1. สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์

การนำสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ เข้าประเทศญี่ปุ่น ถือว่าเป็นเรื่องที่ร้ายแรง แม้ว่าจะตรวจสอบค่อนข้างยาก แต่ก็มีข้อกำหนดที่ห้ามนำเข้าเวลาที่เที่ยว พวกสินค้าลายการ์ตูนต่างๆ อาจจะมีการขอตรวจ หากว่าเจ้าหน้าที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นของปลอมมีสิทธิ์โดนยึดและถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

2. สัตว์ที่ยังมีชีวิต หรือแมลง

เนื่องจากประเทศญี่ปุ่น เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของประชาชนเป็นอันดับหนึ่ง หากมีการนำสัตว์ที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือพวกแมลงเข้าประเทศ อาจจะกระทบกับระบบนิเวศ หรือเกิดโรคระบาดจนเกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง 

3. เนื้อสัตว์ ผักผลไม้ สินค้าแปรรูปจากสัตว์

อาจจะดูเหมือนกับว่าแค่อาหารไม่เห็นจะเป็นอะไร แต่ที่ประเทศญี่ปุ่นเขาออกกฎอย่างชัดเจนว่าเป็นสินค้าที่ต้องมีเอกสารรับรองจากประเทศต้นทางเรื่องการนำเข้าเนื้อสัตว์ ถ้าหากไม่มีเอกสารก็มีสิทธิ์ถูกจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 ล้านเยน

4. ยา 11 ประเภท

สถานเอกอัคราชทูตไทย กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นได้ออกมาประกาศว่า ยาเหล่านี้มีส่วนผสมต้องห้ามที่ผิดกฎหมายของประเทศญี่ปุ่น มีทั้งสิ้น 11 ชนิด ดังต่อไปนี้

ยาที่มีส่วนผสมของซูโดอีเฟดรีน

• Sudafed
• Advil Cold & Sinus
• Tylenol Cold
• Drixoral Sinus
• Dristan Sinus
• Dristan Cold “No Drowsiness”

ยาแก้หวัดที่ไม่ถูกขึ้นทะเบียนในประเทศไทย

• Vicks Inhaler
• Nyquil
• Nyquil Liquicaps

ยาแก้ท้องเสีย (มีส่วนผสมของ diphenoxylate จัดอยู่ในประเภทสารเสพติด)

• Lomotil

5. เงินสด 1 ล้านเยนขึ้นไป

ไปเที่ยวญี่ปุ่น สิ่งสำคัญไม่ควรพกเงินสดติดตัวไปเยอะๆ โดยห้ามพกเกิน 1 ล้านเยนขึ้นไป เพราะอาจโดนเจ้าหน้าที่ตม.สงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน ทางที่ดีควรจะใช้เป็นบัตรเครดิต หรือในรูปแบบอื่นๆ จะสะดวกมากกว่า ไม่เสี่ยงทำเงินหล่นหายด้วย ถึงแม้ว่าญี่ปุ่นจะเป็นประเทศที่ปลอดภัยก็ตาม

อ่านเพิ่มเติม: 12 สิ่งของห้ามนำขึ้นเครื่อง หรือโหลดใต้เครื่องบิน

ถ้าไม่อยากให้ทัวร์ญี่ปุ่นรอบนี้ ต้องสะดุดกลางคัน อย่าพกสิ่งของข้างต้นไปก็น่าจะไม่มีปัญหาแล้ว แต่ก่อนเข้าประเทศญี่ปุ่นควรจะมองหา ประกันเดินทางออนไลน์ ที่ bolttech.co.th เพื่อเพิ่มความอุ่นใจ มีทั้งแผนรายเที่ยว รายปี *คุ้มครองกระเป๋าเดินทางสูญหาย หรือเสียหาย มีแผนชดเชยเที่ยวบินล่าช้า สามารถยื่นขอวีซ่าได้ พร้อมรับกรมธรรม์ออนไลน์ เปรียบเทียบแผนเองได้ รู้ราคาทันที

The post สิ่งของห้ามพกไปญี่ปุ่น อาจโดนจับ! appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

1.นำพาวเวอร์แบงค์ติดตัวไว้เสมอ

ควรนำพาวเวอร์แบงค์ใส่กระเป๋าถือสัมภาระขึ้นเครื่องบิน ไม่ควรใส่ไว้ในกระเป๋าเดินทางที่โหลดใต้เครื่อง เนื่องจากพาวเวอร์แบงค์นั้นมีประจุไอออน และเกิดความร้อนได้ง่าย ทำให้พาวเวอร์แบงค์ระเบิดจนเกิดอันตรายไฟไหม้เครื่องบินระหว่างเดินทาง 

2.ความจุพาวเวอร์แบงค์ต้องไม่เกิน 32,000 mAh 

หากจะต้องขึ้นเครื่องบิน พาวเวอร์แบงค์ที่มีความจุแบตเตอรี่ ไม่เกิน 32,000 mAh โดยนำพาวเวอร์แบงค์ขึ้นเครื่องบินได้คนละไม่เกิน 2 ชิ้น หากมีความจุเกินกว่านั้นต้องได้รับอนุญาตจากสายการบินเป็นกรณีพิเศษ

*อ้างอิงจาก สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (International Air Transpot Association : IATA)

3.พาวเวอร์แบงค์ต้องมีฉลากระบุอย่างชัดเจน

พาวเวอร์แบงค์ ต้องมีฉลากที่ระบุความจุอย่างชัดเจน จึงสามารถนำขึ้นเครื่องบินได้ ถ้าหากว่าไม่มีฉลาก เจ้าหน้าที่อาจจะไม่อนุญาตให้ใช้งาน หรือนำพาวเวอร์แบงค์ขึ้นเครื่องบิน ถึงแม้ว่าจะมีขนาดเล็กแค่ไหนก็ตาม ในกรณีที่สายการบินไม่อนุญาต อาจต้องจ่ายค่าธรรมเนียมจัดการวัตถุอันตรายเพิ่มเติม หรืออาจปฏิเสธไม่ให้นำขึ้นบิน

4.แยกพาวเวอร์แบงค์ให้เจ้าหน้าที่ตรวจทุกครั้ง

เวลาที่เจอด่านตรวจสัมภาระหรือด่านตรวจใดๆ ทางที่ดีควรจะแยกพาวเวอร์แบงค์ออกมาจากกระเป๋า เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบโดยเฉพาะ

กฎระเบียบเหล่านี้ ถือเป็นมาตรฐานและข้อกำหนดด้านความปลอดภัย เพื่อปกป้องผู้โดยสารและลูกเรือระหว่างการเดินทาง โดยทั่วไปเราสามารถพกพาวเวอร์แบงค์ติดตัวขึ้นเครื่องบินได้ หากปฏิบัติตามข้อจำกัดของสายการบิน และก่อนออกเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ ซื้อประกันเดินทาง ที่ bolttech.co.th เพิ่มความอุ่นใจตลอดทริป มีทั้งแผนรายเที่ยว รายปี คุ้มครองค่ารักษา เมื่อเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุ ชดเชยสัมภาระสูญหาย เที่ยวบินล่าช้า และความคุ้มครองอื่นๆ ที่ระบุในกรมธรรม์ สามารถยื่นขอวีซ่าได้ พร้อมรับกรมธรรม์ออนไลน์ เบี้ยเริ่มแค่หลักร้อยเท่านั้น! สบายใจทุกการเดินทาง

The post กฏการพก "พาวเวอร์แบงค์" ขึ้นเครื่องบิน appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

1. ท่องเที่ยวแบบพักผ่อน 

หากใครที่จะเดินทางไปพักผ่อนหย่อนใจ ควรเลือกประกันที่คุ้มครองในเรื่องค่ารักษาพยาบาล การเจ็บป่วยฉุกเฉิน และการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยกลับประเทศ รวมถึงความคุ้มครองกรณีกระเป๋าเดินทางสูญหาย หรือความเสียหายของกระเป๋าเดินทางและทรัพย์สินส่วนตัว

