจากท่านั่งทำงานที่ไม่ถูกต้อง และใช้เวลานั่งทำงานเป็นนานๆ โดยไม่เปลี่ยนอิริยาบท ก็กลายเป็นปัญหาอาการปวดเมื่อยเรื้อรัง ทำให้ป่วยเป็นโรคออฟฟิศซินโดรมนั่นเอง แต่หลายคนอาจจะยังงงๆ ว่าอาการออฟฟิศซินโดรมนั้นเป็นอย่างไร มีวิธีการป้องกันตัวเองอย่างไรบ้าง แล้วเพื่อดูแลตัวเองตั้งแต่เนิ่นๆ เราลองมาศึกษากันเลยดีกว่า

โรคออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) คืออะไร?

อาการออฟฟิศซินโดรม คือ อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อรูปแบบหนึ่ง ที่เกิดจากการทำงานที่ไม่ถูกต้องหรือใช้ระยะเวลาทำงานนานเกินไป จนทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและมีอาการชาตามส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น หลัง ไหล่ สะบัก ต้นคอ แขน ข้อมือ นิ้วมือ รวมถึงมีอาการปวดศีรษะและสายตาด้วย หากปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานานก็จะส่งผลให้มีอาการเจ็บปวดเรื้อรังในที่สุด

โรคออฟฟิศซินโดรมเกิดจากอะไรบ้าง?

แล้วอาการออฟฟิศซินโดรมเกิดจากอะไร ทำไมถึงปวดเมื่อยตามตัวขณะทำงาน ซึ่งสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้เกิดออฟฟิศซินโดรมนั้น มีอยู่ 2 ปัจจัยด้วยกัน ได้แก่ 

1. สภาพแวดล้อมที่ทำงานไม่ถูกต้อง

ปัจจัยแรกเกิดจาก สภาพแวดล้อมการทำงานที่ไม่เอื้ออำนวย เช่น การใช้โต๊ะหรือเก้าอี้ที่ไม่เหมาะกับโครงสร้างร่างกาย ตำแหน่งหน้าจอคอมพิวเตอร์สูงหรือต่ำจนเกินไป หรืออุปกรณ์ที่ใช้ไม่เหมาะสม เป็นต้น

2. อิริยาบถในการทำงานไม่เหมาะสม

ปัจจัยที่สองมาจาก การนั่งทำงานที่ไม่เหมาะสม เช่น นั่งหลังค่อม นั่งหลังงอ นั่งบนเก้าอี้ที่ไม่มีพนักพิง นั่งไขว้ห้าง หรือนั่งท่าเดิมนานจนเกินไป จะส่งผลให้ร่างกายรู้สึกไม่ผ่อนคลายจนเกิดอาการปวดเมื่อยตัว รวมถึงสภาวะความเครียดที่มาจากการทำงานก็ยิ่งส่งผลให้เจ็บป่วยตามมาด้วย

อาการออฟฟิศซินโดรม

  • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ปวดไหล่ ปวดคอ ปวดบ่า ปวดท้ายทอย ปวดกระดูกสันหลัง ปวดมือ ปวดแขน ปวดเข่า ปวดสะโพก หรือปวดขา จะมีอาการปวดเมื่อยตามตัวชัดเจน หากเราไม่รีบทำการรักษาก็จะเกิดอาการเจ็บปวดเรื้อรังได้
  • มีอาการะบบประสาทร่วมด้วย เช่น อาการหน้ามืดคล้ายจะเป็นลม อาการตาพร่ามัว  อาการหูอื้อ หรือปวดศีรษะตามมา
  • อาการทางระบบประสาทที่ถูกกดทับ จะมีลักษณะอาการชาตามร่างกาย เช่น อาการชาแขนและขา รวมถึงมีอาการอ่อนล้า อ่อนเพลียได้ง่าย

นอกจากนี้ ผู้ป่วยออฟฟิศซินโดรมจะมีอาการเกร็งมือ ปวดนิ้ว นิ้วล็อค หรืออาจจะเป็นโรคหมอนรองกระดูกแทรกซ้อนด้วย รวมถึงโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท ระบบกล้ามเนื้อ หรือบางรายก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ จะต้องรีบทำการรักษาทันทีก่อนจะเป็นอันตรายต่อกล้ามเนื้อ

วิธีป้องกันโรคออฟฟิศซินโดรม

สำหรับวิธีการป้องกันอาการออฟฟิศซินโดร สามารถทำได้หลายวิธีด้วยกัน ซึ่งเราจะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำที่ถูกต้อง โดยเริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการนั่งทำงาน หรือสภาพแวดล้อมในการนั่งทำงาน ก็จะช่วยลดอาการป่วยเป็นโรคออฟฟิศซินโดรมได้

  • ปรับสภาพแวดล้อมการทำงานให้เหมาะสม เช่น เลือกเก้าอี้ที่นั่งสบาย ปรับความสูงของเบาะเก้าอี้ให้พอดี ปรับพนักพิงให้รองรับกับแผ่นหลัง ปรับหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในระดับสายตา และปรับความสว่างของหน้าจอที่สบายตา เป็นต้น
  • ปรับเปลี่ยนท่านั่งทำงานที่ถูกต้อง ต่อมาให้ลองปรับเปลี่ยนท่านั่งทำงานที่จะช่วยลดอาการปวดหลัง เช่น นั่งตัวตรงหลังชิดขอบด้านในของเก้าอี้ หรือสามารถใช้หมอนนิ่มๆ มาหนุนหลัง จะช่วยให้คุณนั่งในท่าสบายมากขึ้น แล้วที่สำคัญอย่าเผลอนั่งหลังงอเด็ดขาด!!
  • บริหารร่างกาย หรือทำโยคะ หากเรามีปัญหาปวดหลัง ปวดเมื่อยตัวขณะทำงาน แนะนำให้ บริหารร่างกายหรือทำโยคะเล็กๆ น้อยๆ ก็จะช่วยลดอาการออฟฟิศซินโดรมได้ แต่ถ้าคุณยังไม่รู้ว่าจะต้องบริหารร่างกายยังไง? แฟรงค์มีท่าเด็ดพิชิตออฟฟิศซินโดรมมาฝากด้วยนะ มาอ่านกันเลย!!
  • พักสายตาบ้าง ถึงแม้เราจะเปลี่ยนท่านั่งทำงานที่เหมาะสมแล้ว หากเราจ้องคอมนานๆ ก็ส่งผลให้คุณรู้สึกปวดตาได้เช่นกัน ทางที่ดีเราควรพักสายตาทุกๆ 15 นาที เพียงให้หลับตา 1-10 วินาที หรือลองกระพริบตาบ่อยๆ เพื่อพักสายตาจากการทำงาน นอกจากนี้เราสามารถใส่แว่นตาที่ช่วยถนอมสายตา หรือใช้แว่นกรองแสงสีฟ้าที่ป้องกันแสงหน้าจอคอม ก็จะช่วยให้เรามองแล้วรู้สึกสบายตามากขึ้น
  • เปลี่ยนอิริยาบถ เพราะการนั่งท่าเดิมๆ เป็นเวลานานจะทำให้ร่างกายเกิดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ แนะนำให้เราเปลี่ยนท่านั่งทุกๆ 20-30 นาที จะช่วยลดอาการออฟฟิศซินโดรมได้