2. ท่องเที่ยวแบบผจญภัย 

สายแอดเวนเจอร์ ไม่ควรมองข้ามในเรื่องประกันเดินทางเด็ดขาด เพราะค่อนข้างเสี่ยงสำหรับการทำกิจกรรมในแต่ละครั้ง ควรเลือกประกันที่คุ้มครองครอบคลุมการเล่นกิจกรรมผจญภัย เช่น กีฬาทางน้ำ ปีนเขา รวมถึงมีการคุ้มครองค่าใช้จ่ายกรณีเกิดอุบัติเหตุหรือบาดเจ็บ การนำส่งกลับประเทศและค่ารักษาพยาบาลในต่างประเทศ  

3.ท่องเที่ยวแบบธุรกิจ 

สำหรับคนที่ต้องเดินทางไปทำงานไกลๆ การรักษาพยาบาลต่างถิ่นอาจจะมีข้อจำกัดในเรื่องของการรักษา หรือเวลาในการเดินทางก็สำคัญมากเช่นกัน เพื่อไม่ให้กระทบกับธุรกิจการงาน ควรเลือกประกันที่คุ้มครองความล่าช้าในการเดินทาง การสูญหายของเอกสารสำคัญ การขโมยทรัพย์สินและการถูกปล้น เพื่อความอุ่นใจสำหรับคนที่ต้องพกอุปกรณ์การทำงานและของมีค่า

4. ท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัวใหญ่ 

กรณีเที่ยวกันหลายคน หรือเที่ยวเป็นครอบครัว ถ้ามัวแต่มากังวลเรื่องนู่นนี่นั่น อาจทำให้หมดสนุกเอาได้ ควรเลือกประกันรายครอบครัวที่คุ้มครองทุกท่านและได้รับผลประโยชน์สูง  เพื่อให้ได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง หรืออาจเลือกประกันเดินทางต่างประเทศ ที่มีความคุ้มครองค่ารักษาจากอุบัติเหตุขณะเดินทางไปด้วย

นอกจากนี้ควรพิจารณาเงื่อนไขและข้อยกเว้นของกรมธรรม์ เบี้ยประกันที่เหมาะสม สิ่งสำคัญที่สุดคือ การเลือกแผนประกันเดินทางที่ตรงกับความต้องการ เหมาะสมกับระยะเวลา ไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยวของคุณ เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองที่ดีที่สุด คุ้มค่า และตรงตามวัตถุประสงค์ของการเดินทางในแต่ละครั้ง 

หากใครที่กำลังมองหา ประกันเดินทางต่างประเทศ เข้ามาเช็กเบี้ยได้ที่ bolttech.co.th รับประกันจากหลายบริษัทประกันชั้นนำ คุ้มครองกระเป๋าเดินทางสูญหาย/เสียหาย มีแผนชดเชยเที่ยวบินล่าช้า การพลาดการต่อเที่ยวบิน นำไปยื่นขอวีซ่าได้ เปรียบเทียบแผนเองได้ รู้ราคาทันที ซื้อประกันผ่านช่องทางออนไลน์ พร้อมรับกรมธรรม์ออนไลน์ มีทั้งแผนรายเที่ยว รายปี เลือกได้ตามที่คุณต้องการ สะดวก รวดเร็วมาก

The post ซื้อประกันเดินทางยังไงให้เหมาะกับทริป appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

1. โทรหา Call Center หรือติดต่อกับทางเคาท์เตอร์สนามบินเพื่อขอรับเอกสารรับรองเที่ยวบินดีเลย์ ให้สายการบินระบุหมายเหตุอย่างชัดเจน

2. ถ่ายภาพ เก็บหลักฐานทุกอย่างไว้

3. คำนวณค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เราเสียไปจากการจองเที่ยวบิน

4. ขอรับการเคลมค่าโดยสาร

• สายการบินต่างประเทศ ร้องเรียนได้ที่เว็บไซต์ airhelp.com
• สายการบินในประเทศ ร้องเรียนได้ที่เว็บไซต์ https://portal.caat.or.th/complaint/ หรือโทรแจ้งได้ที่กองคุ้มครองสิทธิ์ 02-568-8815, 02-535-1294

กรณีที่เกิดเหตุการณ์ เที่ยวบินดีเลย์จากสายการบินในประเทศ ทางกระทรวงการคมนาคมจึงได้กำหนดให้มีการชดเชยให้กับผู้โดยสาร เพื่อประโยชน์สำหรับผู้โดยสาร ดังนี้

กรณีที่เที่ยวบินดีเลย์ 2-3 ชั่วโมง 

1. ได้รับบริการทั้งด้านอาหารและเครื่องดื่ม

2. ได้รับการอำนวยความสะดวกด้านการติดต่อสื่อสารจากสายการบิน

3. ได้รับการคืนเงินค่าโดยสารถ้าหากว่าผู้โดยสารไม่ต้องการเดินทางในเที่ยวบินนี้แล้ว

กรณีที่เที่ยวบินดีเลย์ 3-5 ชั่วโมง

1. ได้รับบริการทั้งด้านอาหารและเครื่องดื่ม

2. ได้รับการอำนวยความสะดวกด้านการติดต่อสื่อสารจากสายการบิน

3. ได้รับการชดเชยตามที่ผู้โดยสารเลือกว่าจะให้คืนเงินค่าโดยสาร หรือชดเชยการเปลี่ยนเที่ยวบิน หรือชดเชยหากผู้โดยสารต้องการเดินทางด้วยขนส่งอื่น 

4. ได้รับเงินชดเชย 600 บาท แต่จะถูกยกเว้นในกรณีที่สายการบินพิสูจน์ได้ว่าเที่ยวบินดีเลย์เพราะเหตุสุดวิสัย

กรณีที่เที่ยวบินดีเลย์ 6 ชั่วโมงขึ้นไป

1. ได้รับบริการทั้งด้านอาหารและเครื่องดื่ม

2. ได้รับการอำนวยความสะดวกด้านการติดต่อสื่อสารจากสายการบิน

3. ได้รับการชดเชยตามที่ผู้โดยสารเลือกได้เช่น เลือกคืนเงินค่าโดยสาร ชดเชยการเปลี่ยนเที่ยวบิน หรือ ชดเชยหากผู้โดยสารต้องการเดินทางด้วยขนส่งอื่น 

4. ได้รับเงินชดเชย 1,200 บาท แต่จะถูกยกเว้นในกรณีที่สายการบินพิสูจน์ได้ว่าเที่ยวบินดีเลย์เพราะเหตุสุดวิสัย หรือสายการบินแจ้งยกเลิกเที่ยวบินอย่างน้อย 3 วันก่อนการเดินทาง หรือสายการบินเปลี่ยนแปลงเที่ยวบินภายในระยะเวลาไม่เกิน 3 ชั่วโมง จากเวลาเดิม

5. ได้รับบริการเรื่องห้องพัก การรับส่งระหว่างโรงแรม และสนามบินฟรี

*ทั้งนี้จะได้รับเฉพาะผู้โดยสารที่ไม่ได้รับการแจ้งล่วงหน้าจากสายการบิน และได้เดินทางมาถึงสนามบินแล้ว

ถึงเราไม่อยากให้เที่ยวบินดีเลย์เกิดขึ้น แต่บางครั้งเราก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ขอให้รู้ว่าเราจะมีสิทธิ์ได้รับการชดเชยตามข้อข้างต้นที่ได้กล่าวมา หรือ ถ้าคุณ ซื้อประกันเดินทางต่างประเทศ ช่วยเพิ่มความอุ่นใจมากขึ้น เพราะประกันเดินทางต่างประเทศ มีแผนชดเชยเที่ยวบินล่าช้า คุ้มครองกระเป๋าเดินทางล่าช้าหรือสูญหาย มีให้เลือกทั้งประกันเดินทางรายเที่ยวและรายปี เปรียบเทียบแผนเองได้ จากหลายบริษัทประกันชั้นนำ รู้ราคาทันที พร้อมรับกรมธรรม์ออนไลน์ นำไปยื่นขอวีซ่าได้เลย

The post เที่ยวบินดีเลย์ ได้รับชดเชยอะไรบ้าง? appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

วิธีซื้อบัตรโดยสาร

เมื่อเครื่องแลนดิ้งที่สนามบินประเทศฮ่องกงและผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองมาแล้ว ให้เดินไปซื้อบัตรโดยสาร Octopus ที่เคาท์เตอร์ในสนามบินซึ่งที่เคาท์เตอร์จะมีเจ้าหน้าที่คอยบริการอยู่ บัตรนี้สามารถใช้เดินทางได้ทั่วประเทศฮ่องกงไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้า รถเมลหรือรถราง นอกจากนี้บัตร Octopus ยังสามารถใช้ซื้อสินค้าและบริการภายในประเทศฮ่องกงได้อีกด้วย เมื่อซื้อบัตรโดยสารเสร็จแล้วก็ขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินตามขั้นตอนนี้เลย

วิธีการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน MTR

1.ขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดิน MTR สายสีเขียวเข้ม Airport Express จากสถานี Airport ไปลงที่สถานี Tsing Yi 

2.เปลี่ยนไปใช้รถไฟฟ้าใต้ดินสายสีส้ม Tung Chung Line ให้เราขึ้นรถไฟฟ้าไปลงที่สถานี Lai King 

3.เปลี่ยนไปใช้รถไฟฟ้าใต้ดินสายสีแดง Tsuen Wan Line ให้เราขึ้นรถไฟฟ้าไปลงที่สถานี Prince Edward

4.เปลี่ยนไปใช้รถไฟฟ้าใต้ดินสายสีเขียว Kwan Tong Line ให้เราขึ้นรถไฟฟ้าไปลงที่สถานี Wong Tai Sin

ในระหว่างการเปลี่ยนเส้นทางนั้นเราไม่จำเป็นต้องเดินไกลเลยเพราะระบบการคมนาคมของประเทศฮ่องกงนั้นดีมาก เข้าใจง่าย มีป้ายสัญลักษณ์และป้ายบอกทางอย่างชัดเจน เมื่อถึงสถานี Wong Tai Sin ทางออก B2 แล้วก็เดินออกจากสถานีก็จะเจอกับวัดหวังต้าเซียน เพราะสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินจะอยู่ใกล้กับวัดทำให้เดินทางไปและกลับไม่ยาก ส่วนใครหิวฝั่งตรงข้ามก็มี Shopping Mall สามารถทานอาหารที่นั่นก่อนจะขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินไปเที่ยวที่อื่นต่อก็ได้

นี่เป็นไกด์คล่าวๆ สำหรับคนที่อยากเดินทางไปขอพรความรักที่วัดหวังต้าเซียนประเทศฮ่องกง ใครมีแพลนที่จะไปบ้างก็อย่าลืม ซื้อประกันเดินทางออนไลน์ ที่ bolttech.co.th มีหลากหลายแผน จากหลายบริษัทประกันชั้นนำ สามารถเปรียบเทียบแผนเองได้ รู้ราคาทันที คุ้มครองกระเป๋าเดินทางสูญหาย ชดเชยเที่ยวบินล่าช้า นอกจากนี้ยังนำมายื่นขอวีซ่าได้ด้วย ถึงแม้ว่าไปประเทศฮ่องกงนั้นไม่จำเป็นต้องขอวีซ่า แต่ซื้อประกันเดินทางไว้ดีกว่า เพื่อความสบายใจตลอดทริป พิเศษ! ซื้อประกันเดินทาง พร้อมรับกรมธรรม์ทันที!

The post วิธีเดินทางไปมู "วัดหวังต้าเซียน" เพื่อขอพรความรัก appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

โดยปกติแล้ว ดอกซากุระจะเริ่มบานในช่วงเดือนมีนาคม เพราะเป็นช่วงฤดูใบไม้พลิ ถ้าหากว่าไปช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์จะยังเป็นช่วงฤดูหนาว และมีหิมะตกในบางพื้นที่ ต้องรอให้อากาศอุ่นขึ้นจนพลัดเปลี่ยนเป็นฤดูใบไม้พลิก่อน วันแรกที่ดอกซากุระบานคือ วันที่ 19 มีนาคม 2567 ที่โคชิ ถ้าหากทิ้งช่วงอีกประมาณ 5-7 วันจากวันแรกที่ดอกซากุระบาน เราจะได้ดูดอกซากุระบานสะพรั่งสวยงามที่สุด หรือที่เรียกว่า Full Bloom 

ไทม์ไลน์ดอกซากุระบาน 2567

• 19 มีนาคม 2567 ที่เมืองโคชิ
• 20 มีนาคม 2567 ที่เมืองนาโกย่า
• 21 มีนาคม 2567 ที่เมืองฟุกุโอกะ ฮิโรชิม่า โยโกฮาม่า
• 22 มีนาคม 2567 ที่เมืองโตเกียว วากายาม่า
• 25 มีนาคม 2567 ที่เมืองโอซาก้า เกียวโต คันไซ นารา
• 27 มีนาคม 2567 ที่เมืองคานาซาว่า
• 2 เมษายน 2567 ที่เมืองเซนได
• 3 เมษายน 2567 ที่เมืองฟุกุชิมะ
• 5 เมษายน 2567 ที่เมืองนากาโน่
• 19 เมษายน 2567 ที่เมืองอาโอโมริ
• 1 พฤษภาคม 2567 ที่เมืองซัปโปโร

หากใครที่อยากจะไป เที่ยวญี่ปุ่น ชมดอกซากุระแรกของปี 2567 สถานที่ขอแนะนำก็คือ ศาลเจ้ายาสุคุนิ เป็นสถานที่ชมดอกซากุระยอดฮิตในทุกปีๆ เพราะเป็นสถานที่มีความเก่าแก่ และถูกปกคลุมไปด้วยดอกซากุระสีชมพู ให้อารมณ์ย้อนไปในสมัยเอโดะ สามารถเข้าชมได้ฟรี ไม่มีคนมานั่งใต้ต้นซากุระเหมือนสถานที่อื่นๆ ศาลเจ้ายาสุคุนิเปิดให้บริการทุกวันเวลา 06:00 - 18:00 น. และยังมีที่ เที่ยวโตเกียว สำหรับไปเที่ยวชมซากุระอีกเยอะ หรือ เที่ยวโอซาก้า เที่ยวฟุกุโอกะ ก็ไม่พลาดดอกซากุระบานในฤดูนี้

นอกจากนี้สามารถเช็กข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Otenki Navigator หรือ ดาวน์โหลด Sakura Navi app เพื่อเป็นไกด์ในการท่องเที่ยวชมซากุระบาน เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง ง่ายๆ แค่มีแอปลิเคชัน Sakura Navi ที่สามารถบอกสถานที่ชมดอกซากุระบานในภูมิภาคต่างๆ เช่น ดอกซากุระบานวันไหน จะบานสวยเต็มที่ช่วงวันไหน มีพยากรณ์อากาศ และข้อมูลอื่นๆ อีกมากมาย สามารถดาวน์โหลดผ่าน App Store และ Google Play

• ดาวน์โหลดแอปฯ Sakura Navi ผ่าน Google Play คลิกเลย >> https://bit.ly/3IkGbz2 
• ดาวน์โหลดแอปฯ Sakura Navi ผ่าน App Store คลิกเลย >> https://bit.ly/3uV4Ozf