ถึงแม้ว่า “ออฟฟิศซินโดรม” จะเป็นเพียงอาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ แต่ถ้าเราไม่รีบทำการรักษาหรือดูแลตัวเองตั้งแต่เนิ่นๆ ก็อาจส่งผลอันตรายต่อร่างกายได้เหมือนกัน ทางที่ดีเราควรป้องกันเอาไว้ก่อนดีกว่า จะได้ไม่ต้องเจ็บปวดทรมานภายหลัง หรือจะมองหาประกันสุขภาพดีๆ เพื่อให้ช่วยดูแลค่ารักษาพยาบาลเมื่อยามเจ็บป่วยในอนาคตได้ ตอบโจทย์คนวัยทำงานเลย เพราะประกันสุขภาพจะช่วยดูแลคุณอีกทาง หมดห่วงมากขึ้น

The post ออฟฟิศซินโดรม สาเหตุ อาการ และวิธีป้องกัน appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

]]>
โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (ALS) อาการ สาเหตุ และวิธีการรักษา https://www.bolttech.co.th/blog/%e0%b9%82%e0%b8%a3%e0%b8%84%e0%b8%81%e0%b8%a5%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b9%80%e0%b8%99%e0%b8%b7%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b9%81%e0%b8%a3%e0%b8%87%e0%b9%81%e0%b8%a5%e0%b8%b0%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%98%e0%b8%b5%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%a9%e0%b8%b2?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=%25e0%25b9%2582%25e0%25b8%25a3%25e0%25b8%2584%25e0%25b8%2581%25e0%25b8%25a5%25e0%25b9%2589%25e0%25b8%25b2%25e0%25b8%25a1%25e0%25b9%2580%25e0%25b8%2599%25e0%25b8%25b7%25e0%25b9%2589%25e0%25b8%25ad%25e0%25b8%25ad%25e0%25b9%2588%25e0%25b8%25ad%25e0%25b8%2599%25e0%25b9%2581%25e0%25b8%25a3%25e0%25b8%2587%25e0%25b9%2581%25e0%25b8%25a5%25e0%25b8%25b0%25e0%25b8%25a7%25e0%25b8%25b4%25e0%25b8%2598%25e0%25b8%25b5%25e0%25b8%2581%25e0%25b8%25b2%25e0%25b8%25a3%25e0%25b8%25a3%25e0%25b8%25b1%25e0%25b8%2581%25e0%25b8%25a9%25e0%25b8%25b2 Fri, 11 Sep 2020 04:40:00 +0000 https://www.bolttech.co.th/blog?p=13316 เช็กอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือโรค ALS จะมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง แขน ขา มือ และเท้าควบคุมไม่ได้ พร้อมวิธีการรักษาโรค ALS เป็นอย่างไร เรามีคำตอบมาให้แล้ว

The post โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (ALS) อาการ สาเหตุ และวิธีการรักษา appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

]]>
มาทำความรู้จักกับ โรค ALS หรือโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง อีกหนึ่งโรคใกล้ตัวที่กำลังเป็นกระแสในโลกโซเซียล ที่เกิดจากความผิดปกติของระบบเซลล์ประสาท จึงทำให้ผู้ป่วยมีอาการกล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรง ซึ่งโรค ALS จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ มีเพียงแค่รักษาตามอาการหมือนโรคมะเร็ง แต่หากผู้ป่วยได้รับกำลังใจจากคนรอบข้างก็สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ทั้งนี้หลายคนอาจจะสงสัยว่าโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือโรค ALS คืออะไร? มีอาการ พร้อมวิธีการรักษาอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงอย่างไรบ้าง มาอ่านกันเลย

โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (ALS) คืออะไร

โรค ALS

“โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง” หรือเรียกกันว่าโรค ALS (Amyotrophic Lateral Sclerosis) คือ โรคที่ผิดปกติเกี่ยวกับระบบเซลล์ประสาท ทั้งส่วนในสมองและไขสันหลัง ทำให้ร่างกายไม่สามารถควบคุมเซลล์กล้ามเนื้อได้ มีอาการกล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรง กระตุก และมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุภายในบ้านได้บ่อยที่สุด เช่น หกล้ม พลัดตกจากที่สูง เดินสะดุด เป็นต้น เนื่องจากโรค ALS นี้เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ประสาทนำคำสั่ง (โรคของเซลล์ประสาทนำคำสั่ง motor neuron disease; MND) ที่ทำให้ผู้ป่วยควบคุมร่างกายไม่ได้นั่นเอง

สาเหตุโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเกิดจากอะไร

โรค ALS

มีหลายคนตั้งคำถามว่า โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเกิดจากปัจจัยอะไรบ้าง คำตอบอาจจะยังไม่แน่ชัดมากนัก แต่มีข้อสันนิษฐานจากปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้เกิดโรค ALS ดังต่อไปนี้

  • ความผิดปกติของภูมิคุ้มกันตัวเอง หรือโปรตีนบางชนิดทำให้เซลล์ประสาทถูกทำลาย
  • ทางพันธุกรรมที่ทำให้เซลล์ประสาทเสื่อมสภาพ
  • เป็นโรคกล้ามเนื้อเส้น โรคประสาทอักเสบ หลอดเลือดสมองตีบตันมาก่อน
  • มีการสัมผัสสารเคมีที่ปนเปื้อน เช่น ยาฆ่าแมลง โลหะ และรังสี เป็นต้น
  • เกิดจากการติดเชื้อไวรัสบางชนิดที่กระตุ้นให้เซลล์ประสาททำงานผิดปกติ
  • ปัจจัยอายุที่เพิ่มขึ้นยิ่งทำให้เซลล์สมองเสื่อมสภาพได้

อาการโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นอย่างไร?

โรค ALS

ตามอาการของผู้ป่วยที่เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง มักจะมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ไม่ว่าจะเป็นอวัยวะมือ เเขน ขา เท้า หรืออวัยวะอื่นๆ ของร่างกาย ทั้งนี้ผู้ป่วยที่เป็นโรค ALS จะแสดงอาการกล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรงชัดเจน ดังนี้

  • อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง แขน ขา มือ เท้า และอวัยวะส่วนอื่นๆ ไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายได้ เช่น เดินสะดุด ขยับมือไม่ได้ เป็นต้น
  • มีอาการปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้ออ่อนแรง อ่อนเพลียง่าย และผู้ป่วยบางรายก็มีอาการกระตุกร่วมด้วย
โรค ALS
  • อวัยวะปากและลิ้นขยับไม่ได้ รวมถึงไม่สามารถเคี้ยวอาหารได้ตามปกติ
  • ผู้ป่วยมีอาการคอตก ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
  • บางรายก็จะติดเชื้อกลายเป็นปอดอักเสบ
  • หายใจลำบาก เพราะร่างกายไม่สามารถควบคุมกระบังลมที่เป็นส่วนช่วยในการหายใจได้ 

ทั้งนี้ โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงอยู่ได้กี่ปี? ก็ขึ้นอยู่กับระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย และวิธีการรักษา ส่วนใหญ่มักจะมีชีวิตอยู่ภายในระยะเวลา 2-10 ปี

วิธีการรักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (ALS)

โรค ALS

ในกรณีทางแพทย์ประเมินว่าผู้ป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง จะต้องให้แพทย์รักษาเพื่อบรรเทาอาการให้ได้มากที่สุด และป้องกันภาวะแทรกซ้อนโรคอื่นๆ ตามมาด้วย ได้แก่

  • การรักษาด้วยยา เช่น ยาไรลูโซล (Riluzole) ลดการเสื่อมของเซลล์ประสาท
  • การดูแลอาหารการกิน
  • การทำกายภาพบำบัด
  • การใช้เครื่องช่วยหายใจ

หากผู้ป่วยมีสิทธิประกันสังคม สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลในเครือใกล้บ้านได้ แต่ถ้าคุณไม่สะดวกไปรักษาโรงพยาบาลตามสิทธิประกันสังคม ก็จะต้องสำรองจ่ายไปก่อนแล้วค่อยมาเบิกกับทางประกันสังคมทีหลัง ส่วนกรณีเจ็บป่วยแบบไหนเบิกประกันสังคมได้บ้าง อ่านเพิ่มเติมกันได้เลย!