ที่เที่ยวญี่ปุ่น มีดอกซากุระมากถึง 300 สายพันธุ์ ความสวยงามจะแตกต่างกันที่รูปร่างและสีของดอกซากุระ บอกเลยว่าฤดูใบไม้พลิรอบนี้พลาดไม่ได้ที่จะไปเที่ยวญี่ปุ่น หากคุณมีแพลนจะไปเที่ยวญี่ปุ่นในชวงเดือนมีนาคม-เมษายน ควรเริ่มมองหาเที่ยวบินกับโรงแรมไว้ล่วงหน้าเลย และอย่าลืม ซื้อประกันเดินทาง กับ bolttech ผ่านช่องทางออนไลน์ เพิ่มความอุ่นใจตลอดทริป คุ้มครองกระเป๋าเดินทางสูญหาย  มีแผนชดเชยเที่ยวบินล่าช้า สามารถเปรียบเทียบแผนเองได้ รู้ราคาทันที มีทั้งแผนรายเที่ยวและรายปี เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวทุกประเภท มีแผนยื่นขอวีซ่าได้ พร้อมรับกรมธรรม์ออนไลน์ 

The post อัพเดทไทม์ไลน์ "ดอกซากุระบาน" ทั่วญี่ปุ่น appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

1. เอกสารไม่ครบ ข้อมูลไม่ตรงกัน

สาเหตุที่คนไทยติดตม.เกาหลีมากที่สุด คือ เตรียมเอกสารไม่ครบ ข้อมูลบางอย่างไม่ตรงกัน เช่น ชื่อ-นามสกุล ไม่ตรงกับข้อมูลในพาสปอร์ต ไม่มีตั๋วเครื่องบิน เอกสารจองที่พัก ข้อมูลที่สำคัญในการเดินทาง อาจไม่ผ่านตม.เกาหลี

2. มีประวัติไม่ผ่านตม.เกาหลี / ติด Blacklist

เมื่อทางเจ้าหน้าที่ตรวจสอบว่า ชื่อ-นามสกุลของคุณซ้ำกับผู้ที่มีประวัติไม่ผ่านตม. อาจทำการตรวจสอบอย่างเข้มงวด หรือใครที่ยังมีประวัติติดแบล็คลิส (Blacklist) ในช่วงระยะเวลาที่ห้ามเข้าประเทศเกาหลีจะต้องถูกส่งตัวกลับไทย ไม่ว่าจะทำผิดกฎหมาย เช่น อยู่ในประเทศเกาหลีเกินกำหนด ประกอบอาชีพที่ไม่อนุญาตให้คนต่างด้าวทำ เป็นต้น

3. แผนการเดินทางไม่ชัดเจน

หลายคนตกม้าตายเพราะสาเหตุนี้! เพราะไม่ได้เตรียมวางแผนการเดินทางไว้ล่วงหน้า ไม่มีเอกสารให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ หรือ บางคนระบุวัน เวลา สถานที่ไม่ตรงกับข้อมูลในตั๋วเครื่องบิน เช่น เอกสารตั๋วเครื่องบินระบุว่าจะเดินทางกลับไทยในวันที่ 1 เมษายน 2567 แต่คุณระบุในการเดินทางว่าจะกลับไทยวันที่ 5 เมษายน 2567 ถือว่าข้อมูลไม่ตรงกัน เสี่ยงไม่ผ่าน ตม เกาหลี

4. ระยะเวลาเดินทางนานผิดปกติ 

วีซ่าท่องเที่ยวเกาหลี คนไทยสามารถท่องเที่ยว และพำนักอาศัยได้ไม่เกิน 90 วัน หากคุณระบุว่าจะอาศัยนานกว่านั้น เช่น ระบุว่าจะอาศัยอยู่ในเกาหลี 120 วัน อาจถูกส่งตัวกลับไทยได้

5. ให้ข้อมูลเป็นเท็จ หรือ ไม่ชัดเจน

กรณีให้ข้อมูลเป็นเท็จกับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง เช่น การลักลอบไปทำงานเกาหลีแบบผิดกฎหมาย หรือ อพยพเข้าประเทศเกาหลีใต้อย่างผิดกฎหมาย แต่แถลงข้อมูลเป็นเท็จกับเจ้าหน้าที่ว่า ไปเที่ยวเกาหลี กรณีที่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบว่าได้ว่าคุณให้การเป็นเท็จ อาจโดนจับเข้าห้องเย็นได้

6. ภาษาก็มีส่วนนะ

คนไทยที่ไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ อาจจะถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษ เพราะภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลที่ใช้ทั่วโลก หากสื่อสารผิดพลาดอาจทำให้เจ้าหน้าตม.เข้าใจคลาดเคลื่อน และถูกส่งตัวเข้าห้องเย็นได้ เอาเป็นว่าใครที่พูดภาษาอังกฤษ หรือภาษาเกาหลีได้ ถือว่ามีชัยไปกว่าครึ่ง!!

7. การแต่งตัวไม่เหมาะสม

การแต่งตัวไปเกาหลีให้ผ่านตม. เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะการแต่งกาย เป็นคะแนนสำคัญที่จะตัดสินว่าคุณจะผ่านตม.เกาหลีหรือไม่ เนื่องจากมีหลายคนแต่งตัวไม่สุภาพ ไม่ดูเป็นนักท่องเที่ยว เช่น ใส่รองเท้าแตะ ใส่ชุดโชว์ร่างกายมากเกินไป แต่งหน้าจัดจนเกินไป เป็นต้น

สิ่งที่จะโดนปฏิเสธมากที่สุด คือ มีคนเข้าไปโดยใช้ Free Visa 90 วัน แต่แอบไปทำงานเกาหลี ถือว่าเข้ามาผิดวัตถุประสงค์ เพราะเขาให้มาเที่ยว ไม่ใช่ให้มาทำงานผิดกฎหมาย ก็อาจเสี่ยงโดน Blacklist ไปเลย ดังนั้นคุณควรให้ข้อมูลตามความจริง เตรียมตัวให้พร้อมทุกขั้นตอน ทั้งเอกสาร เครื่องแต่งกาย เตรียมตอบคําถามตม.เกาหลี ซึ่งจะช่วยให้คุณผ่านตม.เกาหลีได้อย่างฉลุย ไม่เสียเวลาท่องเที่ยวของคุณด้วย

อยากไปเที่ยวเกาหลีอย่างสบายใจ ซื้อประกันเดินทาง bolttech.co.th คุ้มครองตลอดทริป ค่ารักษาพยาบาล มีชดเชยเที่ยวบินล่าช้า กระเป๋าเดินทางล่าช้า กระเป๋าสูญหาย และ ความคุ้มครองอื่นๆ ที่ระบุในกรมธรรม์ มีให้เลือกทั้งรายเที่ยว รายปี ซื้อง่ายผ่านออนไลน์ พร้อมรับกรมธรรม์ทางอีเมล สนใจเข้ามาเช็กเบี้ยเลย เปรียบเทียบแผนได้

The post ทำไมคนไทยหลายคนติด ตม.เกาหลี ? appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

1.วิธีผ่านตม.เกาหลี “ลงทะเบียน K- ETA ให้เรียบร้อย”

ต้องบอกก่อนเลยว่า K- ETA (Korea electronic travel authorization) เป็นระบบออนไลน์ที่คัดกรองชาวต่างชาติที่จะเข้าประเทศเกาหลีใต้โดยไม่ต้องขอวีซ่า ซึ่งทางรัฐบาลเกาหลีได้จัดทำระบบนี้ขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหานักท่องเที่ยวบินมาถึงเกาหลีแล้วไม่ผ่านตม.เกาหลี ให้เราเข้าไปกรอกข้อมูลรายละเอียดต่างๆ เพื่อลงทะเบียนให้เรียบร้อยและชำระค่าธรรมเนียม 1,000 วอน จากนั้นระบบจะส่งผลว่าผ่านหรือไม่ผ่านมาให้เราทางอีเมล แต่ถ้าหากว่าใครลงทะเบียนไม่ผ่านก็สามารถไปยื่นขอวีซ่าที่สถานทูตเกาหลีประจำประเทศไทยได้

2.วิธีผ่านตม.เกาหลี “เตรียมเอกสารให้พร้อม”

ก่อนการเดินทางเข้าประเทศเกาหลีเราควรเตรียมเอกสารต่างๆ ให้พร้อมไม่ว่าจะเป็น พาสปอร์ต ใบลงทะเบียน K-ETA ตั๋วเครื่องบิน หลักฐานการจองโรงแรม หลักฐานการทำงาน บัตรประจำตัวประชาชน ใบตม.หรือ Arrival Card ที่ให้เรากรอกเมื่อถึงสนามบิน สิ่งที่ต้องกรอกให้ชัดเจนคือ ชื่อนามสกุล ไฟล์ทบิน ที่อยู่ของที่พักในประเทศเกาหลี จำนวนวันที่มา อาชีพ จุดประสงค์ในการเข้าเกาหลี ข้อมูลจะต้องตรงกันกับ K-ETA ถ้าหากมีเอกสารอื่นที่สำคัญสำหรับการเที่ยวเกาหลีที่เราได้จองไว้ล่วงหน้า เช่น ตั๋วเข้าชมสถานที่ที่ซื้อไว้ล่วงหน้า ก็สามารถเตรียมไว้เพื่อความอุ่นใจได้

3.วิธีผ่านตม.เกาหลี “เตรียมตัวตอบคำถาม”

เมื่อถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง แล้วเจ้าหน้าที่จะทำการตรวจเอกสาร และถามคำถามกับเราเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อสอบถามให้มั่นใจว่าเราไม่ได้จะหนีเข้าไปทำงานอย่าผิดกฎหมาย วิธีตอบคําถาม ตม เกาหลี เมื่อเจ้าหน้าที่ถามคำถามก็ขอให้ตั้งใจฟังดีๆ เวลาตอบก็ตอบให้ชัดเจน มั่นใจ ตัวอย่างของคำถามหลักๆ ก็จะเป็น มากับใคร? มาอยู่กี่วัน? พักที่โรงแรมไหนในประเทศเกาหลี จะไปเที่ยวที่ไหนบ้าง? เมื่อเวลาตอบคำถามเจ้าหน้าทีขอให้ใจเย็นและอย่าหงุดหงิดหากเจ้าหน้าที่แสดงกิริยาที่ไม่ดีหรือเสียงดังเพราะว่าเป็นหน้าที่ ตอบคำถาม ตม เกาหลีพร้อมกับโชว์เอกสารที่เตรียมมาไปด้วย ทางที่ดีให้พูดภาษาอังกฤษกับเจ้าหน้าที่จะดีกว่าการพูดภาษาเกาหลี ให้คุณเตรียมคำตอบดีๆ แล้วนี่คือ คำถามที่พบบ่อยเมื่อต้องผ่านตม. ช่วยให้ผ่านตม.ได้อย่างฉลุย!

หากมีเด็กโตที่เดินทางไปพร้อมกับครอบครัวก็ขอให้เด็กโตหรือสมาชิกในครอบครัวเดินต่อแถวเดียวกันกับผู้ปกครองเพราะจะทำให้ผ่านตม.เกาหลีง่ายกว่าถ้าหากว่าผู้ปกครองผ่านแล้ว เจ้าหน้าที่จะสามารถจดจำนามสกุลของคนก่อนหน้าได้(ในกรณีที่เจ้าหน้าที่มีความใส่ใจและจดจำ)

4.วิธีผ่านตม.เกาหลี “แต่งตัวให้เหมาะสม”

การแต่งตัว เป็นสิ่งสำคัญที่เจ้าหน้าที่ตม.เกาหลีจับจ้องอยู่ว่าจะให้เราผ่านไปด้วยดีหรือจะทำให้เราโดยกักตัว แต่งตัวไปเกาหลีให้ผ่าน ตม แนะนำว่าให้ใส่เสื้อผ้าที่เรียบง่ายไม่ดูฉูดฉาดหรือแฟชั่นมากจนเกินไป ไม่โชว์เนื้อหนังและแต่งหน้าเบาๆ เข้าใจว่าไปเกาหลีทั้งทีก็อยากจะเริ่ดเชิดตั้งแต่เครื่องแลนด์แต่แนะนำว่าให้เก็บไว้ใส่ในวันที่ไปเที่ยวดีกว่า ส่วนผู้ชายก็แต่งตัวใส่กางเกงขายาว เสื้อยืดเสื้อเชิ้ตหรือเสื้อโปโล สวมรองเท้าผ้าใบหรือรองเท้าหนัง หากมีเสื้อคลุมสักตัวก็สามารถใส่ได้

5.วิธีผ่านตม.เกาหลี “คีบลุคให้ดูเรียบร้อย”

เวลาที่ต้องผ่านตม.เกาหลีนั้นเราควรทำตัวให้เรียบร้อย เข้มขรึม ไม่กระโตกกระตากโวยวายเสียงดัง ไม่หยอกล้อกันกับกลุ่มเพื่อนหรือคนที่เดินทางมาด้วย หรือเลิ่กลักเพราะจะทำให้ดูมีพิรุธ ทำตัวตามสบายตามมารยาทสากลเหมือนกับว่าเราเป็นนักท่องเที่ยวที่ดี และตอนที่ยื่นเอกสารให้กับเจ้าหน้าที่ก็อย่าพยายามหลบตา ให้สบตาและยิ้มแย้มให้กับเจ้าหน้าที่เพราะเจ้าหน้าที่จะต้องตรวจเช็คว่าหน้าตาเรากับในพาสปอร์ตตรงกันหรือไม่ หากเจ้าหน้าที่ถามก็ให้ตอบคำถามไปและคีบลุคเข้มขรึมไว้

วิธีการนี้ไม่ได้ใช้ได้แค่กับตม.เกาหลีอย่างเดียว แต่สามารถใช้กับตม.ประเทศอื่นได้อีกด้วย การเตรียมตัวให้พร้อมนั้นเป็นสิ่งสำคัญ รวมถึงการปฏบัติตามกฎระเบียบการเข้าประเทศปลายทางก็จัดว่าเป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวที่ดีควรปฏิบัติตาม ซื้อประกันเดินทาง กับ bolttech ผ่านช่องทางออนไลน์ มีทั้งแบบรายเที่ยวและรายปี คุ้มครองกระเป๋าเดินทางสูญหาย ชดเชยเที่ยวบินล่าช้า นำมายื่นขอวีซ่าได้ รับกรมธรรม์ออนไลน์ เปรียบเทียบแผนเองได้ รู้ราคาทันที 

The post 5 วิธีผ่านตม. เกาหลี ไม่กลัวถูกส่งกลับไทย appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

1. หนังสือเดินทาง

สิ่งแรกที่ต้องเตรียมไปต่างประเทศ ก็คือหนังสือเดินทางหรือพาสปอร์ต เพราะทางเจ้าหน้าที่จะตรวจข้อมูลยืนยันตัวนักท่องเที่ยว ใบบันทึกประวัติการเข้าออกอยู่ตลอดเวลา ยิ่งถ้าประเทศไหนไม่ฟรีวีซ่าด้วยนะ คุณก็ต้องมีตราประทับวีซ่าให้เรียบร้อย ย้ำเลยว่า! ห้ามลืมพกพาสปอร์ตไปเด็ดขาด แนะนำให้เก็บใส่ซองกันน้ำเอาไว้เพื่อป้องกันการลืม อีกทั้งยังช่วยให้พาสปอร์ตไม่ชำรุดเสียหายอีกด้วย