โรค ALS

แล้วโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงอันตรายไหม? คำตอบก็คือ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ แต่ถ้าผู้ป่วยรักษาอาการอย่างถูกวิธี และได้รับกำลังใจจากผู้คนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นจากครอบครัว คนรัก หรือเพื่อน ก็จะช่วยให้ผู้ป่วยมีชีวิตอยู่ต่อกว่า 10 ปี เพราะกำลังใจเป็นสิ่งสำคัญของผู้ป่วย เพื่อให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้นานที่สุด

แล้วที่สำคัญเพื่อความสบายใจ อย่าลืมมองหาประกันสุขภาพให้ช่วยดูแลค่ารักษาเมื่อยามเจ็บป่วยกันด้วย ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาผู้ป่วยใน ผู้ป่วยนอก ค่าผ่าตัด ค่าแพทย์เยี่ยมไข้ ค่าห้องและค่าอาหารผู้ป่วย ก็คุ้มครองให้ทันที ไม่ต้องตรวจสุขภาพก็ซื้อได้ แต่เพื่อนๆ อย่าลืมอ่านเงื่อนไขความคุ้มครองประกันสุขภาพก่อนซื้อด้วยนะ 

ขอบคุณข้อมูลจาก : vibhavadi.com

ประกันสุขภาพ

The post โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (ALS) อาการ สาเหตุ และวิธีการรักษา appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

]]>
วิธีแก้โรคภูมิแพ้ แพ้อากาศ แบบง่ายๆ ทำได้เลย https://www.bolttech.co.th/blog/%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%98%e0%b8%b5%e0%b9%81%e0%b8%81%e0%b9%89%e0%b9%82%e0%b8%a3%e0%b8%84%e0%b8%a0%e0%b8%b9%e0%b8%a1%e0%b8%b4%e0%b9%81%e0%b8%9e%e0%b9%89-%e0%b9%81%e0%b8%9e%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a8?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=%25e0%25b8%25a7%25e0%25b8%25b4%25e0%25b8%2598%25e0%25b8%25b5%25e0%25b9%2581%25e0%25b8%2581%25e0%25b9%2589%25e0%25b9%2582%25e0%25b8%25a3%25e0%25b8%2584%25e0%25b8%25a0%25e0%25b8%25b9%25e0%25b8%25a1%25e0%25b8%25b4%25e0%25b9%2581%25e0%25b8%259e%25e0%25b9%2589-%25e0%25b9%2581%25e0%25b8%259e%25e0%25b9%2589%25e0%25b8%25ad%25e0%25b8%25b2%25e0%25b8%2581%25e0%25b8%25b2%25e0%25b8%25a8 Mon, 07 Sep 2020 03:25:00 +0000 https://www.bolttech.co.th/blog?p=13189 อาการจามไม่หยุด สงสัยโดนฝน เลยเป็นหวัด รู้หรือไม่ว่าคุณอาจเป็นโรค ภูมิแพ้อากาศ มาดูวิธีแก้ภูมิแพ้กัน

The post วิธีแก้โรคภูมิแพ้ แพ้อากาศ แบบง่ายๆ ทำได้เลย appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

]]>
ฮัดเช้ย ฮัดเช้ย อยากรู้จังเลยว่าใครเอ่ยถึงฉัน หน้าฝนแบบนี้ หลายคนคงเกิดอาการ จามไม่หยุด ซึ่งก็อาจคิดว่า สงสัยโดนฝน เลยเป็นหวัด กินยาแก้หวัดเดียวก็หาย แต่รู้ไหมครับว่าคุณอาจจะไม่ได้เป็นแค่หวัด แต่อาจเป็น ภูมิแพ้อากาศ ที่หากปล่อยไว้ อาจลุกลามจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ก็เป็นได้ งั้นวันนี้ แฟรงค์ขอพาทุกคนไปทำความเข้าใจว่า โรคภูมิแพ้อากาศคืออะไร และ จะรักษาอย่างไร

ภูมิแพ้อากาศ หรือ เป็นหวัด ต่างกันอย่างไร

วิธีแก้โรคภูมิแพ้

เนื่องจากอาการของโรคภูมิแพ้อากาศคือ จาม จามไม่หยุด คัดจมูก น้ำมูกไหล ทำให้หลายคนสับสนว่าตัวเองเป็นหวัด แต่จริงๆ แล้ว หวัด กับ ภูมิแพ้อากาศ มีความแตกต่างกันอยู่พอสมควรเลยครับ  

ภูมิแพ้อากาศ

โดยโรคภูมิแพ้อากาศนี้จะเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุครับ ไม่ว่าจะเป็นเราไปสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ อุณหภูมิเปลี่ยนแปลง มีความชื้นในอากาศสูง ความเครียด ไปจนถึงพักผ่อนไม่เพียงพอ  โดยอาการของภูมิแพ้อากาศจะมีดังนี้ครับ

  • มีน้ำมูกใสๆ 
  • ไม่ตัวร้อน ไม่มีไข้
  • เป็นโรคไม่ติดต่อ แต่บางทีอาจถ่ายทอดทางพันธุกรรม 
  • คันคอ คันจมูก อาจมีอาการคันตาและหูอื้อร่วม
  • เป็น ๆ หาย ๆ อาจเป็นติดต่อกัน 3 - 10 วัน
  • เป็นทันทีหลังจากสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ เช่น ฝุ่น เกสรดอกไม้

หวัด

ส่วนหวัด จะมีอาการดังนี้ครับ ซึ่งสามารถรักษาได้ด้วยการทานยาแก้หวัดนะ

  • มีน้ำมูกข้นผสมน้ำมูกใส
  • ตัวร้อน มีไข้ได้
  • ติดต่อได้ และถ่ายทอดไปยังผู้อื่นได้
  • เจ็บคอ หรือ แสบคอ
  • อาการหนักขึ้นได้เรื่อย ๆ
  • ใช้เวลาฟักตัวนานกว่าจะแสดงอาการ

วิธีการรักษาภูมิแพ้อากาศ

การรักษาภูมิแพ้อากาศที่ได้ผลดี และคุณหมอแนะนำมากที่สุดก็คือ “ดูแลสุขภาพ” ให้แข็งแรงเสมอ และกำจัดสารก่อภูมิแพ้ที่จะเข้ามากระตุ้นครับ โดยแฟรงค์สรุปง่ายๆ ดังนี้

1. หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้

ตัดไฟแต่ต้นลมครับ เมื่อเราเป็นภูมิแพ้ เราก็ต้อง ไม่เอาตัวเองไปใกล้กับสารก่อภูมิแพ้ หรือ “ป้องกัน” เช่น แพ้ฝุ่น แพ้เกสรดอกไม้ ให้เราสวมมาสก์ป้องกันไว้ ยิ่งในช่วงนี้มีโรคโควิด-19 ด้วย ปลอดภัยสองต่อเลย หรือถ้าใครแพ้อากาศ แฟรงค์แนะนำว่าไม่ทำให้อุณหภูมิในร่างกายเปลี่ยนแปลงแบบกระทันหันนะครับ 

2. ทำความสะอาดที่พัก

ฝุ่น คือตัวการสำคัญในการก่อภูมิแพ้ในบ้านเลยครับ ซึ่งการทำความสะอาดห้อง ทำความสะอาดที่พัก อย่างสม่ำเสมอจะช่วยได้ครับ ทั้งการกวาดถูบ้าน ซักผ้าปู ผ้านวม ผ้าห่ม ผ้าม่าน รวมถึงล้างแอร์ด้วยนะครับ หรือจะให้ดีมีเครื่องกรองอากาศภายในบ้านด้วยนะครับ

3. ออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรง

เมื่อเป็นโรคภูมิแพ้เราก็สร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายได้ ซึ่งท่าออกกำลังกายจะช่วยลดพุงได้ดีเลยครับ ทั้งช่วยสร้างเสริมภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย และยังเผาผลาญไขมันไปด้วย ดีสองต่อเลย!