2. บัตรประชาชน

ถึงแม้ว่าคุณจะมีพาสปอร์ตแล้ว แต่คุณก็ต้องพกบัตรประชาชนไปด้วยนะ  เพราะเจ้าหน้าที่อาจจะขอเช็กบัตรประชาชน รวมถึงใบขับขี่รถสากลด้วย (ถ้ามี) อย่าลืมว่าระหว่างทางกลับบ้านไปจนถึงก่อนขึ้นเครื่องที่ตัวเรายังอยู่ในไทย อาจจะเกิดอะไรขึ้นแล้วจำเป็นต้องใช้บัตรประชาชนก็ได้

3. ตั๋วเครื่องบิน

ต่อมาเราก็ต้องเตรียมตั๋วเครื่องบินให้พร้อม พอถึงสนามบินจะได้เช็กอินล่วงหน้าก่อนเลย ส่วนใครที่ยังไม่มีตั๋วเครื่องบิน แฟรงค์แนะนำให้รีบจองตั๋วเครื่องบินไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ อย่างน้อย 1 เดือน  เพื่อให้ได้ตั๋วเครื่องบินราคาถูก และคุ้มค่าที่สุด แล้วที่สำคัญเราอย่าลืมเช็กให้ดีว่าเราขึ้นเครื่องที่ประตูไหน นั่งเบาะไหนกันด้วยนะ

4. เอกสารจองโรงแรม

อยากเที่ยวเมืองนอกทั้งที ไม่มีที่พักได้ยังไงเนอะ! นอกจากเป็นหลักฐานในการเข้าพักของคุณแล้ว ยังสามารถแสดงให้ทางเจ้าหน้าที่ตรวจสอบได้เช่นกัน สมมติถ้าคุณเดินผ่านตม. หรือด่วนตรวจคนเข้าเมือง ทางเจ้าหน้าที่จะขอดูเอกสารการจองที่พักของคุณด้วย  อย่างเช่น คุณพักอยู่ที่ไหน เมืองอะไร ชื่อโรงแรมอะไร เป็นต้น 

5. ประกันเดินทาง

เพียงแค่คุณก้าวขาออกจากบ้านก็มีความเสี่ยงแล้ว อย่าลืมซื้อประกันเดินทางให้อุ่นใจกันด้วย เผื่อเกิดบาดเจ็บหรือไม่สบายขึ้นมา จะได้มีคนช่วยเเบ่งเบาค่ารักษาให้ ไม่ต้องควักเงินในกระเป๋าจ่ายเอง! แถมวีซ่าบางประเทศต้องทำประกันเดินทางก่อนถึงสามารถขอวีซ่าได้  ดังนั้น คุณลองเข้ามาเทียบเบี้ย และเช็กวงเงินความคุ้มครองประกันเดินทาง กับ Frank.co.th ก่อน บางแพ็กเกจเหมาะสำหรับยื่นขอวีซ่าด้วยนะ
 

6. เงินสด

ไม่ว่าคุณจะเดินทางไปประเทศไหน ก็ต้องพกเงินสดติดตัวอยู่แล้ว แต่เราต้องตรวจสอบให้ดีก่อนว่าจุดหมายปลายทางคือที่ไหน เพราะบางประเทศจะใช้สกุลเงินต่างกัน ถึงแม้จะไปเเลกเปลี่ยนในต่างประเทศภายหลัง เราอาจจะได้อัตราแลกเปลี่ยนไม่คุ้มค่าก็ได้  ดังนั้น ควรเตรียมตัวเรื่องเงินไว้ก่อนจะดีกว่า
*** แต่เราไม่ควรพกเงินสดติดตัวไว้มากเกินไป ไม่งั้นเวลาคุณเดินผ่านตม.หรือด่านตรวจคนเข้าเมืองจะกลายเป็นผู้ต้องสงสัยทันที ให้เตรียมไว้พอประมาณดีกว่า

7. บัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต

ถ้าคุณไม่อยากพกเงินสดติดตัวมากนัก สามารถพกเป็นบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตได้เช่นกัน  เวลาเดินทางไปไหนมาไหนจะได้ไม่ต้องระแวง หรือเกรงกลัวว่าจะทำเงินหล่นหาย แล้วที่สำคัญกรณีที่ช้อปเพลินๆ เรายังสามารถใช้บัตรเครดิตรูดแยกได้  

8. มือถือหรือสมาร์ทโฟน

ไม่ว่าคุณจะเดินทางไปที่ไหนก็ต้องใช้มือถืออยู่แล้ว หากไม่มีก็คงอดลงรูปสวยๆ เพื่ออวดเพื่อนๆ ในโซเซียลแน่นอน แต่เราก็อย่าลืมเตรียมซิมการ์ดมือถือ และอินเตอร์เน็ตไว้ติดต่อเช่นกัน  หรือใครที่ห่วงเรื่องการสื่อสาร แนะนำให้โหลดแอปแปลภาษามาเลย! มีให้เลือกสารพัดพร้อมใช้งานได้ทันที เช่น Google translate, Microsoft Translator,  Scan & Translate และ  Speak & Translate เป็นต้น 

9. แผนที่

หากใครที่เดินทางมากับกรุ๊ปทัวร์จะไม่ค่อยกังวลสักเท่าไร เนื่องจากมีไกด์คอยพาชมสถานที่ให้อยู่แล้ว แต่บางคนที่เดินทางมาด้วยตัวเองอย่างมือใหม่หัดเที่ยว ก็ควรพกแผนที่ติดไม้ติดมือไว้ด้วย เพื่อจะได้ไม่พลาดชมสถานที่สวยๆ หรือแม้กระทั่งหลงทางขึ้นมาจะได้เปิดแผนที่อ่านเลย รับรองเข้าใจง่ายแน่นอน

10. ยาประจำตัว

ก่อนที่คุณจะเเพ็กกระเป๋าเดินทาง อย่าลืมพกยาประจำตัวติดไว้กันนะ  เผื่อไม่สบายขึ้นมาระหว่างเที่ยว ก็คงหมดสนุกแน่ๆ ยิ่งไปเที่ยวช่วงอากาศแปรปรวนบ่อยๆ เราอาจจะปรับตัวไม่ทัน แนะนำให้หยิบยาชุดเล็กๆ พอให้อุ่นใจก่อน เช่น ยาแก้ปวด ยาแก้แพ้ ยาลดน้ำมูก ยาลดไข้ ยาแก้ท้องเสีย ยาเมารถ ยาดมยาหม่อง หรือถ้าคุณมีโรคประจำตัวก็ต้องเตรียมยาเฉพาะด้วย เพราะสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญ

11. ชุดปฐมพยาบาล

หลังจากเตรียมยาประจำตัวแล้ว ก็ต้องเตรียมชุด First aid Kit หรืออุปกรณ์ปฐมพยาบาลติดกระเป๋าเช่นกัน  เวลาไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ อาจจะเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝันได้ ยิ่งถ้าไม่มีสถานีอนามัยหรือโรงพยาบาลใกล้ตัวคุณ การปฐมพยาบาลเบื้องต้นนั้นจะช่วยรักษาอาการบาดเจ็บได้ดีเลยล่ะ
 

12. เสื้อผ้า

เวลาเลือกเสื้อผ้าใส่ในต่างประเทศ เพื่อนๆ ต้องเช็กสภาพอากาศกันก่อนนะ สมมติถ้าไปเที่ยวหน้าร้อน เราควรเตรียมเป็นผ้าฝ้าย หรือเสื้อยืดธรรมดา แต่ถ้าไปเที่ยวช่วงหน้าหนาวอาจจะต้องจัดเต็มหน่อย เช่น เสื้อโค้ท เสื้อคลุม เสื้อกันหนาว เสื้อไหมพรม และผ้าพันคอ เป็นต้น อันนี้เลือกได้ตามใจชอบเลย
อ่านเพิ่มเติม  : จัดกระเป๋าเดินทาง ยังไงไม่ให้เฟล!