4. ทานอาหารให้ดี มีประโยชน์

สุขภาพดี ต้องเริมจากอาหาร ถ้าเราอยากหายจากการเป็นโรคภูมิแพ้ แฟรงค์แนะนำให้เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบห้าหมู่ครับ หรือถ้าอยากทานอาหารที่ทั้งมีประโยชน์ ช่วยลดน้ำหนักด้วย ก็จัดไปทำตามนี้เลยครับ

5. พักผ่อนให้เพียงพอ

ข้อนี้สำคัญมากครับ เพราะไม่ว่าคุณจะเป็นหวัดหรือเป็นภูมิแพ้อากาศ วิธีรักษาที่ดีที่สุด คือการพักผ่อนให้เพียงพอครับ

วิธีแก้โรคภูมิแพ้

ภูมิแพ้ถือเป็นโรคที่หายยากมาก แต่ก็สามารถรักษาให้อาการดีขึ้นได้ แฟรงค์ก็อยากให้เพื่อน ๆ ทุกคนดูแลสุขภาพกันด้วยนะครับ และที่สำคัญ อย่าลืมทำประกันสุขภาพเตรียมไว้ด้วยนะ

The post วิธีแก้โรคภูมิแพ้ แพ้อากาศ แบบง่ายๆ ทำได้เลย appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

]]>
อาการไข้เลือดออก สาเหตุ และวิธีการรักษาเบื้องต้น https://www.bolttech.co.th/blog/%e0%b8%ad%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b9%84%e0%b8%82%e0%b9%89%e0%b9%80%e0%b8%a5%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%94%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%81%e0%b9%81%e0%b8%a5%e0%b8%b0%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%98%e0%b8%b5%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%a9%e0%b8%b2?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=%25e0%25b8%25ad%25e0%25b8%25b2%25e0%25b8%2581%25e0%25b8%25b2%25e0%25b8%25a3%25e0%25b9%2584%25e0%25b8%2582%25e0%25b9%2589%25e0%25b9%2580%25e0%25b8%25a5%25e0%25b8%25b7%25e0%25b8%25ad%25e0%25b8%2594%25e0%25b8%25ad%25e0%25b8%25ad%25e0%25b8%2581%25e0%25b9%2581%25e0%25b8%25a5%25e0%25b8%25b0%25e0%25b8%25a7%25e0%25b8%25b4%25e0%25b8%2598%25e0%25b8%25b5%25e0%25b8%2581%25e0%25b8%25b2%25e0%25b8%25a3%25e0%25b8%25a3%25e0%25b8%25b1%25e0%25b8%2581%25e0%25b8%25a9%25e0%25b8%25b2 Wed, 08 Jul 2020 03:00:11 +0000 https://www.bolttech.co.th/blog?p=12245 ในช่วงฤดูฝนมาเยือนแบบนี้ นอกจากเราจะดูแลสุขภาพตัวเองในช่วงหน้าฝนแล้ว อีกสิ่งที่เราไม่ควรมองข้ามเลยก็คือ “โรคไข้เลือดออก” ที่มาพร้อมกับยุงลาย หากเราโดนยุงลายกัดก็มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคไข้เลือดออก และภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ โดยเฉพาะคนที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอยิ่งส่งผลอันตรายต่อชีวิต แล้วเพื่อรู้จักป้องกันตัวเองมากขึ้น ลองมาศึกษาอาก

The post อาการไข้เลือดออก สาเหตุ และวิธีการรักษาเบื้องต้น appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

]]>
ในช่วงฤดูฝนมาเยือนแบบนี้ นอกจากเราจะดูแลสุขภาพตัวเองในช่วงหน้าฝนแล้ว อีกสิ่งที่เราไม่ควรมองข้ามเลยก็คือ “โรคไข้เลือดออก” ที่มาพร้อมกับยุงลาย หากเราโดนยุงลายกัดก็มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคไข้เลือดออก และภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ โดยเฉพาะคนที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอยิ่งส่งผลอันตรายต่อชีวิต แล้วเพื่อรู้จักป้องกันตัวเองมากขึ้น ลองมาศึกษาอาการไข้เลือดออกระยะแรก สาเหตุ และวิธีการรักษาไข้เลือดออกกันเลย

สาเหตุโรคไข้เลือดออกเกิดจากอะไร

อาการโรคไข้เลือดออกวิธีไล่แมลง
โรคไข้เลือดเกิดจากยุงลายเพศเมียที่เป็นตัวกลางนำพาโรคไปสู่คน เมื่อยุงลายตัวเมียดูดเลือดผู้ป่วยที่มี เชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) เชื้อไวรัสชนิดนี้ก็จะเข้าสู่กระเพาะของยุงแล้วไปเกาะตามเซลล์ที่ผนังกระเพาะของยุงลาย โดยใช้เวลาฟักตัวประมาณ 8-12 วัน พอยุงตัวนี้ไปกัดคนอื่นก็จะปล่อยเชื้อไวรัสเดงกีเข้าสู่กระแสเลือดของผู้ถูกกัด และเชื้อจะฟักตัวเข้าสู่ร่างกายคนประมาณ 5-8 วัน อาจจะสั้นหรือยาวกว่าก็ขึ้นอยู่เชื้อที่ได้รับของแต่ละคน
ทั้งนี้ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคไข้เลือดออก โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝนที่มี่ยุงชุกชุมตามแหล่งน้ำนิ่งในบ้าน เช่น บ่อน้ำ ตุ่มน้ำ โอ่งน้ำ แจกัน จานรองตู้กับข้าว และแหล่งน้ำท่วมขังสกปรกก็ยิ่งมีโอกาสให้ยุงมาวางไข่ในน้ำ เพราะน้ำถือเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงชั้นเยี่ยม ทางที่ดีเราควรหาวิธีป้องกันหรือควบคุมโรคไข้เลือดออกกันด้วย

อาการโรคไข้เลือดออกเป็นอย่างไรบ้าง

อาการโรคไข้เลือดออก
เมื่อกล่าวถึงอาการไข้เลือดออกในผู้ใหญ่แต่ละคนนั้นจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับระยะเวลาการติดเชื้อและสภาพร่างกายของผู้ป่วย โดยส่วนใหญ่อาการไข้เลือดออกในผู้ใหญ่ที่พบบ่อยๆ จะมีดังนี้

1. มีไข้ขึ้นสูง

สำหรับอาการไข้เลือดออกเริ่มต้นของผู้ป่วยจะมีอาการเป็นไข้ รู้สึกตัวร้อนๆ หนาวๆ หรือบางรายก็มีไข้ขึ้นสูงถึง 40-41 องศาเซลเซียลโดยไม่ทราบสาเหตุนานประมาณ 2-7 วัน หลังจากนั้นมีอาการอ่อนเพลียตามมา ถึงแม้จะทานยาลดไข้แล้วก็ยังไม่รู้สึกดีขึ้น

2. มีอาการปวดหัว

ต่อมาผู้ป่วยจะมีอาการปวดหัว วิงเวียนศีรษะ ซึ่งอาการไข้เลือดออกในผู้ใหญ่จะมีอาการปวดบริเวณกระบอกตา และรุนแรงกว่าอาการไข้เลือดออกในเด็ก