13. ถุงเท้าถุงมือ

เมื่อเราเดินทางเที่ยวประเทศอากาศหนาวจัดๆ จนแทบขยับไม่ได้ ถ้าคุณมีถุงเท้าถุงมือมาเป็นตัวช่วย อาจจะทำให้อุ่นขึ้นมาระดับหนึ่งได้  เช่น ถุงเท้าถุงมือที่ทอจากไหมพรม หรือใช้ผ้าแบบหนาพิเศษ เหมาะกับคนขี้หนาวโดยเฉพาะ ยิ่งใครที่เเพลนจะมาเล่นสกีด้วย พลาดไม่ได้เด็ดขาด!

14. รองเท้าผ้าใบ

มีถุงเท้าก็ต้องมีรองเท้าเนอะ! ถือเป็นของคู่กันเลย แฟรงค์แนะนำให้เลือกเป็นรองเท้าหุ้มส้นหรือรองเท้าผ้าใบจะดีกว่า เผื่อต้องการเปลี่ยนอีกคู่กรณีที่ชำรุดหรือฉีกขาด มันจะช่วยทำให้ทริปครั้งนี้ของคุณไม่มีสะดุด ส่วนใครที่เดินทางไปเที่ยวเมืองนอกในฤดูหิมะตก ควรเลือกรองเท้าบูทหุ้มส้นชนิดกันน้ำ และมีฐานรองเท้ายึดเกาะหิมะด้วย

15. ร่มพับเล็กๆ

หลายคนที่เดินทางมาเที่ยวในช่วงหน้าฝน หรือช่วงหิมะกำลังตก ก็คงอยากจะนำร่มติดตัวไปด้วย แต่กลัวว่าทางสายการบินจะไม่อนุญาตให้นำขึ้นเครื่อง  อันนี้ต้องบอกก่อนว่า มันขึ้นอยู่กับกฎของแต่ละสายการบินกำหนด หากคุณต้องการพกร่มไปจริงๆ แนะนำให้พกร่มพับขนาดเล็กเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดต่างๆ หรือพกใส่ในกระเป๋าที่อยู่ในห้องผู้โดยสารแทน
 

16. ของใช้ส่วนตัว

นอกจากนี้เราต้อง list เตรียมของไปต่างประเทศจำพวก “ของใช้ส่วนตัว” อีกด้วย เช่น แปรงสีฟัน ยาสีฟัน สบู่ แชมพู โฟมล้างหน้า เครื่องสำอาง ผ้าเช็ดตัว ทั้งหมดนี้ถือเป็นของใช้จำเป็นในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว  ให้เราเตรียมแยกใส่กระเป๋าเล็กๆ อีกใบ เพื่อง่ายต่อการหยิบใช้งาน
** ข้อควรระวังก่อนขึ้นเครื่อง ก็คือ ของเหลวจะต้องถูกบรรจุใส่ภาชนะที่มีขนาดน้อยกว่า 100 มิลลิลิตรเท่านั้น

17. ที่แปลงหัวปลั๊ก

แน่นอนไปเยือนต่างประเทศ ปลั๊กที่ใช้เสียบต่างๆ จะต้องไม่เหมือนกัน อาจทำให้ไม่สามารถใช้งานกับพวกอิเล็กทรอนิกส์ได้ ทางที่ดีเราควรพกที่แปลงหัวปลั๊กไว้ก่อนเพื่อความอุ่นใจ  ยิ่งถ้าคุณมีปลั๊กหลากหลายรูปแบบก็ยิ่งดี เราจะได้เชื่อมต่อกับปลั๊กอื่นได้ทั่วโลก

18. กล้องถ่ายรูป

เหมาะสำหรับหนุ่มๆ สาวๆ ที่ชื่นชอบการถ่ายรูป ก็สามารถพกกล้องถ่ายรูปขนาดเล็กๆ ใส่ไว้ในกระเป๋าได้ ซึ่งจะทำให้เราเก็บภาพสวยๆ ได้อย่างชัดเจนและจุใจมากกว่า เตรียมของไปต่างประเทศทั้งทีต้องจัดเต็มกันซะหน่อย

19. อุปกรณ์ที่ชาร์ตแบต

สำหรับอุปกรณ์ที่ชาร์ตแบตต่างๆ แนะนำให้เตรียมเผื่อไปด้วย สมมติว่าเราเผลอถ่ายรูปจากมือถือนานไปหน่อย แล้วเกิดแบตหมดขึ้นมา เราจะได้ใช้อุปกรณ์ที่ชาร์ตแบตทันที หรือใครที่มีพาวเวอร์แบงค์ขนาดเล็กก็ยิ่งดีเลย เพราะสามารถชาร์จแบตเคลื่อนที่ได้อย่างสบาย
*** ข้อควรระวังก่อนพก Power Bank ขึ้นเครื่อง หากมีความจุไฟฟ้ามากกว่า 32000 mAh ไม่ได้รับอนุญาตให้นำขึ้นเครื่องทุกกรณี แต่ถ้ามีความจุไฟฟ้าอยู่ที่ 20000 – 32000 mAh สามารถนำขึ้นเครื่องได้ไม่เกิน 2 ก้อน ส่วนกรณีที่มีความจุไฟฟ้าต่ำกว่า 20000 mAh สามารถนำขึ้นเครื่องได้ไม่จำกัดจำนวน รวมถึงห้ามใส่กระเป๋าเดินทางเพื่อโหลดใต้เครื่อง ให้พกไว้ในกระเป๋าที่จะนำติดตัวขึ้นเครื่องไปเท่านั้น

20. สมุดบันทึกข้อมูล

พอเตรียมของไปต่างประเทศเสร็จแล้ว ให้คุณหยิบสมุดบันทึกใส่ในกระเป๋าด้วยนะ เพื่อจดข้อมูลสำคัญๆ อย่างเบอร์โทรฉุกเฉิน ไดอารี่เดินทาง แผนการออกทริปของคุณ เผื่อเจ้าหน้าที่ในสนามบินต้องการถามว่า คุณเดินทางมาทำอะไร ตั้งใจเเพลนไปเที่ยวที่ไหน คุณจะได้อธิบายอย่างไม่มีติดขัด! แล้วที่สำคัญอย่าลืมพกปากกาติดไว้ใช้งานด้วย
 

ทั้งหมดนี้จะเป็น Check list เตรียมของไปต่างประเทศคร่าวๆ แฟรงค์แนะนำให้ลองตรวจสอบสัมภาระของคุณอีกครั้งก่อนออกเดินทาง  เผื่อใครมีของจำเป็นนอกเหนือจากนี้ ก็สามารถจัดกระเป๋าเดินทางเพิ่มเติมได้ หรือถ้าใครลืมว่าอันไหนหยิบไปบ้างแล้วนะ ลองทำเครื่องหมายติ๊กถูกในช่องกันเลย จะได้ไม่หลงไม่ลืม!
แล้วที่สำคัญอย่าลืมมองหาประกันเดินทาง เพื่อช่วยคุ้มครองคุณตลอดทริป ไม่ว่าจะเที่ยวใกล้ไกลแค่ไหน ก็หมดห่วงทันที เพียงให้ Frank.co.th ดูแลคุณ
 

The post เช็ก List สิ่งที่ต้องเตรียมไปเที่ยวต่างประเทศ appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.

ประโยคคำถามยอดฮิตในตม. พร้อมแนวคำตอบ

เวลาจะผ่านตม.เกาหลี ถ้าคุณโดนกับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเรียกพบ ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนก็ตาม ขอย้ำว่า! อย่าตื่นตกใจไปเชียวนะ เพราะทางเจ้าหน้าที่จะคิดว่าคุณไปทำอะไรผิดมา เพียงแค่คุณเตรียมรับมือกับคำถาม และตอบไปตามความจริงเท่านั้น  ก็จะช่วยให้คุณไม่ถูกส่งตัวกลับไทย ว่าแล้วคำถามที่พบบ่อยมีอะไรบ้างนะ เราลองมาลิสทั้งภาษาไทย และอังกฤษกันเถอะ

1. Where are you from (คุณมาจากประเทศอะไร)

แนวคำตอบ: ถือเป็นคำถามคลาสสิกเลย เพราะทางเจ้าหน้าที่ต้องการทราบว่า คุณมาจากประเทศอะไร หากคุณเป็นคนไทยให้ตอบว่า Thailand บอกเพียงแค่ชื่อประเทศก็พอ

2. What’s the purpose of your visit? (วัตถุประสงค์อะไรที่คุณมาเยือนที่นี่)

แนวคำตอบ: ให้ตอบตามความจริง หากคุณเดินทางเพื่อมาเที่ยวก็ตอบว่า Travel หรือมาเยี่ยมคนรู้จักอย่างเช่นเพื่อนก็ตอบว่า visit my friends หรือพ่อแม่ก็ตอบว่า visit my parents หรือใครก็ว่าไป แต่กรณีที่คุณมาทำงานหรือทำธุรกิจก็ตอบว่า work, business นั่นเอง ส่วนถ้ามาเดินทางเพื่อมาเรียนต่อต่างประเทศ ก็ตอบว่า Study ง่ายๆ ทางเจ้าหน้าที่ก็เข้าใจได้

3. Is this your first time here? (มาที่นี่เป็นครั้งแรกหรือเปล่า)

แนวคำตอบ: หากคุณมาเยือนที่นี่เป็นครั้งแรก ก็ให้ตอบว่า Yes แค่นั้นก็ได้ แต่ถ้าคุณเคยเดินทางมาแล้วหลายครั้งก็อาจจะตอบว่า  first time, second time, third time หรืออาจจะบอกเป็นตัวเลขตามปกติ ไม่ก็ใช้ภาษานิ้วมือเป็นตัวช่วย เพื่อให้ทางเจ้าหน้าที่เข้าใจมากขึ้น

4. Are you travelling alone? or with someone? (คุณมาคนเดียวหรือมากับใคร)

แนวคำตอบ: สมมติว่าคุณเดินทางมาเที่ยวคนเดียว ก็ตอบว่า Alone สั้นๆ ก็ได้นะ แต่ถ้ามากับเพื่อนก็ตอบว่า with my friend หรือถ้ามากับครอบครัวก็บอกว่า with my family แล้วก็รอเข้าแถวพร้อมกันตามคิว

5. Where will you be staying? (คุณจะพักที่ไหนล่ะ)

แนวคำตอบ: เพียงแค่บอกชื่อที่พักอาศัยของคุณให้กับทางเจ้าหน้าที่ เช่นชื่อโรงแรม ชื่อเมือง แต่ถ้าเจ้าหน้าที่ขอดูที่อยู่ด้วย ก็อาจจะต้องหยิบเอกสารที่พัก เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเท่านั้น

6.  Where do you plan to go? (คุณวางแผนไปเที่ยวที่ไหน)

แนวคำตอบ: อันนี้ก็ให้ตอบสถานที่ หรือชื่อเมืองที่คุณจะไปเที่ยว แต่กรณีที่ยังคิดไม่ออกจริงๆ แฟรงค์แนะนำให้บอกชื่อเมืองที่คุณจะไปอาศัยอยู่ก็ได้

7.  How long will you be staying? (คุณจะมาอยู่นานแค่ไหน)

แนวคำตอบ: บางครั้งทางเจ้าหน้าที่อาจจะถามว่า เราเดินทางมาอยู่ที่นี่นานแค่ไหน เป็นจำนวนกี่วันกี่เดือน ก็ให้ตอบตามความจริงเลย เช่น Five days (7 วัน) หรือ One month (1 เดือน) เป็นต้น

8. What do you do? (คุณทำอาชีพอะไร)

แนวคำตอบ: ทางเจ้าหน้าที่ก็จะสุ่มคำถามด้วยว่า คุณทำอาชีพอะไรอยู่ตอนนี้ ก็ให้ตอบชื่ออาชีพตามความจริง อย่างเช่น  I’m a teacher (คุณครู) I’m a doctor (คุณหมอ) หรือถ้ากำลังเรียนอยู่ก็ให้บอกว่า I’m a student นั่นเอง แต่กรณีที่คุณแพลนจะมาทำงานในต่างประเทศ ก็อย่าลืมเช็กประเภทของวีซ่าให้ดีด้วยนะ

9. Do you plan to work here? (คุณวางแผนจะมาทำงานที่นี่ไหม)

แนวคำตอบ: กรณีที่คุณแพลนมาเที่ยวเฉยๆ ก็ตอบว่า No ไปเลย ถ้าเลือกตอบว่า Yes อาจจะโดนสอบสวนยาวแน่ๆ แต่ถ้าเเพลนจะมาทำงานอยู่แล้ว แนะนำให้ตอบตามตรงกับวีซ่าทำงานที่คุณได้รับ

10. How much money are you bringing? (คุณพกเงินติดตัวมาเท่าไหร่)

แนวคำตอบ: ทราบหรือไม่ว่า? ในบางประเทศจะให้นำเงินติดตัวไม่เกินกำหนดด้วยนะ สมมติว่าถ้าคุณเป็นนักท่องเที่ยวไทยต้องการไปเยือนอังกฤษ จะกำหนดให้นำเงินติดตัวได้ไม่เกิน 50,000 บาทต่อคน และต้องแสดงรายการเงินตราต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ศุลกากรขณะผ่านด่านศุลกากรด้วย (กรณีเจ้าหน้าที่ขอตรวจสอบ) ซึ่งอัตราการนำเงินติดตัวไปต่างประเทศจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างประเทศด้วย

เมื่อตอบคำถามเสร็จแล้ว ทางเจ้าหน้าที่จะให้คุณถ่ายรูป หรือกรณีผ่านตม.เกาหลีจะมีแสกนนิ้วเป็นหลักฐาน หลังจากนั้นทางตม.เกาหลีจะปริ้นใบวีซ่าเล็กๆ คล้ายกับใบเสร็จมาให้ หรือบางประเทศก็เลือกแสตมป์วีซ่าให้ด้วย ซึ่งเป็นขั้นตอนทั่วไปของด่านตรวจคนเข้าเมือง แต่บางคำถามอาจจะไม่เหมือนกันนะ พยายามจับประเด็นคำถามแต่ละคำให้ได้ พร้อมกับเตรียมเอกสารให้ถูกต้องและครบถ้วน  เชื่อว่าเพื่อนๆ ต้องผ่านตม.ได้อย่างง่าย แล้วอย่าลืมแต่งกายให้สุภาพ เรียบร้อย และมีความมั่นใจกันด้วยนะ จะได้ไม่ตื่นเต้นนั่นเอง

ถ้าอยากให้ทริปของคุณสนุกมากขึ้น ซื้อประกันเดินทาง กับ bolttech.co.th ให้ช่วยคุ้มครองคุณขณะท่องเที่ยว เช่น ค่ารักษาเมื่อเจ็บป่วยหรือเกิดอุบัติเหตุ เครื่องบินดีเลย์ กระเป๋าเดินทางสูญหายหรือเสียหาย พร้อมมีเจ้าหน้าที่คอยให้คำแนะนำและช่วยเหลืออีกด้วย เที่ยวแบบไม่ต้องกังวลเลย

The post คำถามที่พบบ่อยในตม. พร้อมวิธีตอบให้ผ่านฉลุย appeared first on Bolttech Blog - News & Updates.