3. ปวดเมื่อยตามตัว

“อาการโรคไข้เลือดออก”  ไม่ใช่เพียงแค่มีอาการปวดหัวอย่างเดียว แต่ผู้ป่วยอาจจะมีอาการปวดเมื่อยตามตัวอีกด้วย ได้แก่ ปวดข้อ ปวดเเขน ปวดกล้ามเนื้อ และปวดกระดูก เป็นต้น บางรายอาจจะปวดมากจนข้อบวม หรืออ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายกว่าปกติ

4. คลื่นไส้ อาเจียน

พอหลังจากไวรัสเดงกีฟักตัวนานขึ้น ผู้ป่วยอาจจะแสดงอาการโรคไข้เลือดออกชัดเจน คือ มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร รู้สึกซึมเศร้ากว่าปกติ  หรือบางรายจะมีอาการอาเจียนบ่อยๆ หน้ามืด ใจสั่น ก็ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที

5. ปวดท้อง ถ่ายเป็นสีดำ

นอกจากนี้ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้องกดเจ็บชายโครงด้านขวา หรือท้องเสียร่วมด้วย (ขึ้นอยู่อาการแต่ละคน) แต่สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมักถ่ายอุจจาระสีดำหรือมีเลือดปนอยู่ด้วย รู้สึกกระสับกระส่าย และปัสสาวะน้อยลงอาจจะเข้าสู่ภาวะช็อกได้ ต้องรีบพาผู้ป่วยเข้าพบแพทย์เช่นกัน
 
อาการโรคไข้เลือดออก

6. มีผื่นแดงตามตัว และมีเลือดออก

หากเราสังเกตเห็นมีผื่นแดงขึ้นตามตัว มีลักษณะจุดเลือดเล็กๆ กระจายตามบริเวณผิวหนัง ไม่ว่าจะเป็นเเขน ขา ลำตัว และรักแร้ ก็บ่งบอกได้ว่าเสี่ยงเป็นโรคไข้เลือดออก ส่วนในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงก็จะมีเลือดออกตามผิวหนัง มีเลือดกำเดาไหล หรือเลือดออกตามไรฟัน หากไม่รีบทำการรักษาไข้เลือดออกก็อาจจะเป็นอันตรายต่อชีวิตได้

7. ภาวะตับโต หรือตับล้มเหลว

ส่วนใหญ่ผู้ป่วยที่เป็นไข้เลือดออกประมาณวันที่  3-4 นับตั้งแต่วันที่เริ่มป่วย จะมีอาการตับอักเสบ พอกดแล้วจะรู้สึกเจ็บเพราะเชื้อไวรัสเดงกีสามารถทำลายตับ หรือระบบภูมิคุ้มกันต่างๆ ภายในร่างกาย อาจจะทำให้เกิดภาวะโรคแทรกซ้อนอื่นได้เช่นกัน

8. อาการช็อก หมดสติ

เมื่อเข้าสู่ระยะวิกฤตหรือช็อก ผู้ป่วยจะมีภาวะเลือดโลหิตล้มเหลว ตัวซีด ตัวเย็น และหมดสติ  อาจส่งผลให้เสียชีวิตตามมาภายในเวลา 12-24 ชั่วโมง แล้วยังมีโอกาสเสียชีวิตได้ทันทีเมื่อโรคไข้เลือดออกนั้นเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์และเด็ก รวมถึงผู้ป่วยมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว เช่น โรคตับ โรคหัวใจ ความดันโลหิตต่ำ เป็นต้น

การดูแลรักษาไข้เลือดออกเบื้องต้น

อาการโรคไข้เลือดออก

  • เช็ดตัวลดไข้ ด้วยการใช้น้ำในอุณหภูมิห้อง เพื่อให้ปรับอุณหภูมิของร่างกายให้คงที่
  • ในกรณีไข้ขึ้นสูงให้กินยาลดไข้พาราเซตามอล (ตามขนาดที่แพทย์สั่งเท่านั้น) และห้ามซื้อยามากินเองโดยเด็ดขาด! โดยเฉพาะยาลดไข้ชนิดแอสไพริน และไอบูโปรแฟน เพราะจะทำให้ระคายกระเพาะอาหารทำให้เลือดออกได้ง่ายขึ้น
  • สังเกตอาการโรคไข้เลือดออกอย่างใกล้ชิด เช่น ถ้าผู้ป่วยรู้สึกกระหายน้ำก็ค่อยให้ผู้ป่วยจิบน้ำเปล่าทีละนิด หรือดื่มน้ำเกลือแร่ให้เพียงพอ และพยายามไม่ให้ผู้ป่วยถูกยุงกัดในระยะเวลา 5 วันแรก
  • รับประทานอาหารอ่อนที่ย่อยง่าย และรสชาติไม่จัด เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม หรือแกงจืด
  • หลีกเลี่ยงอาหาร หรือเครื่องดื่มที่มีสีแดง ดำ หรือสีน้ำตาล  เพราะอาจจะทำให้สับสนกับภาวะเลือดออกทางเดินอาหารได้
  • การรักษาไข้เลือดออกที่ถูกต้อง คือ รีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที เพื่อป้องกันการเกิดภาวะโรคแทรกซ้อน หรือภาวะวิกฤตที่เป็นอันตรายต่อชีวิต

 
อาการโรคไข้เลือดออก
อย่างไรก็ตาม ถ้าเราสังเกตเห็นอาการใกล้เคียงดังกล่าว ทางที่ดีควรพบแพทย์ให้เร็วที่สุด! เพื่อตรวจสอบว่าเป็นโรคไข้เลือดออกหรือไม่ อย่าปล่อยให้หายเองเด็ดขาด เนื่องจากไข้เลือดออกเป็นโรคอันตรายสามารถเข้าสู่ภาะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมา ส่วนเรื่องค่ารักษานั้นก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะประกันสุขภาพกับ Frank จะช่วยดูแลค่ารักษาพยาบาลให้อุ่นใจ  ด้วยวงเงินคุ้มครองสูงสุด 400,000 บาทต่อปี รวมทั้งค่าห้องผู้ป่วย ค่าอาหาร และค่าบริการรถพยาบาลที่จำเป็นอีกด้วยนะ พร้อมอยู่ในความดูแลของหมอได้อย่างสบายใจ
 
ประกันสุขภาพ

The post อาการไข้เลือดออก สาเหตุ และวิธีการรักษาเบื้องต้น appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

]]>
6 โรคมะเร็งที่ต้องเฝ้าระวังในวัยทำงาน และอาการเบื้องต้น https://www.bolttech.co.th/blog/%e0%b9%82%e0%b8%a3%e0%b8%84%e0%b8%a1%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b9%87%e0%b8%87%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%95%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b9%83%e0%b8%99%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%a2%e0%b8%97%e0%b8%b3%e0%b8%87%e0%b8%b2%e0%b8%99?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=%25e0%25b9%2582%25e0%25b8%25a3%25e0%25b8%2584%25e0%25b8%25a1%25e0%25b8%25b0%25e0%25b9%2580%25e0%25b8%25a3%25e0%25b9%2587%25e0%25b8%2587%25e0%25b8%2597%25e0%25b8%25b5%25e0%25b9%2588%25e0%25b8%2595%25e0%25b9%2589%25e0%25b8%25ad%25e0%25b8%2587%25e0%25b8%25a3%25e0%25b8%25b0%25e0%25b8%25a7%25e0%25b8%25b1%25e0%25b8%2587%25e0%25b9%2583%25e0%25b8%2599%25e0%25b8%25a7%25e0%25b8%25b1%25e0%25b8%25a2%25e0%25b8%2597%25e0%25b8%25b3%25e0%25b8%2587%25e0%25b8%25b2%25e0%25b8%2599 Fri, 22 May 2020 03:10:52 +0000 https://www.bolttech.co.th/blog?p=11593 โรคมะเร็งตับ โรคมะเร็งปอด โรคมะเร็งปากมดลูก โรคมะเร็งเต้านม โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคมะเร็งผิวหนัง หลายคนอาจจะคิดว่าโรคมะเร็งมีโอกาสเป็นง่ายเฉพาะผู้สูงวัยเท่านั้น แต่ทราบหรือไม่ว่า? โรคมะเร็งถือเป็นโรคร้ายแรงยอดฮิตที่พบได้บ่อยในวัยทำงานเช่นกัน ซึ่งอาจจะเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน สภาพแวดล้อมการทำงาน หรือแม้กระทั่งไ

The post 6 โรคมะเร็งที่ต้องเฝ้าระวังในวัยทำงาน และอาการเบื้องต้น appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

]]>
  • โรคมะเร็งตับ
  • โรคมะเร็งปอด
  • โรคมะเร็งปากมดลูก
  • โรคมะเร็งเต้านม
  • โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
  • โรคมะเร็งผิวหนัง
  • หลายคนอาจจะคิดว่าโรคมะเร็งมีโอกาสเป็นง่ายเฉพาะผู้สูงวัยเท่านั้น แต่ทราบหรือไม่ว่า? โรคมะเร็งถือเป็นโรคร้ายแรงยอดฮิตที่พบได้บ่อยในวัยทำงานเช่นกัน ซึ่งอาจจะเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน สภาพแวดล้อมการทำงาน หรือแม้กระทั่งไม่มีเวลาดูแลสุขภาพ ก็ยิ่งมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งได้ง่าย แล้วนี่ก็คือ 6 อันดับโรคมะเร็งที่พบบ่อยที่สุดในวัยทำงาน พร้อมวิธีสังเกตอาการโรคมะเร็งเบื้องต้น  ลองศึกษากันก่อน! เพื่อรู้เท่าทันมัจจุราชเงียบอย่างโรคมะเร็ง

    1. โรคมะเร็งตับ

    โรคมะเร็ง
    สำหรับหนุ่มๆ วัยทำงานที่ชอบพบปะสร้างสรรค์กินเหล้า หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกฮอล์บ่อยๆ จะมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคตับแข็งแล้วกลายเป็นโรคมะเร็งตับได้ง่าย อาจจะพบบ่อยในช่วงอายุ 30-60 ปี และพบบ่อยในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง  เกิดจากหลายปัจจัยด้วยกันไม่ว่าจะเป็น การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ โรคแทรกซ้อนอย่างเช่นเบาหวาน หรือแม้กระทั่งกลุ่มวัยทำงานที่ชอบทานผักน้อย กินอาหารจำพวกฟาสต์ฟู้ดเป็นประจำ ก็สามารถนำพาโรคตับแข็งและมะเร็งตับได้โดยไม่รู้ตัว

    อาการโรคมะเร็งตับที่พบบ่อย มีดังนี้

    • เจ็บปวดท้องช่วงบน มักจะปวดด้านขวา
    • มีอาการเจ็บปวดที่ช่องท้องหรือพบก้อนเนื้อแข็งๆ ชายโครงด้านขวา
    • คลื่นไส้ อาเจียน
    • ผิวหนังและตาเหลือง
    • น้ำหนักลดลงไม่ทราบสาเหตุ
    • เบื่ออาหาร ไม่รู้สึกอยากอาหาร
    • ท้องบวมขึ้น
    • อ่อนเพลียง่าย
    • ปัสสาวะเป็นสีเหลือง และอุจจาระเป็นสีเทา

    2. โรคมะเร็งปอด

    โรคมะเร็ง
    อีกหนึ่งโรคยอดฮิตในกลุ่มคนวัยทำงาน นั่นก็คือโรคมะเร็งปอด ส่วนใหญ่มักเกิดจากคนวัยทำงานที่กำลังประสบปัญหาโรคเครียด เลยเลือกสูบบุหรี่เพื่อให้ตัวเองรู้สึกผ่อนคลาย แต่ในความเป็นจริงแล้วการสูบบุหรี่ไม่ได้ทำให้ร่างกายรู้สึกคลายเครียดเลย อีกทั้งยังมีสารพิษที่ชื่อว่า “ทาร์” ที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งปอดด้วย เมื่อสารพิษเข้าสู่ร่างกายแล้วจะทำลายเนื้อเยื่อต่างๆ ของปอดทันที ถึงแม้เราจะไม่ได้สูบบุรี่หากได้สูดดมควันบุหรี่บ่อยๆ ก็มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งปอดได้เหมือนกัน รวมถึงสภาพแวดล้อมที่ทำงาน โดยเฉพาะกลุ่มอาชีพที่ทำงานเกี่ยวข้องกับสารเคมีหรืออุตสาหกรรม ก็ยิ่งมีโอกาสได้รับสารพิษเข้าสู่ร่างกายอีกด้วยนะ

    อาการโรคมะเร็งปอดที่พบบ่อย มีดังนี้

    • มีอาการไอเรื้อรัง (ไอแห้งหรือไอมีเสมหะ)
    • ไอปนเลือด
    • เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก
    • เจ็บหน้าอกหรือแน่นหน้าอก
    • เสียงแหบ
    • เบื่ออาหาร
    • น้ำหนักลดไม่ทราบสาเหตุ

    3. โรคมะเร็งปากมดลูก

    โรคมะเร็ง
    รู้ทัน! มัจจุราชเงียบ “โรคมะเร็งปากมดลูก” กันก่อน ถึงแม้ว่าโรคมะเร็งปากมดลูกจะสามารถรักษาให้หายขาดได้หากพบตั้งแต่เนิ่นๆ แต่ก็ยังคงติดสถิติที่พบบ่อยในกลุ่มวัยทำงานเช่นกัน แล้วพบได้บ่อยกับผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป  โดยจะมีลักษณะเป็นก้อนเนื้อเกิดขึ้นบริเวณมดลูก ช่องคลอด หรือบริเวณช่องปากมดลูก ส่วนสาเหตุนั้นมาจากหลายปัจจัยอย่างเช่น มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย เปลี่ยนคู่นอนหลายคน กินยาคุมกำเนิดเป็นเวลานาน กินยาเร่งฮอร์โมน สูบบุรี่บ่อย และมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เป็นต้น ซึ่งผู้หญิงที่เริ่มเข้าสู่ช่วงวัย 30 แล้วก็สามารถตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกได้ เพื่อจะได้รู้ว่ามีอาการผิดปกติหรือไม่ แล้วจะได้รักษาอาการตั้งแต่เนิ่นๆ

    อาการโรคมะเร็งปากมดลูกที่พบบ่อย มีดังนี้

    • มีเลือดออกจากช่องคลอด (ไม่ทราบสาเหตุ)
    • มีอาการเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
    • ปวดท้องน้อย
    • ปัสสาวะมีเลือดปน
    • ตกขาวมากกว่าปกติ
    • อ่อนเพลีย
    • เบื่ออาหาร

    4. โรคมะเร็งเต้านม

    โรคมะเร็ง
    “โรคมะเร็งเต้านม” ภัยเงียบใกล้ตัวของผู้หญิงไทยที่มีแนวโน้มเสี่ยงขึ้นสูงทุกปี โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป  ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของเซลล์ที่อยู่ภายในท่อน้ำหรือต่อมน้ำนมที่ได้รับผลกระทบจากสารก่อมะเร็งบางอย่างจนเกิดเป็นมะเร็งในที่สุด นอกจากนี้ยังมีอีกหลายสาเหตุที่ทำให้เสี่ยงมะเร็งเต้านม ได้แก่ ครอบครัวมีประวัติป่วยเป็นมะเร็งเต้านม การเริ่มมีประจำเดือนมาครั้งแรกตั้งแต่อายุยังน้อย การมีบุตรยาก การได้รับสารรังสี การใช้ยากระตุ้นฮอร์โมนนานเกินกว่า 10 ปี หรือปล่อยให้อ้วนจนเกินไป ก็ย่อมมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งเต้านมสูงกว่าคนทั่วไป

    อาการโรคมะเร็งเต้านมที่พบบ่อย มีดังนี้

    • ก้อนเนื้อแข็งๆ เจ็บในเต้านม หรือบริเวณรักแร้
    • บริเวณหัวนมบุ๋ม หรือเต้านมมีรูปร่างผิดไปจากเดิม
    • มีน้ำเหลืองหรือน้ำเลือดไหลออกจากหัวนม
    • มีอาการปวดเต้านม 
    • เต้านมมีผื่น แดง ร้อน ผื่นคล้ายผิวส้ม 

    5. โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

    โรคมะเร็ง
    นอกจากนี้โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ก็ยังติดอันดับต้นๆ ของกลุ่มคนวัยทำงานอีกด้วย สาเหตุเกิดจากพฤติกรรมการกินอาหาร โดยเฉพาะหนุ่มสาวออฟฟิศที่มีพฤติกรรมการกินอาหารที่มีไขมันสูง มีกากใยอาหารต่ำ และไม่ออกกำลังกาย  ก็มีโอกาสเสี่ยงโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ง่ายกว่า รวมถึงการสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแฮลกอฮอล์เป็นประจำ หรือคนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคมะเร็งลำไส้และทวารหนักมาก่อน หากไม่รีบทำการรักษาทันทีเนื้องอกที่ยื่นออกมาบริเวณผนังลำไส้ใหญ่ จะกลายเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ในที่สุด

    อาการโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่พบบ่อย มีดังนี้

    • มีอาการท้องผูก
    • อุจจาระมีมูกเลือดหรือสีดำคล้ำ
    • เลือดปนมากับอุจจาระ
    • มีอาการปวดท้อง หรือท้องอืด
    • มีก้อนเนื้อแข็งๆ เจ็บบริเวณท้องน้อยด้านขวา
    • อ่อนเพลีย และเหนื่อยง่าย
    • น้ำหนักลงไม่ทราบสาเหตุ

    6. โรคมะเร็งผิวหนัง

    โรคมะเร็ง
    สำหรับกลุ่มวัยทำงานที่ต้องทำงานกลางแจ้ง หรือกลางแดดเป็นประจำ เตือน! ระวังจะกลายเป็นโรคมะเร็งผิวหนังไม่รู้ตัว  เนื่องจากปัจจัยที่ทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังมาจากรังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดด (Ultra Violet) ทั้ง UVA และ UVB  หากได้รับสารเหล่านี้ก็จะเป็นอันตรายต่อระบบผิวหนังจนกลายเป็นเซลล์มะเร็ง หรืออาจจะลุกลามแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นข้างเคียง ส่วนใหญ่แล้วมักจะพบตรงบริเวณศีระษะ และใบหน้ารองลงมา แต่โรคมะเร็งผิวหนังก็ยังรักษาได้ถ้าพบในระยะแรกที่เริ่มมีอาการ

    อาการโรคมะเร็งผิวหนังที่พบบ่อย มีดังนี้

    • มีตุ่ม ก้อนเนื้อหรือแผลเรื้อรังที่ผิวหนัง
    • แผลเลือดออกง่าย
    • แผลหายช้า
    • มีอาการคันผิวหนัง
    • มีไฝหรือขี้แมลงวันมีรูปร่าง สี ขนาดเปลี่ยนไป

    จากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของกลุ่มวัยทำงานที่พบบ่อย ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกินที่มีไขมันสูง รับประทานผักผลไม้น้อย ทำงานหนักจนไม่เวลาพักพ่อน หรือออกกำลังกาย รวมถึงการดื่มเครื่องดื่มแอลกฮอล์ และสูบบุหรี่เป็นประจำ ก็ต้องเฝ้าระวังโรคมะเร็งหรือโรคร้ายแรงอื่นๆ อย่างใกล้ชิด ถึงแม้ว่าเราจะทำงานเพียงใดการดูแลสุขภาพก็เป็นสิ่งสำคัญต่อตัวคุณเองและครอบครัว เพราะฉะนั้นอย่าลืมทำแพ็กเกจประกันโรคร้ายแรงอย่างโรคมะเร็งกับ Frank.co.th เพื่อให้ช่วยดูแลค่ารักษาในยามอนาคตด้วย ตรวจโรคมะเร็งทุกชนิด ทุกระยะ พร้อมจ่ายเงินก้อนทันที! ไม่ต้องคอยกังวลอีกต่อไป
     
    ประกันโรคมะเร็ง

    The post 6 โรคมะเร็งที่ต้องเฝ้าระวังในวัยทำงาน และอาการเบื้องต้น appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

    ]]>
    กินชานมไข่มุกทุกวัน เสี่ยงเป็นโรคเบาหวานจริงหรอ? https://www.bolttech.co.th/blog/%e0%b8%81%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%8a%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%a1%e0%b9%84%e0%b8%82%e0%b9%88%e0%b8%a1%e0%b8%b8%e0%b8%81%e0%b9%80%e0%b8%aa%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%a2%e0%b8%87%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b9%87%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%9a%e0%b8%b2%e0%b8%ab%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b9%84%e0%b8%ab%e0%b8%a1?utm_source=rss&utm_medium=rss&utm_campaign=%25e0%25b8%2581%25e0%25b8%25b4%25e0%25b8%2599%25e0%25b8%258a%25e0%25b8%25b2%25e0%25b8%2599%25e0%25b8%25a1%25e0%25b9%2584%25e0%25b8%2582%25e0%25b9%2588%25e0%25b8%25a1%25e0%25b8%25b8%25e0%25b8%2581%25e0%25b9%2580%25e0%25b8%25aa%25e0%25b8%25b5%25e0%25b9%2588%25e0%25b8%25a2%25e0%25b8%2587%25e0%25b9%2580%25e0%25b8%259b%25e0%25b9%2587%25e0%25b8%2599%25e0%25b9%2580%25e0%25b8%259a%25e0%25b8%25b2%25e0%25b8%25ab%25e0%25b8%25a7%25e0%25b8%25b2%25e0%25b8%2599%25e0%25b9%2584%25e0%25b8%25ab%25e0%25b8%25a1 Mon, 06 Apr 2020 03:43:43 +0000 https://www.bolttech.co.th/blog?p=11173 “เพราะชีวิตติดหวาน เลยขาดชานมไข่มุกไม่ได้” กลายเป็นเทรนใหม่ของหนุ่มๆ สาวๆ ไปซะแล้ว สำหรับการสั่งเครื่องดื่มชานมไข่มุก ด้วยรสชาติความหอมมันและหวานอร่อยที่ลงตัวผสมกับไข่มุกที่นึ๊บๆ เป็นใครก็คงอดใจไม่ไหวใช่ไหมล่ะ?! แต่การกินชานมไข่มุกเพียงแค่ 1 แก้วต่อวันนั้น จะส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงหรือเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานหรือไม่ 

    The post กินชานมไข่มุกทุกวัน เสี่ยงเป็นโรคเบาหวานจริงหรอ? appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

    ]]>
    “เพราะชีวิตติดหวาน เลยขาดชานมไข่มุกไม่ได้” กลายเป็นเทรนใหม่ของหนุ่มๆ สาวๆ ไปซะแล้ว สำหรับการสั่งเครื่องดื่มชานมไข่มุก ด้วยรสชาติความหอมมันและหวานอร่อยที่ลงตัวผสมกับไข่มุกที่นึ๊บๆ เป็นใครก็คงอดใจไม่ไหวใช่ไหมล่ะ?! แต่การกินชานมไข่มุกเพียงแค่ 1 แก้วต่อวันนั้น จะส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงหรือเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานหรือไม่ ?  เอาเป็นว่าเพื่อเตือนใจตัวเองในการบริโภคชานมไข่มุก ลองมาดูกันเลย!!

    กินชานมไข่มุก 1 แก้วต่อวัน เสี่ยงเป็นโรคเบาหวานไหม?

    เนื่องจากปัจุบันนี้มีบริการจัดส่งเครื่องดื่มชาไข่มุกมากมาย มีให้เลือกหลายสาขา ทั้งอำนวยความสะดวกเวลาทำงานหรืออยู่ที่บ้านแล้ว ราคาโปรโมชั่นก็ถูกใจ แถมรสชาติอร่อยอีกด้วย แต่ทราบหรือไม่ว่า? หากคุณกินชานมไข่มุกทุกวันก็มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานได้โดยไม่รู้ตัว เพราะชานมไข่มุกบางเจ้าก็มีส่วนผสมของน้ำตาลในปริมาณที่สูงมาก  นอกจากนี้อาจจะเพิ่มปริมาณน้ำเชื่อม นมผง ครีมเทียม และจำนวนไข่มุกเข้าไปในแก้วอีก ถึงแม้คุณจะดื่มเพียงแค่แก้วเดียวต่อวัน ก็อาจจะเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานได้นั่นเอง

    แล้วชานมไข่มุกส่งผลกับโรคเบาหวานอย่างไร

    กินชานมไข่มุก
    ตามปกติร่างกายคนเราต้องการน้ำตาลไม่เกิน 24 กรัม หรือ 6 ช้อนชาต่อวัน แต่ชานมไข่มุก 1 แก้ว โดยส่วนใหญ่จะมีน้ำตาลสูงถึง 8-11 ช้อนชา  พอรวมกับจำนวนไข่มุกที่เปลี่ยนจากแป้งเป็นน้ำตาลด้วย ทำให้ปริมาณน้ำตาลในเลือดสูงปรี๊ดขึ้น ก็ย่อมมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานได้ง่าย
    ซึ่งโรคเบาหวานเกิดจากเซลล์ร่างกายที่ไม่สามารถผลิตอินซูลินได้ ส่งผลให้กระบวนการดูดซับน้ำตาลในเลือดลดลง จนน้ำตาลสะสมในร่างกายปริมาณมาก แล้วก็กลายเป็นโรคเบาหวานในที่สุด เพราะฉะนั้นหนุ่มๆ สาวๆ ที่ชอบดื่มชานมไข่มุกบ่อยๆ หากไม่จำเป็นก็ควรหลีกเลี่ยงดีกว่า
    เกร็ดความรู้ : ก่อนทำการตรวจโรคเบาหวาน ทางแพทย์จะให้เราอดอาหารอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง สมมติว่าค่า FPG สูงกว่า 126 มก. /ดล. ให้ลองทำอีกครั้ง ถ้าค่ายังสูงกว่า 126 มก./ดล. ถือว่าเป็นโรคเบาหวาน แต่ถ้าเจาะเลือดโดยไม่อดอาหารแล้วในเลือดสูงกว่า 200 มก./มล. ก็ให้ถือว่าเป็นเบาหวานเช่นกัน

    ระวัง! กินชานมไข่มุกทุกวัน เสี่ยงเป็นโรคอื่นตามมาด้วย

    • โรคอ้วน
    • โรคหัวใจและหลอดเลือด
    • โรคท้องผูก

    1. โรคอ้วน

    ลองคิดกันเล่นๆ ชานมไข่มุก 1 แก้ว จะให้พลังงานเฉลี่ยประมาณ 200-400 กิโลแคลอรี่   หรืออาจะมากกว่านั้นขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำตาล รวมถึงท็อปปิ้งจำพวกไข่มุกที่ผสมแป้งมันสำปะหลัง เมื่อเทียบกับอาหารจานหลักบางจานอย่างเช่น ก๋วยเตี๋ยว หรือส้มตำ ปริมาณแคลอรี่ของอาหารยังน้อยกว่าชานมไข่มุกอีก
    ดังนั้น หากเรากินชานมไข่มุกเป็นประจำทุกวัน หรือบางคนกินทีเดียววันละ 3 แก้ว ทั้งหมดพลังงานที่คุณจะได้รับในแต่ละวันรวมกันเท่าไหร่ บางทีอาจจะมากกว่าข้าว 1 ทัพพีด้วยซ้ำ ยิ่งถ้าไม่มีเวลาออกกำลังกายด้วยนะ ก็มีโอกาสเป็นโรคอ้วนตามมา อย่างที่ใครต่อใครบอกว่า ชานมไข่มุกนั้นดีต่อใจ แต่ไม่ดีต่อพุงนั่นเอง

    2. โรคหัวใจและหลอดเลือด

    เพราะว่าชานมไข่มุกบางยี่ห้อ ก็อาจมีส่วนผสมครีมเทียมเข้าไปด้วย ซึ่งครีมเทียมส่วนใหญ่นั้นผลิตจากไขมันปาล์ม ค่อนข้างมีไขมันอิ่มตัวสูง ส่งผลทำให้เกิดโรคหลอดเลือดและโรคหัวใจตามมา  รวมถึงปริมาณน้ำตาลที่เปลี่ยนเป็นไขมัน ก็จะไปสะสมตามหลอดเลือดและหัวใจเช่นกัน แล้วนำไปสู่โรคร้ายยอดฮิตอื่นๆ ตามมาในระยะยาว

    3. โรคท้องผูก

    ทราบหรือไม่ว่า? ไข่มุกที่ผลิตจากหัวมันสำปะหลัง หากรับประทานเข้าไปในปริมาณมากๆ ก็กลายเป็นโรคท้องผูกได้เหมือนกัน ยิ่งใครที่ชอบกลืนไข่มุกแบบไม่เคี้ยวให้ละเอียดก่อน จะส่งผลเสียต่อระบบกระเพาะอาหาร ลำไส้ และระบบขับถ่ายแน่นอน  เอาเป็นว่าหันมารับประทานผักสมุนไพรต้านโรคเบาหวาน และอาการท้องผูกกันดีกว่า
    ถึงแม้ว่าคุณจะกินชานมไข่มุก 1 แก้วต่อวัน ก็มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานได้นะ ทางที่ดีเราควรหลีกเลี่ยงหรือลดปริมาณแก้วให้น้อยลง หรือดื่มน้ำเปล่าแทนจะดีที่สุด แฟรงค์เชื่อว่า ถ้าเราค่อยๆ ปรับตัวก็จะชินไปเอง เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณในระยะยาวอีกด้วย แต่ถ้าใครกังวลเรื่องปัญหาสุขภาพที่ไม่แน่นอน ก็สามารถทำประกันสุขภาพเผื่อไว้ก็ดี มั่นใจได้เลยว่าเมื่อยามเจ็บป่วยก็มีคนช่วยจ่ายค่ารักษาให้ สามารถเลือกแผนประกันได้ตามต้องการเลย ทั้งนี้อย่าลืมอ่านสิ่งที่ต้องศึกษาก่อนทำประกันสุขภาพนะจ๊ะ เพื่อความชัวร์ก่อนตัดสินใจซื้อด้วย
     

    The post กินชานมไข่มุกทุกวัน เสี่ยงเป็นโรคเบาหวานจริงหรอ? appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

    ]]>